บันทึกการต่อสู้คดี ม.112 ของ “โฟล์ค สหรัฐ” กรณีปราศรัย ‘ภัยของการพูดถึงพระราชาเพียงด้านดี’ และ ‘การกลับมาบังคับใช้ 112’ ใน #ม็อบบ๊ายบายไดโนเสาร์

ในวันที่ 19 ต.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาในคดี ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ “อดีตสามเณรโฟล์ค” สหรัฐ สุขคำหล้า บัณฑิตนักศึกษาปริญญาตรีจากวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และ สมาชิกแนวร่วมราษฎรศาลายาเพื่อประชาธิปไตย จากกรณีร่วมปราศรัยประเด็น “ราชภัย” และ “การกลับมาบังคับใช้มาตรา 112” ในม็อบ ‘บ๊ายบายไดโนเสาร์’ ที่จัดโดยกลุ่มนักเรียนเลว เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2563 บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) สถานีสยาม

คดีนี้มีผู้กล่าวหาเป็นประชาชนทั่วไป คือ ‘รัฐธนภักษ์ สุวรรณรัตน์’ ไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2564 โฟล์ค สหรัฐ ได้เข้าไปพบ พ.ต.ต.ปรวีร์ สุขพงษ์ พนักงานสอบสวน ตามหมายเรียก โดยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา 

จากนั้นเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2564 อัยการได้ยื่นฟ้องคดีนี้โดยมี รพีพัฒน์ ภักดีวงศ์ เป็นพนักงานอัยการผู้เรียบเรียงฟ้อง โดยกล่าวหาว่ามีข้อความที่เข้าข่ายองค์ประกอบมาตรา 112 จำนวน 2 ข้อความ ได้แก่

1. ขณะขึ้นปราศรัย จําเลยได้กล่าวข้อความตอนหนึ่งว่า “เมื่อคุณได้เข้าไปที่วัด คุณมักจะเห็นการเทศน์ของพระสงฆ์ แต่คุณไม่เคยตั้งคําถามหรือถามพระสงฆ์กลับไปว่า สิ่งที่พระสงฆ์สอนนั้นมันถูกจริงหรือไม่ ทําไมการที่พูดถึงพระราชานั้นจะต้องพูดถึงแค่ด้านดีอย่างเดียว ทําไมเราไม่พูดถึงภัยของพระราชาบ้างครับ…” 

อัยการบรรยายว่า คําว่าพระราชา หมายถึง พระมหากษัตริย์ และขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ข้อความดังกล่าวจึงทําให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือประชาชนทั่วไปซึ่งได้รับฟังหรืออ่านข้อความนั้นเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 เป็นบุคคลผู้ทรงน่ากลัว หรือเป็นบุคคลผู้ทรงอันตรายที่จะนําพามาซึ่งความเดือดร้อนแก่ประเทศ 

2. ข้อความตอนหนึ่งว่า “…พล.อ.ประยุทธ์ ได้บอกว่า เนี่ย จะมีการใช้กฎหมายทุกมาตรา แม้กระทั่ง 112 ถ้าคุณพูดแบบนี้ปุ๊บเนี่ย พระมหากษัตริย์จะผิด คําสัญญาหรือคําซื่อสัตย์นะครับ เพราะกษัตริย์ตรัสว่า จะไม่ใช้ 112 กับมวลชน และมันมีที่มาบอกว่า กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคํา ถ้าคุณยังใช้ ม.112 เนี่ย แสดงว่าคุณยังเป็นกษัตริย์อยู่หรือไม่…”

อัยการบรรยายว่า ข้อความดังกล่าวทําให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือประชาชนทั่วไปซึ่งได้รับฟังหรืออ่านข้อความนั้นเข้าใจว่า รัชกาลที่ 10 ทรงตรัสว่าไม่ให้ใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือจะไม่ใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 มาดําเนินคดีกับผู้ที่ล่วงละเมิดสถาบัน และภายหลังกลับคําให้มาใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 บังคับแก่ประชาชน ทําให้ประชาชนเข้าใจรัชกาลที่ 10 เป็นกษัตริย์ที่ไม่น่าเคารพเชื่อถือ ไม่มีสัจจะวาจา ไม่รักษาคําพูดหรือไม่รักษาคํามั่นสัญญา และทําให้เข้าใจว่ารัชกาลที่ 10 ทรงเข้ามาแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายบ้านเมือง 

ภาพรวมการสืบพยาน:

โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยปราศรัยเป็นการทำลายสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน

ด้านจำเลยต่อสู้ว่า เป็นการพูดถึงปัญหาในศาสนาพุทธ รวมถึงเสนอหลักการแยกศาสนาออกจากรัฐ และประเด็นเรื่องการกลับมาบังคับใช้ 112 เป็นการวิจารณ์พลเอกประยุทธ์ ที่ทำให้กษัตริย์ผิดคำสัญญาตามหลักทศพิธราชธรรม

ศาลนัดสืบพยานทั้งสองฝ่ายรวมแล้วทั้งหมด 7 นัด โดยสืบพยานโจทก์ระหว่างวันที่ 14-15, 17, 21 มี.ค., 21 และ 28 ส.ค. 2566 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 5 ก.ย. 2566 อัยการนำพยานโจทก์เข้าสืบทั้งสิ้น 10 ปาก และฝ่ายจำเลยได้นำพยานเข้าสืบจำนวน 2 ปาก จนเสร็จสิ้น 

ก่อนการเริ่มสืบพยาน จำเลยรับข้อเท็จจริงว่าได้พูดปราศรัยตามคำฟ้องจริง แต่คำปราศรัยไม่ได้เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่อย่างใด

ในการต่อสู้คดี ฝ่ายโจทก์พยายามนำสืบว่าข้อความปราศรัยทั้งสองท่อนเข้าข่ายมาตรา 112 โดยกล่าวถึงกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน และข้อความทำให้พระกษัตริย์เสื่อมเสีย  

ด้านจำเลยต่อสู้ว่า การปราศรัยเรื่องราชภัยเป็นการกล่าวถึงด้านดีและด้านเสียของพระราชาตามพระไตรปิฎก และปัญหาการสอนศาสนาพุทธในประเทศไทย รวมถึงนำเสนอข้อคิดแยกศาสนาออกจากรัฐ ส่วนคำปราศรัยเรื่องการกลับมาบังคับใช้มาตรา 112 จำเลยวิพากษ์วิจารณ์พลเอกประยุทธ์ที่กล่าวอ้างถึงรัชกาลที่ 10 มาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนกลับไปกลับมา ส่งผลกระทบต่อกษัตริย์ตามหลักทศพิธราชธรรม และการพิจารณาคำปราศรัย ต้องดูเนื้อหาทั้งหมด ไม่ใช่เพียงตัดข้อความบางส่วนมากกล่าวหา

บันทึกการสืบพยานโจทก์

ผู้กล่าวหาอ้างว่าโกรธที่จำเลยปราศรัยดูหมิ่น ชี้ต้องการแก้ต่างให้ในหลวง จึงเข้าแจ้งความ

รัฐธนภักษ์ สุวรรณรัตน์ – ประกอบอาชีพเป็นผู้แนะนำการลงทุน คดีนี้พยานเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์กับจำเลยในข้อหามาตรา 112 ไว้ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2564 โดยได้ยื่นเอกสารประกอบคำร้องทุกข์ และดีวีดีการปราศรัยของจำเลยในวันเกิดเหตุ

พยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2564 เวลา 18.00 น. ขณะพยานพักอยู่คอนโดแห่งหนึ่ง พยานได้เปิดเพจเฟซบุ๊กสำนักข่าวและพบวิดีโอปราศรัยของจำเลยในการชุมนุม “บ๊ายบายไดโนเสาร์” ของกลุ่ม “นักเรียนเลว” ซึ่งถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2563 ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าสยาม กรุงเทพฯ

