จากสถานการณ์ที่ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 พบว่าในการพิจารณาคดีของศาลอาญา ได้เริ่มมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในรายคดี โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 และคดีจากการแสดงออกทางการเมืองที่ประชาชนให้ความสนใจ โดยระบุห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
ก่อนหน้านี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบสถานการณ์ดังกล่าวในจำนวน 4 คดี ทั้งในคดีมาตรา 112 และคดีละเมิดอำนาจศาลของอานนท์ นำภา หลังจากนั้นพบว่าในเดือนพฤษภาคม ไม่พบคดีที่มีคำสั่งลักษณะนี้เพิ่มเติม
จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน 2568 กลับมามีคดีที่ศาลอาญามีคำสั่งในลักษณะนี้อีกอย่างน้อย 3 คดี โดยเป็นคดีมาตรา 112 และคดีจากการชุมนุมทางการเมืองเช่นกัน ได้แก่
1. คดีของ “ตั้ม” จิรวัฒน์ ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก “คนกลมคนเหลี่ยม” โพสต์ภาพการ์ตูนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 ในนัดสืบพยานนัดแรก ศาลในห้องพิจารณาคดีที่ 805 ได้มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ด้วยข้อความเดียวกับคดีก่อนหน้านี้ ว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป“
แต่คดีนี้จำเลยได้กลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ทำให้ไม่ได้มีการสืบพยานหลังจากนั้น
2. คดีจากการชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 เมื่อปี 2563 ซึ่งมีนักกิจกรรม 7 คน ถูกฟ้องในข้อหาหลักตามมาตรา 112, มาตรา 116 และข้อหาอื่น ๆ
คดีนี้เริ่มสืบพยานมาตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ห้องพิจารณา 801 ของศาลอาญา โดยในตอนแรกศาลไม่ได้มีคำสั่งในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด จนกระทั่งการสืบพยานในช่วงกลางเดือน คือวันที่ 18 มิ.ย. 2568 และการสืบพยานต่อเนื่องหลังจากนั้น ได้แก่ วันที่ 19-20 มิ.ย., 24-25 มิ.ย. 2568 ศาลได้เริ่มบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาในแต่ละวัน ถึงการห้ามนำพฤติการณ์ในห้องพิจารณาคดีไปถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะ
แต่ในคดีนี้ ข้อความต่างไปจากคดีก่อนหน้านี้ ได้แก่ “เพื่อความเหมาะสม เห็นสมควร ห้ามมิให้บุคคลใดเปิดเผยข้อเท็จจริง พฤติการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะไม่ว่าโดยวิธีใดโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 36 (2) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญามาตรา 15 มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป”
3. คดีของ “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ ถูกฟ้องข้อหาตามมาตรา 112 กรณีโพสต์วิจารณ์ตำรวจสลายกิจกรรมขายกุ้งของกลุ่ม We Volunteer พาดพิงการใช้ภาษีของประชาชน เมื่อปี 2563
คดีนี้สืบพยานที่ห้องพิจารณา 711 โดยตลอดการสืบพยานโจทก์ ไม่ได้มีคำสั่งในลักษณะนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งในการสืบพยานจำเลยนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 ศาลได้มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาคดีระบุว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป“
รวมแล้วขณะนี้มีคดีทางการเมืองที่ศาลอาญามีคำสั่งลักษณะนี้แล้วจำนวน 7 คดี
.
พยายามอ่านคำพิพากษาโดยจำกัดผู้เข้าฟัง
ขณะเดียวกัน ในเดือนมิถุนายนนี้ ยังมีคดีจากการชุมนุมทางการเมืองที่มีนัดอ่านคำพิพากษา และประชาชนให้ความสนใจไปติดตามคดีที่ศาล และพบว่าศาลมีการอ่านคำพิพากษาที่กระทบต่อการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย
ทั้งคดีที่ศาลอาญา ได้แก่ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2568 ในนัดฟังคำพิพากษาคดีชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว ของอานนท์ นำภา และจิรฐิตา ซึ่งมีประชาชนไปติดตามการอ่านคำพิพากษาจำนวนมาก ได้มีความพยายามให้มีการนำตัวจำเลยลงไปอ่านคำพิพากษาที่ห้องเวรชี้ 1 แทนห้องพิจารณาเดิม ซึ่งห้องดังกล่าวนี้ประชาชนจะไม่สามารถเข้าไปร่วมฟังคำพิพากษาได้ แต่จะอนุญาตเฉพาะทนายจำเลยเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ โดยระบุสาเหตุทำนองเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย ไม่เป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัยฯ
ทั้งเจ้าหน้าที่ศาลยังแจ้งจิรฐิตา ที่ไม่ได้ถูกควบคุมตัวอยู่ว่า หากไม่ลงไปยังห้องเวรชี้ 1 อาจส่งผลกระทบกับเรื่องการพิจารณาให้ประกันตัวได้ แต่ทางจำเลยก็ยังคงยืนยันว่าจะไม่มีการลงไปด้านล่างแต่อย่างใด โดยเน้นย้ำถึงหลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชน
