บันทึกเยี่ยม 3 ผู้ต้องขัง: แบงค์เริ่มกินยาจิตเวชอีกครั้ง – เก่งคิดถึงครอบครัวมากขึ้น – แก๊ปเป็นคนเดียวที่ถูกขังในแดน 8

วันที่ 11 และ 13 ก.ย. 2566 ทนายความได้เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเยี่ยม 3 ผู้ต้องขัง ได้แก่ “แบงค์” ณัฐพล และ “เก่ง” พลพล ผู้ถูกคุมขังในคดีที่ถูกกล่าวหาร่วมเผารถยนต์ตำรวจ สน.ดินแดง หลังเหตุการณ์ชุมนุม #ราษฎรเดินไล่ตู่ หรือ #ม็อบ11มิถุนา2565 หลังเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก ณัฐพล 3 ปี ขณะที่พลพลถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 4 เดือน โดยศาลยกฟ้องในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ ปัจจุบันพวกเขาถูกคุมขังมาแล้ว 10 วั

นอกจากนี้ยังได้เข้าเยี่ยม “แก๊ป” ธีรภัทร ซึ่งถูกอัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2566 ในข้อหาร่วมกันกระทําให้เกิดระเบิด และร่วมกันพยายามทําร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน จากการปาวัตถุที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนใส่รถสายตรวจ ในระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม #ทะลุแก๊ส คืนวันที่ 31 ต.ค. 2564 บริเวณดินแดง 

.

แบงค์ ณัฐพล: ต้องกินยาจิตเวชและมีภาวะคล้ายมีสองบุคคลิก

วันนี้แบงค์อยู่ในชุดเสื้อแขนสั้นสีฟ้า ใส่กางเกงขาสั้นสีดำ ปัจจุบันเขาถูกจำแนกไปอยู่แดน 4 และอยู่ห้องเดียวกับ “ต้อม” จตุพล เพื่อนผู้ต้องขังในคดีเดียวกัน เขาบอกว่ากิจกรรมที่มักทำในเรือนจำตอนนี้คือซ้อมมวย เพราะรู้สึกว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น “ก่อนเข้ามาน้ำหนักตัวอยู่ที่ 80 กว่ากิโล แต่ตอนนี้ 100 กิโลแล้ว”

แบงค์มีท่าทางเบลอ ๆ เขาแจ้งว่าตนกินยาจิตเวชของหมอไป เป็นยาที่กินตั้งแต่ตอนถูกคุมขังรอบแรก อาการตอนนี้คือเบลอ ๆ ไม่จดจ่อ เขายังเล่าตัวเขามีภาวะกึ่งควบคุมตัวเองไม่ได้คล้ายโรคสองบุคลิก บางวันก็ดิ่งมาก บางวันก็สดชื่นสุด ๆ 

เขาบอกเล่าอาการหลังกินยาว่า “วันนี้อยากนั่งตลอดเวลา ไม่อยากเดิน แต่บางวันก็อยากเดินไม่อยากนั่ง เดินทั่วแดนเลย”

เมื่อทนายแจ้งเรื่องผลการประกันเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 ว่าศาลอุทธรณ์ยังคงยกคำร้องเป็นครั้งที่ 2 แบงค์ถอนหายใจ ดูท่าทีสงบกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ฟังแล้ว ดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามเขาบอกว่าคิดแต่เรื่องลูกกับเมีย เมื่อทนายอ่านจดหมายที่แฟนแบงค์ส่งมาให้ แบงค์น้ำตาไหล เขาบอกว่า “คิดถึงเสียงบ่นของแฟน ที่ชอบบ่นเยอะ เช่น เรื่องกินข้าว”

แบงค์ยังฝากบอกพ่อและแม่ของเขาว่า “ตอนนี้แบงค์เหลือเงิน 62 บาท ฝากบอกพ่อกับแม่ขอยืมตังค์ให้แบงค์ซื้อข้าวกิน อาหารในเรือนจำแพง ราคา 50 บาทขึ้นไป และตอนนี้พอแยกมาอยู่เหมือนเป็นโซน ๆ บางทีมีผู้ต้องขังที่ไม่มีญาติมาเยี่ยม แบงค์ก็ซื้อข้าวให้เขากินด้วย สงสารเขา”

.