พยานเห็นว่าจำเลยพูดปราศรัยเกี่ยวกับอำนาจที่มองไม่เห็น เรื่องศาสนา และได้พูดมาถึงเรื่องสถาบันฯ ด้วย ใช้เวลาปราศรัยทั้งหมดประมาณ 20 นาที โดยได้ฟังตลอดทั้งการปราศรัยนั้น และเห็นว่าจำเลยปราศรัยข้อความที่ผิดกฎหมายจำนวน 2 ข้อความด้วยกัน

ในข้อความที่ 1 ตามฟ้อง พยานเข้าใจว่า จำเลยมีเจตนาอยากให้พูดถึง ‘ภัยของพระราชา’ พยานเข้าใจว่า หมายถึง พระราชาทำให้ประชาชนเสียหายเดือดร้อน โดยพระราชาที่ว่านั้นก็น่าจะเป็นรัชกาลที่ 10 ข้อความนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่นกษัตริย์

ส่วนข้อความที่ 2 ตามฟ้อง พยานเข้าใจว่า จำเลยพูดถึงรัชกาลที่ 10 ว่าไม่ให้ใช้มาตรา 112 กับประชาชน ทั้งที่ในความเป็นจริงกษัตริย์ไม่สามารถสั่งรัฐบาลได้ เป็นการดูหมิ่นฯ และกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์ กลับกลอก ทำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชัง ซึ่งความจริงพยานเข้าใจว่ากษัตริย์ไม่สามารถแทรกแซงการเมืองได้ และไม่เคยได้ยินท่านตรัสว่าจะไม่ให้ใช้มาตรา 112 มาก่อน การบังคับใช้กฎหมายใด ๆ ก็ตามเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร นั่นก็คือ ‘รัฐบาล’ พยานจึงคิดว่าคำพูดนี้มาจากพลเอกประยุทธ์ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไว้ สิ่งที่จำเลยปราศรัยนั้นจึงไม่เป็นความจริง 

พยานกล่าวว่าคำปราศรัยของจำเลยแม้จะไม่มีการเอ่ยถึงพระนามของรัชกาลที่ 10 แต่เมื่อฟังแล้วก็สามารถสื่อถึงได้ เพราะในคำปราศรัยต่อมามีการพูดถึงเลข 904 ซึ่งประชาชนจะเข้าใจได้ทันทีว่าสื่อถึงรัชกาลที่ 10 เพราะ เป็นเลขประจำตัวของพระองค์ หากค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ตก็จะทราบโดยทันที ส่วนพยานทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะติดตามข่าวสารการเมืองอยู่ตลอด

ทนายจำเลยถามค้าน

พยานกล่าวตอบว่า ในวันเกิดเหตุมีผู้ผลัดเปลี่ยนขึ้นพูดปราศรัยหลายคน แต่พยานไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ฟังเฉพาะคำปราศรัยของจำเลยเท่านั้น เพราะสะดุดกับคำว่า 904 เลยทำให้กลับไปเริ่มฟังการปราศรัยของจำเลยแบบละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง พยานเห็นด้วยว่าคำปราศรัยส่วนใหญ่ของจำเลยนั้นพูดถึงเรื่องศาสนา 

พยานกล่าวว่านักการเมือง ‘ไม่มีความน่าเชื่อถือ’ รวมถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเห็นด้วยที่ว่าพลเอกประยุทธ์ เป็นคนปลิ้นปล้อน คำพูดเชื่อถือไม่ได้ 

พยานกล่าวว่าสำนักข่าว Thai PBS มีความน่าเชื่อถือ จากนั้นเมื่อพยานดูวิดีโอที่นำเสนอข่าวกรณีที่พลเอกประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ เรื่อง “ในหลวง” ทรงมีพระเมตตารับสั่งไม่ให้ใช้ ม.112 พยานตอบว่า ไม่รู้ว่าประยุทธ์จะโกหกหรือไม่

ทั้งนี้ พยานไม่เคยสอบถามความจริงกับสำนักพระราชวัง และยังไม่เคยเห็นราชสำนักออกมาชี้แจงในประเด็นนี้ รวมถึงพยานก็ไม่เคยไปแจ้งความดำเนินคดีกับพลเอกประยุทธ์ว่าแอบอ้างคำสั่งของรัชกาลที่ 10 อีกด้วย

พยานทราบว่าภายหลังประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น ต่อมาเพียงไม่กี่เดือนประยุทธ์ก็ให้สัมภาษณ์อีกว่าจะใช้กฎหมายทุกฉบับเพื่อเอาผิดกับผู้ชุมนุมในขณะนั้น

พยานเห็นว่าหากจำเลยจะวิจารณ์เรื่องการใช้มาตรา 112 นั้นย่อมทำได้ แต่จะต่อว่ากษัตริย์ไม่ได้ พยานทราบว่าในช่วงปี 2563 – 2564 มีการบังคับใช้มาตรา 112 กับผู้เห็นต่างทางการเมืองและผู้ชุมนุมหลายคน ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะมีประชาชนจำนวนมากเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 และเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

พยานอ้างว่าไม่รู้จักกลุ่มคนปกป้องสถาบันที่สนับสนุนไม่ให้ยกเลิกมาตรา 112 และสนับสนุนให้ใช้มาตรา 112 อีกด้วย แต่พยานทราบว่ามีกลุ่มเหล่านี้อยู่จริง

พยานนับถือศาสนาพุทธ แต่พยานไม่ทราบว่าในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึง ‘ภัยพระราชา‘ ด้วย ก่อนจะไปแจ้งความร้องทุกข์กับจำเลย พยานก็ไม่เคยค้นหาเกี่ยวกับคำว่าภัยพระราชามาก่อนว่ามีอยู่จริงหรือไม่

ทนายจำเลยอธิบายว่า คำว่า ‘ภัยพระราชา‘ นั้น หากเป็นสมัยก่อนจะใช้คำว่า ‘ต้องราชภัย’ ตัวอย่างเช่น พระราชาต้องราชภัยจนต้องหนีไปบวช ซึ่งหมายความว่าพระราชามีภัยจนต้องหนีไปบวช หากเป็นคำปัจจุบัน ‘ต้องราชภัย’ อาจสามารถใช้กับการที่ประชาชนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 แต่พยานไม่เห็นด้วยและบอกว่า การถูกดำเนินคดีมาตรา 112 นั้นเรียกว่าเป็นคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ หากจะเปรียบเทียบคำว่าต้องราชภัยในบริบทปัจจุบันจะต้องเป็นกรณีที่ถูกกษัตริย์ลงโทษ

พยานเห็นด้วยว่า คำว่าภัยพระราชาในบริบทของคำปราศรัยของจำเลยที่กล่าวว่า “ทําไมเราไม่พูดถึง ‘ภัยของพระราชา’ บ้างครับ…” เป็นการตั้งคำถามถึงพระสงฆ์ในวัดว่าทำไมไม่สอนให้พูดถึงทั้งข้อดีและข้อเสีย

เมื่อฟังคลิปปราศรัยของจำเลยเสร็จแล้ว พยานรู้สึกโกรธ เพราะคิดว่ามีเรื่องให้พูดหลายประเด็น แต่ทำไมต้องเลือกพูดถึงในหลวงท่านด้วย และพยานรู้สึกว่าอยากแก้ต่างให้กับในหลวง

พยานเห็นด้วยกับที่จำเลยปราศรัยว่า ‘กษัตริย์เป็นคนเท่ากัน ไม่ใช่สมมติเทพ’ แต่ธรรมเนียมของประเทศไทยไม่ได้ห้ามไม่ให้พูดถึง ‘เรื่องไม่ดี’ ของพระราชา

พยานเห็นด้วยว่าในคำปราศรัยของจำเลยนั้นไม่มีคำหยาบคาย ในคำปราศรัยมีข้อเท็จจริงรองรับอยู่ด้วยตัวอย่างเช่น กรณีการให้สัมภาษณ์ของประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนคำปราศรัยที่พูดถึงเรื่องศาสนาว่ากษัตริย์สามารถแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชได้นั้นเป็นกฎหมายที่เพิ่งเปลี่ยนแปลงในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งพยานไม่ทราบเรื่องนี้

อัยการถามติง

พยานเห็นว่าการพูดหรือวิจารณ์กษัตริย์นั้นสามารถทำได้ แต่ที่ตนไปกล่าวโทษกับจำเลยนั้นเป็นเพราะเห็นว่าจำเลยไม่ได้วิจารณ์อย่างสุจริต อย่างเช่นถ้อยคำว่า “คุณยังเป็นกษัตริย์อยู่หรือไม่ …” เห็นว่าเป็นการกล่าวหากษัตริย์

.

