‘โพสต์เมื่อสิบปีที่แล้ว’ พิพากษาจำคุก ‘วิจิตร’ 20 ปี ก่อนลดเหลือ 10 ปี เหตุโพสต์ข้อความ 10 โพสต์ในช่วงรัฐประหาร 57 ก่อนต้องเข้าเรือนจำรอผลประกันตัว

18 มี.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาคดีของ “วิจิตร” (นามสมมติ) ประชาชนจากจังหวัดขอนแก่นวัย 59 ปี ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ที่ถูกฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) รวม 10 กรรม จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กพร้อมภาพประกอบทั้งสิ้น 10 โพสต์ ระหว่างวันที่ 24 ต.ค. 2557 – 20 มิ.ย. 2558 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองในช่วงหลังรัฐประหารในขณะนั้น และมีบางโพสต์พาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์

ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 10 กรรม เป็นจำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 10 ปี ไม่รอลงอาญา ต่อมาศาลมีคำสั่งให้ส่งศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่งประกันตัว ทำให้เย็นวันนี้วิจิตรจะถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างรอคำสั่ง

.

สำหรับคดีนี้มี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา เป็นผู้กล่าวหา ย้อนไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2566 วิจิตรถูกจับกุมที่บ้านพักในจังหวัดขอนแก่น ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ออกไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2561 และนำตัวไปทำบันทึกการจับกุมที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 และในวันเดียวกันเขาถูกนำตัวมายังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโลยี (บก.ปอท.) ในกรุงเทพฯ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำ

ในวันต่อมา (20 ก.ย. 2566) พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา “นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กพร้อมภาพประกอบ จำนวน 10 โพสต์ ระหว่างวันที่ 24 ต.ค. 2557 – 20 มิ.ย. 2558 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองในช่วงหลังรัฐประหารในขณะนั้น และมีบางโพสต์พาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ ในกระบวนการนี้มีทนายความอยู่ร่วมด้วย และวิจิตรให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

วิจิตรถูกควบคุมตัวอยู่ที่ บก.ปอท. ต่ออีกหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้น (21 ก.ย. 2566) เขาถูกนำตัวไปขอฝากขังที่ศาลอาญา ศาลอนุญาตให้ฝากขัง และอนุญาตให้ประกันตัว โดยให้วางหลักทรัพย์ 90,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามกระทำการในลักษณะที่ถูกกล่าวหาอีก และห้ามทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยหลักทรัพย์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์

ผ่านไปเดือนเศษ วันที่ 7 พ.ย. 2566 พนักงานอัยการ สำนักอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6) มีคำสั่งฟ้องวิจิตรในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ รวมทั้งสิ้น 10 กรรม โดยบรรยายว่าข้อความทั้งหมดเป็นข้อมูลเท็จ ไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นติชมโดยสุจริต เป็นการพาดพิงสถาบันกษัตริย์ฯ ซึ่งเป็นที่เคารพของประชาชน โดยไม่เหมาะสม เป็นการสร้างความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และอาจทำให้เข้าใจผิดว่าข้อความดังกล่าวเป็นความจริง ทำให้ประชาชนไม่เคารพสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นการให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน

หลังจากศาลรับฟ้องไว้ ในนัดสืบพยานเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ก่อนเริ่มสืบพยาน วิจิตรตัดสินใจเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ทำให้ศาลมีคำสั่งสืบเสาะและนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้

.

วันนี้ (18 มี.ค. 2568) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 903 วิจิตรเดินทางมาฟังคำพิพากษาจากจังหวัดขอนแก่นพร้อมกับลูกจ้างของเขาหนึ่งคน นอกจากนั้นยังมีทนายความและผู้สังเกตการณ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และเจ้าหน้าที่โครงการ Freedom Bridge อีกทั้งยังมี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้กล่าวหาในคดีนี้เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วย

ก่อนฟังคำพิพากษา วิจิตรเล่าให้ฟังว่าเขาและลูกจ้างเดินทางจากจังหวัดขอนแก่นตั้งแต่วานนี้ โดยขับรถยนต์มา ซึ่งใช้เวลาประมาณหกชั่วโมง เขาเล่าว่ามีความกังวลอยู่สองเรื่องหลัก คือเขาเป็นเสาหลักครอบครัวที่ต้องส่งเสียลูกทั้ง 3 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ทั้งหมดในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย และเขายังมีงานที่ต้องทำต่อ ในงานรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา มีลักษณะเฉพาะ ต้องใช้ความชำนาญพิเศษในการก่อสร้าง หาคนมาทำแทนได้ยาก และยังมีวัดที่รอการก่อสร้างอยู่จำนวนมาก

ต่อมาเวลาประมาณ 09.28 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์และเริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีอื่นก่อน จากนั้นจึงเริ่มอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ โดยอ่านเพียงสั้น ๆ ว่า จำเลยให้การรับสารภาพ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดที่จำเลยถูกฟ้องมีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง

พิพากษาว่า ว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงกันไป ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 10 กรรม เป็นจำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 10 ปี ไม่รอลงอาญา

หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ วิจิตรถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลควบคุมตัวลงไปที่ห้องเวรชี้ ระหว่างรอคำสั่งประกันตัวในชั้นอุทธรณ์

ต่อมาในเวลา 15.30 น. ศาลมีคำสั่งให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาคำร้องขอประกันตัว ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอีก 2-3 วัน จึงจะทราบผลคำสั่ง ทำให้เย็นวันนี้วิจิตรจะถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างรอคำสั่ง

ทำให้ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมือง จำนวนอย่างน้อย 46 คนแล้ว ในจำนวนนี้มีผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี อย่างน้อย 28 คน

.

น่าสังเกตว่าคดีของ “วิจิตร” ไม่ได้มีการนำมาตรา 112 มาใช้กล่าวหา โดยหากพิจารณาวันที่ศาลออกหมายจับ คือวันที่ 11 ก.ย. 2561 พบว่าเป็นช่วงเวลาที่รัฐมีนโยบายการเปลี่ยนแปลงแนวทางการบังคับใช้มาตรานี้ โดยไม่นำข้อหานี้มาใช้กล่าวหาในคดีใหม่ ๆ แต่มักนำข้อกล่าวหาอื่นมาใช้กล่าวหาต่อการแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์แทน เช่น ข้อหามาตรา 116 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นต้น จนกระทั่งมีการนำมาตรา 112 กลับมาใช้กล่าวหาอีกครั้งในช่วงการชุมนุมของนักศึกษาเยาวชนปลายปี 2563 เป็นต้นมา

สำหรับข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มักถูกนำมาใช้ในคดีจากการโพสต์แสดงออกทางการเมืองด้วย โดยเฉพาะมาตรา 14 ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีปัญหาในการบังคับใช้อย่างมาก เนื่องจากใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ถูกใช้ตีความได้อย่างกว้างขวาง และเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจได้อย่างกว้างขวาง 

.

* เพิ่มเติมข้อมูลวันที่ 21 มี.ค. 2568

วันที่ 21 มี.ค. 2568 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัววิจิตร ระบุว่า “พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 10 กระทงรวมจำคุก 10 ปี หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”

.

ย้อนเรื่องที่เกี่ยวข้อง

ย้อนมอง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ: การจำกัดเสรีภาพผ่านความคลุมเครือของตัวบท

คุยกับสาวตรี สุขศรี ว่าด้วย ‘เฟกนิวส์’ และความกว้าง เทา คลุม ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

X