เก่ง พลพล: พอรู้ว่าไม่ได้ประกันตัวอีกครั้ง ก็คิดถึงครอบครัวมากขึ้น

เก่งรอรับโทรศัพท์อยู่ก่อนแล้ว เขาสวมเสื้อแขนสั้นสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม เก่งยิ้มกว้าง ดูสดใสกว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปัจจุบันเขาถูกคุมขังอยู่ในแดน 4 และอยู่ห้องเดียวกับ “อาร์ม” วัชรพล

“พอย้ายมาแดน 4 ก็โอเคขึ้นเพราะได้ใช้ชีวิตข้างล่างได้ลงไปเดิน ดีกว่าอยู่แต่ข้างบนเหมือนตอนเข้ามาแรกๆ ตอนเข้ามารอบแรก ผมทำงานเดินส่งเอกสารอยู่ข้างนอก กลับเข้ามารอบนี้ ผู้คุมก็มีมาถามว่าจะทำตำแหน่งเดิมมั้ย เก่งคิดว่าอย่างน้อยก็ได้ทำประโยชน์ ก็คงจะทำตำแหน่งเดินเอกสารเหมือนเดิม” 

เมื่อทนายแจ้งผลการยื่นประกันตัว ทำให้เก่งมีสีหน้าเศร้า ๆ 

“ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” เก่งพูดไปก่อนที่ทนายจะแจ้งเหตุผลของศาลที่ไม่ให้ประกันตัว

เก่งเล่ากลับไปถึงวันที่เกิดเหตุในคดีว่า เขาไปที่ชุมนุมจริง แต่ ณ ขณะที่เกิดเหตุวุ่นวายกัน เก่งออกมาจากที่ชุมนุมก่อน ยังได้ดูในไลฟ์ว่ามีการมั่วสุมกัน วันนั้นเก่งใส่เสื้อลายสก็อตสีน้ำตาล แขนยาวสวมแมส ไม่ใด้ใส่หมวกกันน็อคแบบที่เห็นในเอกสาร และภาพนั้นเป็นภาพเดียวที่อยู่ในสำนวน ซึ่งถ่ายช่วงตอนกลางวัน ไม่ได้ถ่าย ณ ขณะที่เกิดเหตุ

“พอยิ่งรู้คำสั่ง ก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงครอบครัว ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง จริง ๆ เราหวังว่าจะได้ประกันตัว แต่พอไม่ได้ประกัน ก็ยิ่งห่วงทางครอบครัวมากขึ้น ไม่รู้จะติดนานแค่ไหน”

สำหรับเรื่องสุขภาพ เก่งเล่าว่าตนมีอาการหวัดมาหลายวันแล้ว พูดเสียงอู้อี้ และมีอาการไอ เก่งว่าไม่ได้กินยาเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาย เขามีอาการแบบนี้เสมอเวลาอากาศเปลี่ยน ไม่มีอาการปวดหัว ตัวร้อน หรือไข้ อาการทางกายยังปกติดี

“ตอนนี้ข้างในเรือนจำตอนเย็นฝนตกบ่อย ๆ วันนี้ฟ้าก็ครึ้ม ๆ อีก คิดว่าสักพักฝนก็จะตก ฝนตกทีไรก็คิดถึงบ้านทุกที” เขาว่า

สำหรับอาการนอนไม่หลับของเก่ง เขาบอกว่าอาการเริ่มดีขึ้น คิดว่าร่างกายคงเริ่มชิน แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากและกังวลเรื่องประกัน กับเรื่องของทางบ้านมาก

“หมอมีให้ยาคลายกังวลกับคลายเครียดมาแล้ว ให้กินเวลานอนแต่ส่วนตัวเก่งรู้สึกว่าไม่ค่อยช่วยอะไร อยู่ข้างในนี้ มีคนที่รู้จักซึ่งอยู่ตั้งแต่รอบที่ตนติดก่อนหน้า ก็มีเข้ามาทักทาย ติดรอบที่แล้ว เก่งก็อยู่แเดน 4 พอรอบนี้กลับมาแดน 4 อีก มีคนเก็บกางเกงจับหูไว้ให้ด้วย แต่ของบางอย่างก็หายไป เช่น พวกแก้วน้ำรองเท้า”

เก่งบอกว่าเขาคิดถึงคนที่บ้านและจะรู้สึกดีมาก หากมีคนส่งจดหมายมาหา

“ตอนนี้ความรู้สึกคือ คิดถึงคนที่บ้าน อยากให้คนที่บ้านพ่อกับย่าหรือเพื่อนที่รู้จัก ส่งจดหมายมาหาหน่อย” เก่งพูดด้วยแววตามีความหวัง และเล่าว่า ครั้งก่อนมีแอมเนสตี้จัดกิจกรรมเขียนจดหมายถึงเพื่อนผู้ต้องขังทางการเมือง ตอนนั้นรู้สึกดีใจที่มีคนเขียนถึง 

เก่งยังได้ฝากถึงทุกคนว่า “อย่าพึ่งลืมคนข้างใน มีนักโทษทางการเมืองยังอยู่ข้างในนี้” และฝากถามว่าคนที่ส่งพวกของพวกอาหารเข้ามาให้นั้นเป็นใคร รู้สึกขอบคุณเขามาก ถ้าออกไป จะได้ไปขอบคุณเขาถูก