พนักงานสอบสวนเบิกความ ไม่เคยส่งหนังสือถามสำนักพระราชวังว่าในหลวงตรัสกับพลเอกประยุทธ์เช่นนั้นหรือไม่

ร้อยตำรวจเอกพงศกร ข้องสาย – ปัจจุบันรับราชการตำรวจอยู่ที่ สน.บางยี่ขัน ขณะเกิดเหตุทำงานอยู่ที่ สน.ปทุมวัน ตำแหน่งพนักงานสอบสวน มีหน้าที่สอบสวนผู้ชุมนุม รวบรวมหลักฐานที่ทำผิดมาลงโทษ

ในคดีนี้พยานรับผิดชอบคดีร่วมกับกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งแต่งตั้งพยานเป็นพนักงานสอบสวนร่วมกับ พันตำรวจตรีปรวีย์ สุขพงษ์ 

พยานได้สอบคำให้การไว้ 2 ปาก คือ กันตเมธส์ จโนภาส และ พันตำรวจโทวัชรินทร์ อ่วมฟุ้ง เจ้าหน้าที่สืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล ซึ่งได้นำหลักฐานที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบมอบให้กับพยาน

พยานให้ กันตเมธส์ ตรวจสอบคำถอดเทปปราศรัยที่เข้าข่าย ในนาทีที่ 27.48 ความว่า “ทำไมการพูดถึงพระราชาต้องพูดถึงแต่ด้านดี” ซึ่งได้ให้ความเห็นว่าเป็นการพูดถึงรัชกาลที่ 10 เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ ส่วนคำว่า “ภัยของพระราชา” ไม่ได้ให้ความเห็นคำดังกล่าว นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้ให้ความเห็นในคำปราศรัยวรรคอื่นอีก

พยานเบิกความว่าได้ส่งมอบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้กับ พ.ต.ต.ปรวีย์ พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวน

ทนายความถามค้าน

พยานตอบยืนยันว่า กันตเมธส์ จโนภาส ไม่ได้ให้ความเห็นเรื่องพลเอกประยุทธ์ รวมถึงข้อความปราศรัยที่ 2 ตามคำฟ้องแต่อย่างใด 

พยานตอบยืนยันตามที่ทนายถามในข้อความที่ กันตเมธส์ เห็นว่าเป็นความผิด ว่าคนเรามีทั้งด้านดีและไม่ดีเป็นธรรมดา และกล่าวเสริมว่าการวิพากษ์วิจารณ์ต้องอยู่บนความสุจริต และถ้าหากบุคคลพูดกลับไปกลับมาก็สามารถวิจารณ์ได้ ถ้าเป็นคนทั่วไป การวิพากษ์วิจารณ์อาจทำให้คนนั้นดีขึ้นได้ แต่ต้องไม่ใช่การหมิ่นประมาท หรือทำให้เกิดความเสียหาย ส่วนกษัตริย์ การวิพากษ์วิจารณ์ก็ทำให้ดีขึ้นได้

พยานยืนยันตามที่ถามว่าในขณะที่เกิดเหตุนั้นมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนเขาจะจงรักภักดีต่อสถาบันหรือไม่นั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล พยานไม่ทราบ และเขาจะนำเรื่องที่้มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ มาโกหกต่อหน้าสื่อมวลชนหรือไม่ ก็ไม่ทราบ ซึ่งการสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนจะมีความน่าเชื่อถือหรือไม่นั้น พยานกล่าวว่าต้องดูที่แหล่งที่มาก่อน ส่วนจะมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ พยานไม่ตอบ

คำว่าราชภัย พยานกล่าวว่าตนไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ทราบจากการสืบค้นข้อมูลในการทำคดีนี้ ทนายถามพยานว่าราชภัยคือภัยของราชาใช่หรือไม่ พยานตอบว่าในฐานะบุคคลธรรมดาส่งผลต่อรู้สึกต่อคนทั่วไป รวมถึงตัวพยานเองด้วย เนื่องจากการพูดถึงด้านดีและไม่ดีของสถาบันฯ นั้นกระทบต่อจิตใจของพยาน แต่ก็ยังคงทำงานตามอำนาจหน้าที่ต่อไป 

พยานกล่าวว่าไม่เคยส่งหนังสือไปถามสำนักพระราชวังว่าในหลวงได้ตรัสกับพลเอกประยุทธ์เช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะว่าเป็นการทำงานในรูปแบบคณะทำงาน ส่วนคนอื่นจะส่งหรือไม่ก็ไม่ทราบ และพยานไม่เคยเห็นสำนักพระราชวังออกมาแถลงปฏิเสธเรื่องดังกล่าว

พยานกล่าวว่าในกรณีทั่วไป การพูดบนฐานความจริงสามารถทำได้ ส่วนในกรณีกษัตริย์ การพูดบนฐานความจริงก็สามารถพูดได้ แต่ต้องเป็นการใช้ช่องทางที่ชอบด้วยกฎหมายและสุจริต ไม่มีการดูหมิ่นเสียดสี

เกี่ยวกับเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์ขบวนเสด็จ พยานกล่าวว่าเคยได้ยินเรื่องดังกล่าว ท่านปรับปรุงตนเองให้เข้ากับยุคสมัยมาโดยตลอดและทราบต่อมาว่ามีการปิดถนนเพื่อขบวนเสด็จน้อยลง แต่ในประเด็นเรื่องที่ในหลวงรับสั่งให้คนที่มารับเสด็จไม่ต้องนั่งกับพื้นนั้น พยานไม่ทราบ

พยานกล่าวว่าตนเองเพิ่งเข้ารับราชการเป็นตำรวจที่ สน.ปทุมวัน เมื่อปี 2563 จึงไม่ทราบเหตุการณ์ในปีก่อนหน้า ซึ่งในขณะที่พยานเรียนกฎหมาย พยานไม่ทราบเรื่องการนำมาตรา 112 มาบังคับใช้ และเห็นว่าในเมื่อมีกฎหมายนี้อยู่แล้ว ถ้าหากพบการกระทำผิดก็สามารถนำมาดำเนินคดีความได้ ส่วนในขณะที่เกิดเหตุคดีนี้จะมีการบังคับใช้มาตรา 112 อย่างกว้างขวางหรือไม่นั้น พยานไม่ทราบ

พยานกล่าวยืนยันว่า พันตำรวจโทวัชรินทร์ อ่วมฟุ้ง ที่พยานสอบเป็นพยาน ไม่ได้ระบุว่าจะดำเนินคดีกับผู้ใด เป็นเพราะว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหา จึงไม่ให้ตำรวจผู้ที่ทำรายงานให้ความเห็นว่าต้องดำเนินคดีหรือไม่ พันตำรวจโทวัชรินทร์ได้ให้ความเห็นเฉพาะเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เพราะตำรวจจะไม่เข้าไปให้ความหมายกับมาตรา 112 ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นข้อห่วงใยของผู้บังคับบัญชา ซึ่งตำรวจผู้นั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด เพราะเป็นการบอกต่อกันมา

ส่วนตำรวจจะแจ้งความได้หรือไม่นั้น พยานกล่าวว่าขณะนี้มีนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 558/2563 ว่าหากพบการกระทำผิดในคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ต้องจัดทำเป็นรายงานต่อผู้บังคับบัญชาก่อนแจ้งความดำเนินคดี แต่ในคดีนี้มีประชาชนมาแจ้งความร้องทุกข์ก่อน ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องใช้ระเบียบนั้น ซึ่งในคดีนี้ประชาชนมาร้องทุกข์เมื่อใด ตนไม่ทราบ

อัยการถามติง

อัยการถามพยานว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ถอนตัวจากการเป็นพนักงานสอบสวน และพยานเป็นผู้ทำความเห็นในคดีนี้หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้ทำคนเดียว ทำเป็นคณะทำงาน และส่งไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อกรองความเห็นในอีกชั้นหนึ่ง

.