ภายหลังศาลจึงยอมให้มีการอ่านคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดี 714 ดังเดิม โดยมีเงื่อนไขว่าจะอนุญาตให้มีผู้เข้าฟังการพิจารณาจำนวนไม่เกิน 6 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นญาติหรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับจำเลย คนอื่น ๆ ที่เหลือห้ามเข้าห้องพิจารณา
อีกคดีหนึ่ง ได้แก่ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2568 ศาลแขวงปทุมวันนัดฟังคำพิพากษาคดีของนักกิจกรรม 13 คน จากกรณีร่วมชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ เมื่อปี 2563 ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีความร้ายแรง
คดีนี้มีทั้งจำเลยที่เดินทางไปฟังคำพิพากษาหลายคน และมีนักกิจกรรมที่ถูกคุมขังอยู่ 4 คน ถูกนำตัวจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษา ทำให้มีญาติและประชาชนไปติดตามคดีหลายคน
ในตอนแรก เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ได้แจ้งให้ญาติและผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องพิจารณาคดีที่ 710 โดยอ้างว่าสถานที่มีความคับแคบแออัด อาจเสี่ยงต่อการระบาดของโควิด-19 แต่ประชาชนที่มารอฟังคำพิพากษาได้ร้องขอให้มีการเปิดประตูห้องศาลเอาไว้ เพื่อให้สามารถได้ยินคำพิพากษาได้ หากกังวลเรื่องโควิด-19 โดยยืนยันถึงหลักการอ่านคำพิพากษาที่ต้องเป็นไปอย่างเปิดเผย
เมื่อศาลนั่งบัลลังก์ ยังได้ชี้แจงว่าการอ่านคำพิพากษาอย่างเปิดเผยนั้น หมายถึงการอ่านคำพิพากษาอย่างเปิดเผยต่อหน้าจำเลย ไม่ใช่เปิดเผยต่อผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงอนุญาตให้เฉพาะจำเลย ทนายความ และผู้ช่วยทนายความอยู่ในห้อง ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษา โดยไม่ได้เปิดประตูห้องไว้ขณะอ่านคำพิพากษาคดีนี้
.
การพิจารณาโดยเปิดเผย ในฐานะกลไกในระบอบประชาธิปไตย
สถานการณ์ดังกล่าว มีแนวโน้มจะเกิดเพิ่มมากขึ้นในคดีจากการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองที่ยังรอการพิจารณาพิพากษาอยู่อีกหลายคดี ก่อให้เกิดข้อถกเถียงว่าการออกคำสั่งดังกล่าว และการพยายามอ่านคำพิพากษาโดยจำกัดผู้เข้าฟัง ในคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งควรยิ่งต้องเป็นไปโดยเปิดเผยและโปร่งใส เปิดโอกาสให้สื่อมวลชน และสาธารณชนติดตามสังเกตการณ์ นำเสนอรายงานสถานการณ์คดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เช่นนี้ ขัดต่อหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมหรือไม่
ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ศาลไม่ได้เป็นเพียงผู้ตัดสินข้อพิพาทระหว่างคู่ความ แต่ยังเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนในนามของรัฐ การกระทำทุกอย่างในห้องพิจารณาคดีจึงควรจะต้องอยู่ภายใต้การรับรู้ของประชาชนได้
“ความเปิดเผยต่อสาธารณชนคือจิตวิญญาณของความยุติธรรม…มันทำให้แม้แต่ผู้พิพากษาเอง ขณะพิจารณาคดี ก็กลายเป็นผู้ที่กำลัง ‘ถูกพิจารณา’ ไปด้วย” — เจเรมี เบนแธม นักปฏิรูปกฎหมายและสังคม
แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่มาในหลักการ “พิจารณาคดีอย่างเปิดเผย” ซึ่งเป็นหลักประกันเพื่อสร้างการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (Right to Fair Trial) ที่จะทำให้กระบวนการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างถูกต้อง เปิดเผยต่อสาธารณชน และหากพิจารณาคดีไปในทางที่ไม่ถูกต้องย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้
อย่างไรก็ตาม การห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณา และการจำกัดไม่ให้ประชาชนเข้าฟังการพิจารณา หากกระทำโดยไม่ระมัดระวัง อาจกลับกลายเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบโดยสาธารณชน
เมื่อห้องพิจารณาถูกปิด สาธารณชน-สื่อมวลชน ไม่สามารถเข้าฟังการพิจารณาคดี แม้แต่ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี ย่อมกระทบต่อความไว้วางใจของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม หรือเรียกว่ากระบวนการยุติธรรมในที่มืดที่เบนแธมเคยเตือนไว้ว่า
“ในที่มืดของความลับ ผลประโยชน์และความชั่วร้ายทุกรูปแบบย่อมแผ่ขยายได้อย่างไม่สิ้นสุด… ที่ใดไร้ซึ่งการเปิดเผย ที่นั่นย่อมไร้ซึ่งความยุติธรรม”
ในสังคมที่ความยุติธรรมของศาล ถูกตั้งคำถามมากขึ้น การเปิดเผยต่อสาธารณชนย่อมจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นต่อศาลว่าจะพิจารณาไปด้วยความโปร่งใส (Transparency) และเป็นหัวใจของความชอบธรรม (Legitimacy) ในการใช้อำนาจรัฐ
.
ย้อนอ่าน ศาลอาญาเริ่มสั่งห้ามนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีเผยแพร่สู่สาธารณะ ในคดี ม.112 – คดีประชาชนให้ความสนใจ
.