แก๊ป ธีรภัทร: อยู่ระหว่างกักตัวในแดน 8 รอคอยคำสั่งขอประกันตัวที่กำลังจะมาถึง

แก๊ปเล่าให้ฟังว่าตอนนี้เขาถูกจำแนกมาที่เเดน 8 คนเดียว และอยู่ระหว่างการกักตัวในแดน 8 ประมาณ 5 วันแล้ว

“เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ป่าน (ปฐวีกานต์) กับพี่เก็ท โสภณ อยู่ที่เเดน 4 กัน ตอนย้ายเเดน ผมไม่ได้ไปขอร้องหรือมีปัญหาอะไรกับทางผู้คุม เลยได้ไปเเดน 8 คนเดียว ตัวเเก๊ปเองพยายามไม่มีปัญหากับใคร ก็เหงาที่ต้องอยู่คนเดียว เเต่จะพยายามหาอะไรทำ เเละยังมีความหวังเรื่องการประกันอยู่ 

“พอมาที่เเดน 8 เจอบังมะ เหมือนพี่เขาก็โดนคดีการเมืองเหมือนกัน เเต่ตอนนี้เเก๊ปอยู่ระหว่างการกักตัว อยู่บนเรือนนอนที่เเดน 8 คาดว่าน่าจะประมาณ 5 วัน ถึงจะได้ลงเเดน” 

เเก๊ปเล่าต่อว่า ระหว่างที่เดินมาเเดน 8 เขาร้องไห้ เพราะไม่มีใครเลย มาคนเดียว พอมาถึงก็ไม่มีใครจริง ๆ ไม่มีเพื่อนคอยเเบ่งของกันเเล้ว ต้องอยู่เอง รู้สึกว่ามันลำบากมากกว่าเดิม

“อาหารการกินที่เเดน 8 ได้กินข้าวเเค่ 2 มื้อ ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมได้ข้าวเเค่ 2 มื้อ โดยมาช่วงเวลาประมาณ 7.00 กับ 11.00 กับข้าวก็ยังเเย่เหมือนเดิม เเล้วเขาให้ข้าวมาเป็นหม้อเเล้วเเบ่งกันเอง ใครขาใหญ่ก็ได้กินเยอะ อย่างผมเองก็ได้กินน้อยหน่อย เเทบจะไม่อิ่มเลย เเล้วก็ลงไปซื้อของกินเพิ่มก็ไม่ได้ด้วย”

สำหรับสภาพการนอนในห้องกักตัวที่เเดน 8 เเก๊ปเล่าว่า ห้องเดียวอยู่กัน 24 คน 

“เเออัดมาก เเม้ว่าห้องนี้จะใหญ่กว่าห้องที่เคยอยู่ที่เเดน 2 เเต่ใหญ่กว่านิดเดียว เมื่อเทียบกับปริมาณคน ที่นี่ก็เลยเเออัดกว่ามาก นอนเบียดกันมาก”

แก๊ปบอกว่าเเดน 8 เป็นเเดนเก่าที่เคยมาอยู่ตอนที่ถูกตำรวจฝากขัง จึงมีคนที่พอจะจำหน้าเราได้ มาถามว่า กลับเข้ามาทำไมอีก 

“เเก๊ปก็ตอบไปด้วยความไม่เข้าใจเเละรู้สึกไม่เเฟร์ ว่าถูกฟ้อง เลยต้องเข้ามา เเต่เขายังไม่ตัดสินเลย มันทำให้ตัวเเก๊ปเองก็กลับมาคิดมากหลายอย่าง ตอนนี้ก็คาดหวังว่าจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวที่กำลังจะยื่นนี้” 

เเก๊ปบอกว่าเขาเองก็อยากได้ความยุติธรรมเช่นกัน 

“ข้ออ้างหลายอย่างของศาลเช่น การหลบหนี ที่ผ่านมาก็น่าจะพิสูจน์ได้อย่างดีว่า ผมไม่เคยหลบหนีไปไหน ไปตามนัดรายงานตัวตลอด มีที่ทำงานเป็นหลักเเหล่ง ก็หวังว่าจะได้ประกันตัวออกไปดูเเลพ่อเเม่ ลูก เพราะตอนนี้น่าจะลำบากกันอยู่พอสมควร กลัวเขาไปกู้หนี้ยืมสินมาเพิ่มเพื่อจะช่วยเหลือเรา”

อย่างไรก็ตาม ภายหลังทนายความได้ติดตามคำสั่งของศาลอาญาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2566 ศาลยังคงยกคำร้องขอประกันตัว โดยให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า 

“ศาลนี้เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 และ ที่ 2 โดยให้เหตุผลไว้ละเอียดแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง”

X