ตำรวจศูนย์วิทยุนารายณ์เบิกความรหัส ‘904’ เป็นรหัสประจำตัวของในหลวง ร.10

สุทธิศักดิ์ พอดี – สารวัตรฝ่ายอำนวยการ งานศูนย์รวมข่าววิทยุนารายณ์ กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์วิทยุนารายณ์มีหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากกองตำรวจนครบาลเกี่ยวกับการระงับเหตุระหว่างการรับเสด็จและดูแลเส้นทางขบวนเสด็จ

พยานกล่าวว่าในการสื่อสารกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอันทราบกันดีอยู่แล้วว่า พระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์จะมีเลขรหัสประจำตัวในการเสด็จไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งรัชกาลที่ 10 มีรหัสเลขอยู่ 3 ชุด ได้แก่ 

  1. หากเสด็จโดยมีหมายกำหนดการ จะใช้รหัสเลข 093
  2. หากเสด็จเป็นเป็นการส่วนพระองค์ จะใช้รหัสเลข 943
  3. หากเสด็จไปยังโครงการในพระราชดำริ จะใช้รหัสเลข 904

รหัสเลขเหล่านี้ โดยเฉพาะรหัสเลข 904 ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมใน ‘โครงการจิตอาสาพระราชทาน’ ซึ่งประชาชนทราบเรื่องนี้อยู่แล้วในชื่อเดิมว่า ‘โครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร.’ เป็นโครงการในพระราชดำริของรัชกาลที่ 10 และรหัสเลข 904 ก็ไม่ใช่ความลับทางราชการแต่อย่างใด

โครงการดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ พยานเชื่อว่าประชาชนสามารถเข้าใจได้ว่า 904 เป็นรหัสเลขประจำตัวของรัชกาลที่ 10 หากไม่ทราบก็สามารถสืบค้นจากสื่อต่าง ๆ ได้อยู่แล้ว หมายเลข 904 หากพูดเฉย ๆ ไม่ได้มีความหมายใด แต่หากพูดในงานราชการจะหมายถึง ‘รัชกาลที่ 10’ แต่หากประชาชนพูดในเรื่องทั่วไป เช่น เลขหวย เลขประจำทางรถโดยสาร เลขที่บ้าน ฯลฯ ก็ไม่ได้เป็นความผิดเพราะไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่าน

พยานไม่ได้ฟังคำปราศรัยของจำเลย แต่พนักงานสอบสวนติดต่อมาเพื่อขอให้เป็นพยานความเห็นเกี่ยวกับรหัสเลข 904 จากนั้นพยานจึงได้เข้าพบพนักงานสอบสวนและให้การในประเด็นดังกล่าวเท่านั้น

ทนายจำเลยถามค้าน

พยานกล่าวว่าหากซื้อหวยชุดเลข 904 ก็ไม่ได้มีความผิดและไม่ได้มีการห้ามไม่ให้ออกเลขสลาก 904 ด้วย ส่วนรหัสอื่น ๆ ก็สามารถใช้รหัส 904 ได้เช่นกัน เช่น เลขโทรของรัฐฟลอริดา แต่หากเป็นในประเทศไทยก็จะมีรถเมล์สาย 904 ซึ่งก็ไม่ได้มีความผิดใด

อัยการถามติง

พยานตอบว่าหากฝันถึงรัชกาลที่ 10 ก็จะซื้อหวยเลข 093, 943, 904 เพราะทราบอยู่แล้วว่าเป็นรหัสเลขประจำพระองค์

.

นักวรรณศิลป์ ราชบัณฑิตฯ เบิกความว่าไม่สามารถตีความถ้อยคำที่เป็นประโยคได้ และไม่สามารถให้ความเห็นว่าถ้อยคำหมิ่นสถาบันฯ หรือไม่ เพราะเกินอำนาจหน้าที่

กุลศิรินทร์ นาคไพจิตร รับราชการเป็นนักวรรณศิลป์ชำนาญการพิเศษ อยู่ที่สำนักงานราชบัณฑิตยสถาน มีหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องหลักเกณฑ์การใช้ภาษาไทย ทำงานมาประมาณ 23 ปี 

พยานเบิกความว่า สำนักงานราชบัณฑิตยสถานมีหน้าที่เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเรื่องหลักการใช้ภาษาไทย จัดทำพจนานุกรม และอนุรักษ์ภาษาไม่ให้แปลเปลี่ยนไปในทางที่เสื่อม ส่วนพยานสามารถให้การในประเด็นความหมายของ ‘คำ’ โดยอ้างอิงจากที่ปรากฏในหนังสือพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน และได้ให้การกับพนักงานสอบสวนไว้แล้ว ตัวอย่างเช่น คำว่า ‘พระราชา’ ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานไม่ได้มีระบุความหมายไว้ แต่มีความหมายของคำว่า ‘พระ’ และ ‘ราชา’ พยานจึงให้ความหมายเป็นคำ ๆ ตามที่ปรากฏ และคำว่า ‘ภัยราชา’ ก็สามารถตีความแยกเป็นคำ ๆ ไปเช่นกัน ได้แก่ คำว่า ‘ภัย’ และ ‘ราชา’ 

พยานไม่สามารถตีความถ้อยคำที่เป็น ‘ประโยค’ ได้ เนื่องจากต้องอาศัยปัจจัยอื่นหลายอย่างประกอบด้วย เช่น เจตนา อารมณ์ บริบท เป็นต้น อย่างประโยค “ยังเป็นกษัตริย์หรือไม่” พยานไม่สามารถให้ความหมายได้ เพราะถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นประโยค

ทนายจำเลยถามค้าน

พยานตอบทนายความว่า แม้จะเป็นคดีอื่นที่ไม่ใช่คดีมาตรา 112 พยานก็สามารถเบิกความได้เพียงเท่านี้ จะไม่สามารถตีความถ้อยคำที่เป็นประโยคได้ และไม่สามารถให้ความเห็นว่าถ้อยคำนั้นหมิ่นสถาบันฯ หรือไม่ เพราะเกินอำนาจหน้าที่ในการทำงานของพยาน รวมถึงเกินขอบเขตหน้าที่ของสำนักงานราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งต้องให้ข้อมูลที่เป็นกลางต่อสาธารณชน

.

‘คมสัน โพธิ์คง’ เห็นว่าคำพูดจำเลยเป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ว่าผิดคำพูด ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด แต่เห็นด้วยว่าคำพูดของพลเอกประยุทธ์มีความน่าเชื่อถือ

คมสัน โพธิ์คง – อาชีพรับจ้างทั่วไป จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทกฎหมายมหาชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปสอบปากคำ เนื่องจากเคยมีประสบการณ์เขียนหนังสือกฎหมายอาญาให้กับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ในหัวข้อความผิดต่อความมั่นคง 

พยานได้ดูบันทึกถอดเทปคำปราศรัยของจำเลยแล้วเห็นว่าเป็นข้อความที่ดูหมิ่นกษัตริย์ และในขณะที่จำเลยกล่าวถึงกษัตริย์ในถ้อยคำปราศรัยก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงรัชกาลที่ 10 เนื่องจากมีการกล่าวอ้างถึงการที่นักข่าวไปสัมภาษณ์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ข้อความดังกล่าว คมสันเห็นว่าจำเลยได้กล่าวหาในพื้นที่สาธารณะว่ากษัตริย์เป็นผู้ที่ผิดคำพูดย่อมทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เนื่องจากพยานเห็นว่าคนในสังคมไทยมักไม่ยอมรับผู้ที่ผิดคำพูด และข้อความตามฟ้อง ที่มีการกล่าวถึงตัวเลข 904 พยานเข้าใจว่าเป็นนามวิทยุ ของรัชกาลที่ 10 ซึ่งมีชื่อเรียกเต็ม ๆ อีกชื่อว่าเดโชชัย 904 แต่เรียกโดยย่อว่า 904 

