วันที่ 9 พ.ค. 2567 ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ ทนายความเดินทางไปเยี่ยม พรชัย วิมลศุภวงศ์ ผู้ต้องขังในคดีตามมาตรา 112 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 4 ข้อความ เขาถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 2567 หลังศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุก 12 ปี และศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกา
พรชัยออกมาพบทนายในชุดผู้ต้องขัง สวมหน้ากากอนามัย พร้อมป้ายห้อยคอระบุว่าเป็นผู้ต้องขังใน “แดน 4” เขาแจ้งว่าตอนนี้ในเรือนจำกำลังมีโควิดระบาดอีก มีผู้ต้องขังติดเชื้อหลายคน เขาก็มีอาการไอ แต่ไม่รู้ว่าติดเชื้อหรือยัง
ก่อนหน้านี้ในการถูกคุมขังครั้งแรกเมื่อช่วงปี 2564 เขาก็ติดเชื้อโควิดจากเรือนจำเชียงใหม่แห่งนี้ โดยเป็นการพบว่าติดเชื้อหลังได้รับการประกันตัวไม่กี่วัน ทำให้ต้องทำการกักตัวในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงดังกล่าว ก่อนจะเดินทางกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ได้
พรชัยอัปเดตเรื่องคดีความ โดยเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดยะลาได้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์มาอ่านคำสั่งในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่งที่เขาถูกกล่าวหา โดยเป็นคำสั่งต่อคำร้องขออนุญาตฎีกา และพบว่าไม่มีผู้พิพากษารับรองให้ฎีกา ทำให้พรชัยไม่สามารถฎีกาคำพิพากษาคดีดังกล่าวได้ แต่ทั้งนี้ก็พูดคุยกันว่าในฎีกาคดีนี้ มีทั้งส่วนที่เป็นปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริง โดยในส่วนของปัญหาข้อกฎหมายควรจะสามารถฎีกาได้อยู่ ซึ่งจะต้องพิจารณายื่นโต้แย้งคำสั่งต่อไป
คดีที่จังหวัดยะลานั้น พรชัยถูกศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนให้จำคุก 2 ปี โดยศาลจังหวัดยะลาอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกา แต่ล่าสุดเขาได้ร้องให้ศาลสั่งถอนประกันตัวคดีนั้นแล้ว เพราะหากไม่สามารถฎีกาได้ คดีก็จะสิ้นสุดลง ต้องรับโทษตามคำพิพากษาอยู่ดี การถอนประกันจึงทำให้เขาเริ่มถูกนับโทษในคดีนั้นระหว่างถูกคุมขังนี้ทันที
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจะตัดสินใจไม่ฎีกาในคดีที่เชียงใหม่นี้อีกด้วย เนื่องจากคิดว่ายังไงก็จะถูกคุมขังในคดีที่จังหวัดยะลาอยู่ดี และการฎีกาก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ศาลกลับคำพิพากษา จึงหวังว่าคดีที่สิ้นสุดจะทำให้เข้าเกณฑ์ลดหย่อนโทษต่าง ๆ โดยเร็วมากกว่า
พรชัยกลับมาเล่าถึงเรื่องอาชีพของเขา ในช่วงก่อนถูกคุมขัง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 เขาได้ไปลงทุนทดลองปลูกดอกดาวเรืองที่จังหวัดกาญจนบุรี และกิจการกำลังไปได้ค่อนข้างดี มีตลาดที่รับซื้อ เขายังหวังอยากกลับไปสานต่องานดังกล่าว
พรชัยแซวว่ามือของเขาก่อนหน้านี้ค่อนข้างสกปรก เปรอะเปื้อน มีรอยแตก เหตุจากไปเพาะปลูกพรวนดินปลูกดอกไม้ แต่ตอนนี้ถูกคุมขังมาเดือนเศษ มือเริ่มกลับมาขาวสะอาดแล้ว พร้อมยกฝ่ามือแปะกับกระจกที่กั้นระหว่างคนเยี่ยมกับผู้ถูกขังให้ทนายดู พลางหัวเราะ
ในเรื่องการถูกคุมขัง พรชัยบอกว่าชีวิตของเขาผ่านความยากลำบากมามาก ทำให้เขาปรับตัวต่อสภาพที่เกิดขึ้นได้ เพียงแต่เสียดายหลายสิ่งหลายอย่างภายนอก ทั้งธุรกิจ และการใช้ชีวิต แต่เขาก็ยังเชื่อว่าตนเองจะได้ออกไปในเร็ววัน
