25 มีนาคม 2564
เป็นเวลา 16 วันแล้ว นับตั้งแต่ 11 มี.ค. 64 ที่ “พรชัย” หนุ่มปกาเกอะญอวัย 37 ปี ถูกจองจำระหว่างการฝากขังในข้อกล่าวหาด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ทั้งที่ยังไม่เริ่มการพิจารณาคดีด้วยซ้ำ เพียงแต่พนักงานสอบสวน “เกรงว่าจะหลบหนี” และ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ไม่ให้ประกันตัว โดยระบุว่าพฤติการณ์แห่งคดี “ถือเป็นเรื่องร้ายแรง”
สิ่งแรกเมื่อพรชัยพบกับทนายความ เขาบอกด้วยเสียงดังชัดเจน หน้าตาขึงขังว่า “ผมจะอดข้าว อดน้ำนะครับ” เมื่อสอบถามถึงเหตุผลในการตัดสินใจเช่นนั้น พรชัยเล่าว่าระหว่างที่ถูกคุมขังในเรือนจำ และไม่สามารถแสดงออกในโลกภายนอกได้เท่าไรนัก เขาคิดว่ามันไม่มีวิธีการต่อสู้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนอีกแล้ว นอกจากการอดข้าวอดน้ำ
เขายืนยันต่อว่าการที่เขาถูกจองจำอยู่นี้ ทำให้เห็นถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกดขี่ข่มเหงประชาชนคนธรรมดาซึ่งไม่มีทางต่อสู้ได้เลย ตอนนี้เขาเห็นว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่จะต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งการถูกคุมขังไว้แบบนี้ เป็นเสมือนการบีบบังคับให้เขาต่อสู้ด้วยวิธีการนี้ ซึ่งสำหรับเขาเป็นวิธีการสุดท้ายแล้วที่ตนพอจะทำได้ เมื่อสอบถามว่าพรชัยจะเริ่มการอดอาหารตั้งแต่เมื่อไร เขาแจ้งว่าจะเริ่มในวันที่ 26 มีนาคม นี้
ระหว่างการพูดคุย พรชัยได้ชูกระดาษ 3 แผ่น ที่เขาได้เขียนแสดงเจตนารมณ์เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ มีเนื้อหาในจดหมายดังกล่าวโดยสรุปว่าพรชัย “ขอประกาศอดข้าว อดน้ำ หากเกิดเหตุล้มป่วย ผมขอให้คุณหมอตัดสินใจทันที ไม่ต้องเยื้อชีวิตผมเอาไว้ และผมขอบริจาค (ร่างกาย) ให้โรงพยาบาลในเครือพระคริสต์”
พรชัยยังเล่าต่อว่า การเลือกอดอาหารของเขาไม่ใช่การต่อสู้กับคดีความที่เขาต้องเผชิญอยู่เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้กับตัวของเขาเองด้วย เขาตัดสินใจว่าแม้ที่สุดแล้วจะต้องเสียชีวิตลง ก็ถือว่าเขาได้ตายอย่างผู้บริสุทธิ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่ต้องเผชิญอยู่
“ความเป็นอยู่ของผมตอนนี้ก็ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ในห้องขังนี้ ฉะนั้นโลกที่เหลืออยู่ของผมคือโลกภายในของผมเอง ผมขอเลือกต่อสู้กับมัน ให้มีแสงสว่างบ้างสักนิดก็ยังดี ผมขอเป็นเทียนเล่มหนึ่งแล้วกัน ถ้ามันจะไม่ได้อะไร ก็เป็นเทียนสักเล่มในความมืดนี้”
ด้านทนายความเมื่อได้รับรู้เจตนารมณ์ของพรชัยแล้ว ก็ทำได้เพียงรับทราบการตัดสินใจของเขา ก่อนที่จะอธิบายถึงการจะลองยื่นประกันตัวเขาอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้ เพื่อให้เขาได้มีสิทธิออกมาต่อสู้คดีความ
จากการสอบถามพรชัย เขาระบุว่าเริ่มสนใจการเมืองตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่มีการนำเสนอแนวคิดของ “คณะราษฏร” พร้อมกับการเสนออุดมการณ์ 3 ข้อ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก, แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จึงได้ศึกษาข้อมูลและติดตามความเคลื่อนไหวของประชาชนนับจากนั้น จนกระทั่งออกไปร่วมชุมนุมครั้งแรกเมื่อมีการนัดหมายเดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังทำเนียบรัฐบาล เขาเล่าว่าเขาได้เดินทางกลับไปยังที่พักก่อนที่จะเกิดการสลายการชุมนุมที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจต่อการปฏิบัติต่อประชาชนของรัฐบาลอย่างมาก
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยิ่งทำให้พรชัยออกไปร่วมการชุมนุมเพื่อร่วมยืนยันข้อเสนอเท่าที่จะมีเวลาไปได้ แม้ว่าเขาจะไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักในการร่วมชุมนุมเลย สลับกับการหารายได้เลี้ยงชีพไปด้วย นอกจากนั้นพรชัยเล่าว่าเขามักจะโพสต์เชิญชวนให้ผู้คนไปร่วมการชุมนุมตามกลุ่มเฟซบุ๊กต่างๆ พร้อมกับการถ่ายทอดสดบรรยากาศการชุมนุมเพื่อให้ผู้คนได้รับรู้อีกด้วย กระทั่งความตื่นตัวทางการเมืองดังกล่าวนำเขาสู่การถูกจับกุมดำเนินคดี และการถูกคุมขังในที่สุด
ณ วันนี้ เขาเริ่มการต่อสู้บทใหม่อีกครั้ง แม้อยู่ภายใต้การถูกจองจำและไม่เหลือหนทางให้แสดงออกมากนัก ในท่อนหนึ่งของข้อความสั้นๆ ที่เขาเตรียมไว้สำหรับการประกาศอดอาหาร เขายืนยันถึงเจตนารมณ์ของเขาไว้อีกว่า
“อะไรจะเกิดให้มันเกิด ผมมั่นใจสิ่งที่ผมพูดทำมันถูกต้องแล้ว ผมก็คนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ผมไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่ชอบธรรมในประเทศอย่างไร้เหตุผล ผมเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างโดดเดี่ยวกล้าหาญมากพอที่ผมจะแสดงออกอย่างเปิดเผย ผมรู้ด้วยว่าการเผชิญหน้ากับหนทางนี้ ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกหวาดกลัวและหวั่นไหว และต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมาก ขอให้ผู้ร่วมอุดมการณ์คณะราษฏร์ และพี่น้องประชาชน แข็งแกร่งเข้าไว้”
ฟ้าหลังฝน : เป็นจริงเสมอ
สุดท้ายนี้ผมจะบอกว่า : คุกขังตัวผมไว้ได้ แต่ขังจิตวิญญาณผมไม่ได้ !!!
(จากเรือนจำกลางเชียงใหม่)
อ่านเรื่องราวของพรชัย
ปอท.แสดงหมายค้น – สภ.บันนังสตา จ.ยะลา แจ้งข้อหา ม.112-116 หนุ่มแม่ฮ่องสอนในเรือนจำเพิ่มอีกคดี
บันทึกทนายความ: การเข้าเยี่ยม “พรชัย” หนุ่มปกาเกอะญอ ผู้ถูกคุมขังในคดี ม.112