นอกจากนี้ พยานเห็นว่าในประเด็นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ ไม่ได้เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการตำหนิติเตียน โดยไม่มีข้อเท็จจริงว่ารัชกาลที่ 10 เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร

ทนายถามค้าน

คมสันตอบยืนยันว่าพยานเคยไปให้ความเห็นในชั้นสอบสวนว่า ‘กลุ่มนักเรียนเลว’ เป็นกลุ่มที่ออกมาแสดงความเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ไม่ทราบตามที่ทนายถามว่า อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ และ ตรีดาว อภัยวงศ์ จะมีเป็นผู้มีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างไร และจะเป็นผู้ที่เห็นด้วยกับ กปปส. หรือไม่อย่างไร

พยานกล่าวเห็นด้วยกับทนายความว่าเราสามารถติชมกษัตริย์ได้ แต่ต้องเป็นการพูดที่ไม่สร้างความเสียหาย หรือถ้าหากกษัตริย์ทำผิดก็เห็นด้วยว่าสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้

ส่วนที่ถามเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของประยุทธ์เรื่องในหลวงไม่ให้ใช้ ม.112 พยานไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ยืนยันว่าการที่ประยุทธ์ออกมาให้สัมภาษณ์เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือได้ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อทนายนำภาพข่าวที่มาจากสำนักข่าว Thai PBS ให้พยานดู และถามกับพยานว่าสำนักข่าวดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ พยานตอบว่ามีความน่าเชื่อถือ และยืนยันตามที่ถามว่าในช่วงที่มีการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 10 มีข่าวที่ออกมาว่าจะทรงยับยั้งไม่ให้ใช้มาตรา 112 กับกลุ่มที่เห็นต่างทางการเมือง ทั้งนี้พยานตอบว่าเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าตรัสจริงหรือไม่ 

.

‘อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ เบิกความว่าจำเลยทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่ากษัตริย์เป็นภัยอันตราย และเป็นกษัตริย์ที่ไม่รักษาคำพูด 

อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์  – อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สอนวิชาเกี่ยวกับสถิติประยุกต์เป็นหลักและไม่ได้จบหรือศึกษาวิชากฎหมายใด ๆ 

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานได้รับเชิญจากพนักงานสอบสวนให้ไปสอบปากคำเกี่ยวกับคำปราศรัยของจำเลย เมื่อพยานได้ดูถ้อยคำทั้งหมดแล้วก็เข้าใจว่าจำเลยกล่าวหารัชกาลที่ 10 ว่าเป็นภัย เป็นสิ่งอันตราย ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ซึ่งการกระทำของจำเลยขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำให้ประชาชนดูหมิ่น เกลียดชังกษัตริย์ 

พยานเข้าใจถ้อยคำตามฟ้องได้อีกว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่ไม่รักษาคำพูด โดยใช้มาตรา 112 กับประชาชน พยานเห็นว่าข้อความของจำเลยไม่มีหลักฐานอ้างอิง เป็นการพูดให้คนเข้าใจผิดว่ากษัตริย์ไม่รักษาคำพูด แม้จะมีประยุทธ์ออกมาพูดกับสื่อ แต่ก็ไม่มีข้อมูลอื่นนอกจากนี้ หรือมีหลักฐานที่บอกว่าเป็นกระแสรับสั่งของกษัตริย์จริง ๆ 

นอกจากนี้ อานนท์ได้เบิกความว่าการที่จำเลยออกมาพูดแบบนี้ ก็เนื่องจากได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจาก สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งทั้งสองบุคคลมักกล่าวหาโจมตีสถาบันกษัตริย์อยู่เป็นประจำ 

ทั้งนี้ พยานกล่าวว่าตัวเองไม่เคยติดตามข่าวการชุมนุมที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่จำได้ว่าจำเลยในคดีนี้เคยถูกแจ้งความมาตรา 112 ที่ สน.บางเขน จากการปราศรัยที่บริเวณหน้าราบ 11 อีก 1 คดี (โดยข้อเท็จจริงจำเลยถูกดำเนินคดีมาตรา 112 คดีนี้เพียงคดีเดียว)

ทนายจำเลยถามค้าน

พยานยอมรับว่าตัวเองไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองตามที่ทนายจำเลยถาม และอธิบายว่าบุคคลทั่วไปก็ไม่มีใครเป็นกลางทางการเมือง และยอมรับว่าตัวเองเคยเข้าร่วมกลุ่ม กปปส. จริง แต่เคยเรียกกลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าเป็นกลุ่มสามกีบหรือไม่ ไม่ขอตอบ 

อานนท์ยอมรับว่าตัวเองเคยไปเป็นพยานโจทก์ในคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 มาแล้วหลายคดี แต่เรื่องที่ถามว่าจะนำข้อความที่ตัวเองเคยเบิกความไปโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวหรือไม่ พยานไม่ขอตอบ และไม่ทราบว่าในแต่ละคดีที่ไปนั้น พยานจะไปในฐานะพยานบุคคลทั่วไปหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ 

เมื่อทนายถามต่อว่าเวลาที่พยานไปเบิกความในชั้นศาล และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีมาตรา 112 พยานก็มักจะโพสต์ลงเฟซบุ๊กเพื่อเสียดสีจำเลยในคดีต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง พยานบอกว่าไม่ขอตอบ 

ทั้งนี้ อานนท์ยอมรับว่าตนเป็นหนึ่งในนักวิชาการของกลุ่มสถาบันทิศทางไทย แต่จะเป็นหนึ่งในผู้โพสต์ข้อความบนเพจดังกล่าวหรือไม่ และกลุ่มจะมีแนวความคิดทางการเมืองตรงข้ามกับจำเลยหรือไม่ พยานก็ไม่ขอตอบ เหตุที่ไม่ตอบคำถามใดเลยนั้นเป็นเพราะไม่เกี่ยวกับคดีนี้ 

อย่างไรก็ตาม อานนท์เบิกความตอบว่า เห็นด้วยที่กษัตริย์ควรสามารถติชมได้โดยสุภาพ สุจริต และถูกกฎหมาย และมีหลักฐานที่ยืนยันได้ ส่วนที่พลเอกประยุทธ์เคยออกมาให้สัมภาษณ์ เห็นว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะเป็นเพราะตัวพลเอกประยุทธ์ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ พยานกล่าวว่านักการเมืองเชื่อถือไม่ได้

ทั้งนี้ ทนายถามกับพยานเรื่องคำว่า ‘ราชภัย’ มีความหมายว่าภัยของพระราชาหรือไม่ พยานไม่ทราบ

อานนท์ยืนยันข้อเท็จจริงว่าตนเองรู้จักกับตรีดาวเป็นการส่วนตัว ในฐานะรุ่นพี่ – รุ่นน้องที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน และทราบว่าตรีดาวเคยสอนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ตรีดาวจะเคยเป็นแกนนำกลุ่ม กปปส. หรือ และจะเคยจัดกิจกรรมรวมตัวที่บ้านของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พยานไม่ทราบ ส่วนเรื่องการพูดคุยกันบนโลกโซเชียล พยานขอไม่ตอบ

ทนายจึงถามต่อไปว่า คนที่พูดจากลับไปกลับมา เราสามารถวิจารณ์และติชมได้ใช่หรือไม่ พยานเห็นว่าทำได้ แต่ก็จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์

อัยการถามติง

พยานยืนยันตามที่อัยการถามว่าได้ให้การกับพนักงานสอบสวนไว้แล้วว่านายกรัฐมนตรีอาจถ่ายทอดพระราชกระแสรับสั่งไม่ถูกต้อง และเมื่อไม่ได้มีการตรัสออกมาจากรัชกาลที่ 10 ก็มิอาจยืนยันความถูกต้องได้

พยานกล่าวว่าเพราะไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ จึงเห็นว่าคำพูดของจำเลยเป็นการกระทำผิด ถึงแม้ว่าจะเห็นด้วยกับทนายว่าสามารถวิจารณ์บุคคลที่พูดกลับไปกลับมาได้

.