พรชัยพยายามอยากให้ช่วยฝากข้อความถึงรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ให้กลับมาคำนึงถึงประเด็นนักโทษการเมือง การนิรโทษกรรมประชาชน รวมถึงการแก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร
เขาเล่าอีกว่าตนเองติดตามปัญหาทางการเมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2557 ตอนนั้นเป็นการติดตามข่าวสารโดยไม่ได้ออกมาทำอะไร แต่หลังปี 2563 ในฐานะที่เขาเป็นคนปกาเกอะญอ เขารู้สึกว่าอยากออกมาช่วยเปิดพื้นที่ให้กับพี่น้องชาติพันธุ์ ให้มีส่วนร่วมทางการเมือง และทำให้การเมืองดีขึ้น
แต่กลายเป็นว่าเขาถูกมองว่ายุยงปลุกปั่น ล้มล้างสถาบันฯ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เขาย้ำว่าเขารู้จักรากเหง้าของตนเอง ทราบถึงโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ของสถาบัน แต่กฎหมายและรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่มันเป็นปัญหา การพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้ไปกล่าวหากันไปมา และการพูดไม่ควรจะต้องทำให้เข้ามาอยู่ในคุก
พรชัยยังเล่าว่าผู้ต้องขังในเรือนจำส่วนใหญ่ประมาณ 98% เป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด หลายคนถูกปล่อยตัวแล้วก็ต้องกลับเข้ามาอีก บางคนออกไปแล้วก็สิ้นหวัง บางคนพยายามหาทางทำมาหากิน แต่ก็เป็นได้ยาก การคุมขังเพียงอย่างเดียวจึงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหายาเสพติด มิหนำซ้ำดูเหมือนอาจทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ได้เข้ามารู้จักกันเพิ่มขึ้นในเรือนจำอีก
พรชัยมีความคิดว่าน่าจะลองทำโครงการทำนอง “ชีวิตใหม่เริ่มต้นได้เสมอ” โดยเขาอยากจะลองมีส่วนร่วมในการพูดสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความเข้าใจ สร้างความหวัง ให้กับผู้ต้องขังให้กลับออกไปจากเรือนจำ แล้วไม่ต้องกลับมาอีก และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ดีขึ้น เขาคิดว่าการได้เล่าประสบการณ์ตัวเอง โดยมีเทคนิคหรือจิตวิทยาการพูด น่าจะเป็นประโยชน์กับหลายคน จึงอยากฝากเสนอเรื่องนี้ดูด้วย
สุดท้าย พรชัยยังฝากข้อความถึงคนอื่น ๆ ที่ถูกดำเนินคดี รวมถึงถูกจองจำจากการแสดงออกทางการเมืองในปัจจุบัน
“ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในเรือนจำประเทศนี้ ขอให้อยู่อย่างมีความหวัง พวกเราทุกคนมีความหวัง และความตั้งใจดีที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้ อยากให้เดินหน้าไปได้ดีกว่านี้ แต่ละที่อาจมีความแตกต่างกันไป แต่เราก็อยากให้ทุกคนอยู่ด้วยความหวัง อย่าไปโทษตัวเอง หรือหวาดระแวงกับอัตราโทษ เพียงแต่กติกา กฎหมาย มันมีปัญหา เราไม่ใช่อาชญากร หรือภัยทางความคิด แต่เราคือส่วนหนึ่งผู้บุกเบิกเส้นทางให้กับประเทศนี้
“ทำใจให้ดี เย็นให้ได้ และหยุดให้เป็น” พรชัย บอกปิดท้ายด้วยคำคมในแบบของเขา
และในฐานะคริสเตียน พรชัยยังบอกว่าเขาสวดอธิษฐานทุกวัน และยังฝากข้อความถึงพี่น้องคริสตชนว่า ขอให้ช่วยกันอธิษฐานให้ประเทศมีเสรีภาพ ให้มีพื้นที่กับประชาชน ให้โอกาสกับความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมือง
.
ย้อนอ่านเรื่องราวชีวิตของพรชัย การต่อสู้ของ “พรชัย”: จากคนบนดอย คนจร พ่อค้า ผู้ชุมนุม และผู้ถูกดำเนินคดี ม.112
.