‘ตรีดาว อภัยวงศ์’ เห็นว่าคำปราศรัยเป็นการใส่ความกษัตริย์ เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่า ร.10 พูดจริง

ตรีดาว อภัยวงศ์ อาจารย์พิเศษสาขาศิลปกรรมการแสดง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีโอกาสเป็นนักบำบัดจิตอาสา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทั้งยังเคยประกอบอาชีพนักข่าวที่ช่อง Blue Sky

เกี่ยวข้องกับคดีนี้ พยานได้รับเชิญจากพนักงานสอบสวนให้ไปสอบปากคำและให้ความเห็นเกี่ยวกับถ้อยคำปราศรัยของจำเลย เมื่ออ่านแล้วเข้าใจว่าผู้พูดมีทัศนคติที่เป็นลบกับกษัตริย์ และเห็นว่าข้อความทั้งหมดตามฟ้องไม่เป็นจริง เป็นการกล่าวหาใส่ร้ายกษัตริย์ 

ตรีดาวให้ความเห็นโดยเฉพาะในส่วนข้อความเรื่องราชภัยว่า ผู้พูดต้องการแสดงให้เห็นว่ากษัตริย์เป็นสิ่งไม่ดี เป็นอันตรายต่อประชาชนและประเทศชาติ และการปกครอง และเข้าใจได้ว่ากษัตริย์ที่หมายถึงคือรัชกาลที่ 10 เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 10

ในความเห็นของพยาน เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวแล้วรู้สึกว่ารัชกาลที่ 10 เป็นคนไม่น่าเคารพ อันตรายและไม่ดี ส่วนในอีกข้อความตามฟ้องพยานได้อ่านแล้วเห็นว่าไม่เป็นจริง ไม่มีหลักฐานว่ารัชกาลที่ 10 ได้กล่าวถึงไว้อย่างที่จำเลยพูด ทั้งหมดเป็นการล่วงละเมิดใส่ความ

สิ่งที่จำเลยได้ยินและได้ฟังมาจากนักวิชาการอย่างสมศักดิ์และปวิน ผู้ที่หนีคดีการเมืองอยู่ในต่างประเทศ และเคลื่อนไหวให้ข่าวบิดเบือนถึงสถาบันกษัตริย์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการนำมาปะติดปะต่อ ทำให้คนฟังเชื่อได้ว่ากษัตริย์ไม่มีความน่าเคารพ ซึ่งเข้าข่ายความผิดมาตรา 112

ทนายถามค้าน

พยานกล่าวตอบว่าตนเคยไปให้การในคดีมาตรา 112 มาแล้วหลายคดี และยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีความคิดเห็นเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งได้บอกกับพนักงานสอบสวนไปแล้วว่าเคยเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. แต่พนักงานสอบสวนยังคงยืนยันสอบปากคำเพราะต้องการความเห็นทางวิชาการ และเคยเข้าร่วมชุมนุมขับไล่ทักษิณออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

เมื่อทนายนำโพสต์บนเฟซบุ๊กของพยานเมื่อปี 2563 ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกลุ่มผู้ชุมนุมคนรุ่นใหม่ พยานบอกว่าเป็นโพสต์ที่แชร์มาเพื่อปราม แม้จะเห็นด้วยกับเรียกร้องบางข้อ แต่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

ทั้งนี้ ตรีดาวเห็นว่ากษัตริย์ควรวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ต้องไม่ละเมิดและไม่หมิ่นประมาทผิดกฎหมาย เมื่อถามต่อว่ากษัตริย์ก็มีทั้งด้านดีและไม่ดีใช่หรือไม่ พยานบอกว่าไม่แน่ใจขึ้นอยู่กับบริบทและเจตนาในการพูดด้วย 

อย่างไรก็ตาม พยานเคยได้ยินคำว่าราชภัยจากการชุมนุม แต่ไม่มั่นใจว่าคำดังกล่าวจะมีความหมายอย่างไร เพราะในหลักทางการละคร จะขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้พูดด้วย ส่วนเรื่องคำพูดของประยุทธ์ จันทร์โอชา พยานเห็นว่าเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งมา แต่จะโกหกประชาชนหรือไม่ พยานไม่สามารถตอบได้ 

ตรีดาวได้ยืนยันตามที่ทนายถามว่ารู้จักสำนักข่าว Thai PBS แต่เห็นว่าบางข่าวก็ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเพราะนักข่าวก็ไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาก่อนเผยแพร่ แต่ยืนยันตามที่ทนายจำเลยถามว่าเคยเห็นข่าวที่จำเลยปราศรัย

เมื่อทนายถามพยานว่าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคนที่ชอบพูดกลับไปกลับมา พยานตอบว่าควรจะติติงได้ ถ้าไม่ละเมิดหรือหมิ่นประมาท แต่กษัตริย์มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ แต่ยอมรับว่าหากกษัตริย์พูดกลับไปกลับมา ประชาชนก็สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ 

ทั้งนี้ พยานรู้จักกลุ่มคณะราษฎร แต่ก็ไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎรทั้งสองกลุ่ม พยานอธิบายว่าบรรพบุรุษของตนก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคณะราษฎร 2475 แต่ภายหลังก็ได้มีการเข้าไปกราบขอพระราชอภัยโทษแล้วหลังได้อำนาจมา

ส่วนข้อความที่แชร์เกี่ยวกับกลุ่มผู้ชุมนุมในปี 2563 พยานไม่ได้มีความรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แค่อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจและอยากให้กำลังใจกับสถาบันกษัตริย์เท่านั้น 

พยานเข้าใจว่าคำปราศรัยทั้งหมดไม่มีตรรกะที่ชัดเจน และทำให้ประชาชนเข้าใจว่ากษัตริย์ทรงอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทางการเมืองทั้งหมด

อัยการถามติง

พยานกล่าวตอบอัยการว่าจำเลยในคดีนี้ไม่ได้มีเจตนามาชุมนุมเพื่อยกเลิกมาตรา 112 แต่เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อว่าสถาบันกษัตริย์ไม่น่าเคารพ ใช้อำนาจเกินเลย และอยู่เบื้องหลังรัฐบาล ส่วนหลักฐานที่นำมาแสดงของฝ่ายจำเลย พยานเห็นว่าเป็นการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานโดยประจักษ์ 

.

สามประชาชนทั่วไปให้ความเห็นว่าคำปราศรัย ‘ราชภัย’ เป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ว่ามีภัยต่อประเทศชาติ

หนูจันทร์ พิมพหรมมา, นันทรัช เปี่ยมสิน และ ภูริทัต ตั้งจารุ เบิกความในทำนองเดียวกันว่าในข้อความปราศรัยที่ 1 ตามฟ้อง พยานเข้าใจว่ากษัตริย์เป็นผู้มี ‘ภัย’ ต่อประชาชนและประเทศชาติ กษัตริย์ในที่นี้เข้าใจว่าหมายถึงรัชกาลที่ 10 เพราะขณะปราศรัยนั้นพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์อยู่ แต่อย่างไรก็ตามพยานก็ยังจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์เช่นเดิม

หนูจันทร์ เบิกความต่อว่าในข้อความปราศรัยที่ 2 ตามฟ้อง เข้าใจว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าจะใช้กฎหมายมาตรา 112 และกฎหมายทุกฉบับเพื่อเอาผิดกับผู้ชุมนุม จะทำให้กษัตริย์เป็นคนผิดคำพูดกับประชาชน ซึ่งเหตุที่มาเป็นพยานในคดีนี้นั้นเนื่องจากตำรวจได้มาเจรจาขอให้มาเป็นพยานในคดีนี้

พยานกล่าวว่าการที่พลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ใช้มาตรา 112 นั้นไม่เหมาะสม ทำให้ประชาชนรู้สึกดูหมิ่น เกลียดชังสถาบันฯ เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ คนเชื่อถือได้ง่าย และการที่ภายหลังกลับมาบังคับใช้มาตรา 112 เห็นด้วยว่าเป็นการบอกว่ากษัตริย์ผิดคำพูด อย่างไรก็ตามหลังจากฟังปราศรัยจนถึงปัจจุบันพยานก็ยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อยู่เหมือนเดิม 

นันทรัช เบิกความว่า ถ้อยคำปราศรัยที่ 2 ตามฟ้อง พยานไม่ทราบว่าสิ่งที่จำเลยอ้างถึงพลเอกประยุทธ์นั้น ประยุทธ์พูดความจริงหรือไม่ เป็นการกล่าวหาลอย ๆ และพยานเห็นว่ากษัตริย์มีเฉพาะแง่ดีเท่านั้น การวิจารณ์กษัตริย์ในประเทศไทยถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ทั้งนี้ พยานกล่าวว่ารู้จักกับพยานคนก่อนหน้า (หนูจันทร์) มานานกว่า 5 ปีแล้ว

ภูริทัต เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เบิกความว่า ตนเองดูการปราศรัยย้อนหลังผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ โดยเลือกเฉพาะช่วงที่สำคัญเท่านั้น

ในถ้อยคำปราศรัยที่ 1 ตามฟ้อง พยานเห็นว่าหมายถึงรัชกาลที่ 10 เพราะมีการกล่าวถึงหมายเลข 904 ตามมาด้วย ซึ่งเป็นเลขประจำตัว หากค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ตก็จะทราบ ส่วนถ้อยคำปราศรัยที่ 2 ตามฟ้อง เห็นว่าเป็นการกล่าวหารัชกาลที่ 10 ว่ามีความชอบธรรมในการเป็นประมุขของรัฐอยู่หรือไม่ เป็นการตั้งคำถามต่ออำนาจของพระองค์ว่ามีอำนาจเข้าไปแทรกแซงหรือยับยั้งการใช้กฎหมาย รวมถึงมาตรา 112 ด้วย 

ในช่วงทนายจำเลยถามค้าน ภูริทัตตอบยอมรับว่าได้นัดแนะให้ ‘ผู้กล่าวหา’ พาไปตนพบตำรวจเพื่อติดต่อขอเป็นพยาน ทั้งนี้พยานรู้จักกันกับผู้กล่าวหามาก่อนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว และพยานเคยเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาก่อน 

.

บันทึกการสืบพยานจำเลย

จำเลยเบิกความ ปราศรัยตั้งคำถามถึงปัญหาในศาสนาที่หยิบยกแต่ด้านดีมาสอน อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ทำให้กษัตริย์ผิดคำสัญญาตามหลักทศพิธราชธรรม

สหรัฐ สุขคำหล้า จำเลยอ้างตัวเองเป็นพยาน เบิกความว่าขณะที่เกิดเหตุ พยานเป็นสามเณร ซึ่งบวชเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปี ที่วัดม่วงชุม จังหวัดพะเยา จนจบปริยธรรมชั้น ม.6 จากนั้นจึงเรียนต่อปริญญาตรีที่คณะศิลปศาสตร์ สาขาศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล จนกระทั่งสึกเมื่อปีปลายปี 2564 ปัจจุบันจบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว

เกี่ยวกับการปราศรัยของพยานในวันที่ 21 พ.ย. 2563 สาเหตุนั้นเกิดขึ้นที่ว่าพยานเป็นคนที่สนใจการเมืองและติดตามการชุมนุมอยู่แล้ว และในเดือน ต.ค. – พ.ย. 2563 มีการปราบปรามผู้ชุมนุม ทั้งที่ผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวโดยสันติ ซึ่งช่วงนั้นเป็นการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 

ขณะที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย พยานเป็นสมาชิกกลุ่มกิจกรรมศึกษาเพื่อพูดคุยประเด็นทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม เหตุที่ทำให้พยานได้ไปปราศรัยในวันเกิดเหตุนั้นมีกลุ่มนักเรียนเลวติดต่อผ่านมาทางกลุ่มกิจกรรมให้พูดภายใต้หัวข้อ “อำนาจที่มองไม่เห็นและความรุนแรงของรัฐ” ซึ่งสาระสำคัญในการปราศรัยในวันนั้นคือการแยกศาสนาออกจากรัฐ และการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง

พยานอธิบาย ‘การแยกศาสนาออกจากรัฐ’ ว่าเป็นการแยกศาสนาออกจากรัฐ ให้รัฐอยู่ในระบบ Secular state คือรัฐไม่สนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ และให้ศาสนาเป็นองค์กรที่ดูแลตนเอง โดยไม่พึ่งพิงรัฐ และแสดงจุดยืนให้หยุดใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือของรัฐ ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง

ในข้อความปราศรัยที่ 1 ตามฟ้อง เป็นการแสดงความเห็น คำพูดของจำเลยมีสิ่งที่ตามมาขยาย ฉะนั้นต้องดูบริบทให้ครบ ซึ่งข้อความที่ขยายอยู่ในนาทีที่ 28.34, นาทีที่ 29.05 และนาทีที่ 29.51 ด้วย

ส่วนประเด็นที่พูดเกี่ยวกับด้านดีและด้านเสียนั้นเป็นการทำให้ประชาชนรู้ว่าในคัมภีร์พระพุทธศาสนาสอนเรื่องพระราชาว่ามีทั้งด้านดีและด้านเสีย เพื่อเป็นคติสอนใจให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยจากที่ตนศึกษามานั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียของกษัตริย์ อยู่ในพระไตรปิฎก ทุติยภยสูตร เหตุที่พูดเช่นนี้เพราะว่าเป็นการตั้งคำถามต่อพระสงฆ์ของจำเลยเอง สืบเนื่องมาจากที่พระสงฆ์ทั่วไปในไทยเลือกสอนบางเรื่องและไม่สอนบางเรื่อง 

สืบเนื่องจากข้อความที่ว่า ‘เมื่อคุณเข้าไปที่วัด.. คุณมักจะเห็นการเทศน์..’ มีจุดประสงค์ในการตั้งคำถามเกี่ยวกับพระสงฆ์ในไทย และข้อความที่ว่า ทำไมเราไม่พูดถึงภัยของพระราชา’ นั้นมาจากพระสงฆ์ที่ไม่ได้หยิบยกมาสอนทั้งหมดนั้นเป็นปัญหา ทำให้ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้ จนนำมาสู่ข้อสรุปว่าทำไมถึงไม่พูดถึงภัยของพระราชา และกษัตริย์ที่จำเลยพูดถึงในประเด็นนี้ จำเลยกล่าวว่าตนไม่ได้พูดถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 แต่เป็นการพูดถึงกษัตริย์ในคัมภีร์

ข้อความเรื่องปัญหาในการเทศน์ในคำปราศรัยนาทีที่ 29.05 พยานได้ยกตัวอย่างว่าการพูดแต่ด้านดีของพระเวสสันดรเพียงอย่างเดียวก็มีปัญหาขาดบริบท จากที่เรียนมานั้น พระเวสสันดรเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ขี้เหนียว พยานกล่าวว่าต้องการให้มีการวิเคราะห์ถึงข้อดีและข้อเสียด้วย ซึ่งการพูดถึงข้อดีและข้อเสียของพระราชาปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกหลายเล่ม อย่างเช่น ธรรมิกกาสูตร 

ถัดมา ในข้อความปราศรัยที่ 2 ตามฟ้อง ระหว่างพยานเป็นสามเณร ได้ทราบว่าพลเอกประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์กับช่อง Thai PBS แต่ภายหลังเดือน ต.ค. – พ.ย. 2563 ก็มีการจับตัวประชาชนอย่างอานนท์และเพนกวิน ทำให้เห็นว่ายังมีการใช้มาตรา 112 อยู่ ทั้งนี้ จากที่ตนศึกษาธรรมอยู่นั้น พลเอกประยุทธ์ทำให้กษัตริย์ผิดคำสัญญาตามหลักทศพิธราชธรรม หรือธรรมที่ใช้ปกครองบ้านเมืองเสื่อมไป ซึ่งข้อความที่สองที่ถูกฟ้อง พยานกล่าวว่ามุ่งที่จะต่อว่าพลเอกประยุทธ์ ที่ใช้กฎหมาย

พยานกล่าวอธิบายว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นเป็นการตั้งคำถาม กษัตริย์ยังเป็นองคภาวะอยู่ในทศพิธราชธรรม แล้วคำว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ แล้วยังเป็นกษัตริย์อยู่หรือไม่นั้น เป็นคำสร้อยในเรื่องพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งเป็นคำพูดทั่วไป

ส่วนข้อความปราศรัยเรื่องไสยศาสตร์ในนาทีที่ 28.34 พยานกล่าวว่ามีบางวัดสอนเรื่องไสยศาสตร์ ตนเพียงต้องการให้คนเรียนธรรมะอย่างแท้จริง เข้าใจคำสอนอย่างถูกต้องเหมือนที่ตนได้เรียนในมหาวิทยาลัย

พยานกล่าวทิ้งท้ายด้วยคำว่าปฏิเสธ ตนไม่ได้หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ

พนักงานอัยการถามค้าน

สหรัฐเบิกความตอบอัยการว่า ตนเองทราบว่าในขณะที่ปราศรัยอยู่นั้นมีกษัตริย์ครองราชย์อยู่

ข้อความปราศรัยที่ 2 ตามคำฟ้อง ที่กล่าวว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ พยานไม่เคยได้ยิน และไม่เคยเห็นกับตัวเอง แต่ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์พูดกับผู้สื่อข่าวเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือ

สืบเนื่องจากข้อความปราศรัยที่ 2 ตามคำฟ้อง ที่กล่าวว่า “ถ้าคุณยังใช้ 112 …” พยานตอบอัยการว่าหมายถึงกษัตริย์องค์ปัจจุบัน และต้องขยายความว่า จริงอยู่ที่กษัตริย์บอกว่าจะไม่ใช้ แต่พลเอกประยุทธ์เป็นตัวแทนประชาชนและพูดกับสำนักข่าว ตนเชื่อเพราะเป็นคำพูดของนายกรัฐมนตรี และกล่าวเสริมว่า พูดตามหลักทศพิธราชธรรมเรื่องการไม่เบียดเบียนผู้ใด กษัตริย์จะไม่มีการใช้ 112 กับประชาชน

จากนั้นพยานได้ตอบอัยการว่าเจตนาของตนนั้น ในธรรมิกกาสูตร กษัตริย์ทรงธรรมบ้านเมืองก็จะสงบสุข กษัตริย์ไม่ทรงธรรมบ้านเมืองก็จะเป็นทุกข์ เป็นองค์รวม พระสงฆ์ก็สามารถตรวจสอบการทำงานของกษัตริย์ว่าได้ใช้อำนาจตามทศพิธราชธรรมหรือไม่

.

สุรพศ ทวีศักดิ์ ชี้ คำพูดของจำเลยเป็นการตั้งคำถามถึงพระและศาสนา รวมไปถึงการนำเสนอแนวคิดแยกศาสนาออกจากรัฐ และวิจารณ์พลเอกประยุทธ์ที่พูดกลับไปกลับมาเรื่องการบังคับใช้ 112

สุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตหัวหิน พยานเคยบวชเรียนจนจบนักธรรมชั้นเอก จบเปรียญธรรม 5 ประโยค ส่วนในระดับชั้นปริญญาตรีจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในระดับปริญญาโทจบสาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้านผลงานวิชาการของพยาน มีงานวิจัยและหนังสือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศานากับรัฐ, รัฐ:โลกวิสัย, การแยกศาสนาออกจากรัฐ

พยานไม่ได้รู้จักกับจำเลยเป็นการส่วนตัว รู้จักจากข่าวและทราบว่าเป็นสามเณรที่เคลื่อนไหวทางการเมืองและนำเสนอแนวคิดแยกศาสนาออกจากรัฐ

ข้อความปราศรัยที่ 1 ตามฟ้อง พยานเห็นว่าจำเลยปราศรัยโดยมีสาระสำคัญคือ รัฐโลกวิสัย และต้องการแยกศาสนาออกจากรัฐ พยานศึกษางานวิจัยจากในและต่างประเทศที่วิจารณ์การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือของรัฐ นำไปสู่รัฐที่เป็นกลางทางศาสนา เห็นว่าจำเลยมีข้อเสนอเช่นนี้จึงตั้งคำถามตามข้อความว่า ‘ทำไมพระเทศน์ถึงพูดแต่ด้านดี ทำไมไม่พูดถึงด้านอื่น’ ซึ่งการนำเสนอแนวคิดการแยกศาสนาออกจากรัฐ ต้องนำเสนอถึงปัญหาก่อน ถ้าไม่มีการแยกออกมา ศาสนาก็จะถูกนำมาใช้ในบริบทการเมือง

พยานเบิกความว่าคำว่าภัยของพระราชานั้น ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า ‘ราชภัย’ ซึ่งอยู่ในงานประวัติศาสตร์ไทยอย่างพงศาวดาร หรืองานประวัติศาสตร์ของนิธิ เอียวศรีวงศ์, ส.ศิวรักษ์ และอีกหลายท่าน

ในข้อความปราศรัยที่ 1 ตามฟ้อง พยานกล่าวว่าไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นการดูหมิ่นในหลวงรัชกาลที่ 10 และไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคลใด เนื่องจากคำว่าราชภัยใช้กันอยู่ทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าเป็นกษัตริย์องค์ใด และถ้าหากอ่านข้อความทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะตัวที่เน้นสีดำ เป็นการตั้งคำถามถึงพระและศาสนา อันที่จริงแล้วในพระไตรปิฏกจะพูดถึงด้านดีของกษัตริย์ และพูดถึงด้านลบ อย่างเช่น ไม่ทรงทศพิธราชธรรม ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน พยานเห็นว่าคำถามที่ตั้งก็มีเหตุผล

ข้อความปราศรัยที่ 2 ตามฟ้อง พยานเห็นว่าเป็นการพูดถึงหลักการว่ากษัตริย์เป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ กษัตริย์กับนายกรัฐมนตรีสามารถพูดคุยปรึกษาหารือกันได้โดยเป็นความลับและไม่เป็นที่เปิดเผย แต่การที่พลเอกประยุทธ์ไปให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้าว่าในหลวงไม่ให้ใช้มาตรา 112 แล้วต่อมามีการพูดว่าจะใช้มาตรา 112 เห็นว่าสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำนั้นผิดหลักการ เขาไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวมาพูด เมื่อนำมาพูดก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งจำเลยก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาวิจารณ์ และพยานเห็นว่าเป็นการวิจารณ์พลเอกประยุทธ์

ส่วนคำปราศรัยที่ว่า “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” เป็นหลักการที่ทราบโดยทั่วไปว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ การที่พลเอกประยุทธ์พูดกลับไปกลับมา ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดไปว่ากษัตริย์ตรัสแล้วคืนคำ ซึ่งพยานกล่าวว่าคำปราศรัยดังกล่าวไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทในหลวงรัชกาลที่ 10 เพราะใจความสำคัญที่พูดถึงคือพลเอกประยุทธ์ จากการสังเกตจากข้อความที่ว่า “ถ้าคุณพูดแบบนี้..” ซึ่งสิ่งที่จำเลยเสนอเป็นสิทธิเสรีภาพในการพูดตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล 

.

ย้อนอ่านเรื่องราวของอดีตสามเณรโฟล์ค

การเดินทางทางความคิดของ ‘สามเณรโฟล์ค’ นักบวชผู้เผชิญข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ

X