ระหว่างวันที่ 4-5 ก.ย. 2566 ทนายความได้เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อเข้าเยี่ยม 4 ผู้ต้องขัง ได้แก่ “อาร์ม” วัชรพล, “ต้อม” จตุพล, “แบงค์” ณัฐพล และ “เก่ง” พลพล ผู้ถูกคุมขังในคดีที่ถูกกล่าวหาร่วมเผารถยนต์ตำรวจ สน.ดินแดง หลังเหตุการณ์ชุมนุม #ราษฎรเดินไล่ตู่ หรือ #ม็อบ11มิถุนา2565 หลังเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 รายแรก คนละ 3 ปี ขณะที่พลพล ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 4 เดือน เนื่องจากศาลได้ยกฟ้องในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2566 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ เห็นว่าพฤติการณ์การกระทำตามที่จำเลยถูกฟ้องเป็นเรื่องร้ายแรง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี
ก่อนหน้านี้ ทั้ง 4 คน เคยถูกขังระหว่างสอบสวนและในชั้นพิจารณามาแล้วกว่า 240 วัน และเพิ่งได้รับการอนุญาตประกันตัวเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566
.
วัชรพล: แม่ล้มป่วยเพราะทำงานหนัก เวลาพ่อไม่อยู่ผมต้องดูแล
อาร์ม วัชรพล นั่งรออยู่หน้ากล้องด้วยหน้าตานิ่งเรียบ เขาใส่หน้ากากอนามัยเนื่องจากยังคงกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิดในเรือนจำ
อาร์มบอกว่าน้ำในเรือนจำกินไม่ได้ เพราะเป็นน้ำประปา แถมมีลูกน้ำอีกต่างหาก จึงต้องซื้อน้ำกิน พอเห็นทนายก็ยิ้มหัวเราะเล็กน้อย บอกว่า “เรายังไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย” ทนายจึงแนะนำตัวกับเขา
อาร์มบอกว่า ตั้งแต่ได้ประกันตัวออกไป เขาก็ใส่กำไล EM มาตลอด ตามเงื่อนไขการอนุญาตประกันตัวของศาล
“ถ้ามันดังก็จัดการชาร์จแบตตลอด บางทีมันดังบ่อย เจ้าหน้าที่ก็โทรมา หาว่าเราไปงัดแงะ แต่ไม่เคยทำเลย มันดังของมันเอง พอเขาโทรมาก็ต้องไปเปลี่ยน EM ที่ศาลอาญารัชดา ผมก็ไป บ้านอยู่พระราม 2 ก็ออกตังค์ไปเอง ลางาน ขาดงานไป”
อาร์มบอกว่าเขารู้สึกงงที่ต้องเข้าเรือนจำอีกครั้งในปีนี้ ทั้งที่พยายามไปตามนัดตลอด
“ก็พอปรับตัวได้ เหมือนตอนแรกที่เข้ามา แต่ก็งงที่ได้เข้ามาอีก เพราะว่าตลอดช่วงที่ได้ประกันไป ก็ไม่เคยหนี และไปตามหมายนัดของศาลทุกครั้ง ไม่เคยสาย ไปนั่งรอเจ้าหน้าที่ นั่งรอตำรวจตลอด ไม่เข้าใจว่าทำไมรอบนี้ถึงไม่ให้ประกัน”
เขายืนยันว่าตัวเองไม่ใช่คนในคลิปเผารถตามที่ถูกกล่าวหา และเล่าถึงการใช้ชีวิตนอกเรือนจำในช่วงที่ผ่านมา
“ช่วงที่ได้ออกมา 5 เดือนที่อยู่ข้างนอกก็ขับไลน์แมน ขับลาล่ามูฟ ขับ Bolt พึ่งจะผ่อนมอเตอร์ไซค์เสร็จ คันนี้พ่อช่วยผ่อนด้วย ตอนเข้ามาผมก็ต้องขายรถเก๋ง ให้พ่อแม่มีเงินใช้ เพราะพ่อแม่ก็เป็นหนี้เงินกู้ของบริษัท เขากู้มาให้เราเรียน ปวช. ก็ต้องขายรถใช้ไปก่อนเพราะเราเข้ามาแล้วก็ไม่มีรายได้
“ช่วงที่อยู่ข้างนอกไม่เคยไปเถลไถลที่ไหนเลย ไปก็แค่บ้านเพื่อนซึ่งอยู่ข้างๆ บ้านนี่เอง เพราะต้องอยู่ใกล้ๆ แม่ไว้ด้วย แม่ไม่ค่อยสบาย”
อาร์มเล่าถึงสุขภาพของแม่ต่อว่า “แม่ล้มป่วยไปรอบนึง ล้มหน้าห้องน้ำ แม่มีอาชีพเป็นแม่บ้านของบริษัท ดูแลตึกบริษัท 4 ชั้น และต้องทำอาหารเดินส่งด้วย แม่เทียวเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย เพราะร่างกายอ่อนแอ ทำงานหนัก บางทีก็เป็นลม เวลาพ่อไม่อยู่ผมก็ต้องดูแลแทน
“พ่อก็ไม่ได้มาอยู่กับแม่ทุกวัน ต้องทำงาน อยู่คนละที่กัน แม่อายุ 52-53 แล้ว พ่ออายุ 50-51 ปี มีพี่สาวคนนึง ทำงานอยู่ต่างจังหวัด”
.
จตุพล: ยายสุขภาพไม่ค่อยดี ต้องมาทำงานในกรุงเทพฯ หาเลี้ยงยาย
ต้อม จตุพล ใส่ชุดผู้ต้องขัง ผมสั้นเกรียน เขาหน้าซีดเล็กน้อยเพราะท้องเสีย เขาบอกว่าโดยรวมก็ยังสบายดี แต่อาหารการกินก็ยังกินของที่มีคนซื้อมาเยี่ยมเป็นหลัก เพราะกับข้าวข้างใน จืดอย่างเดียว ไม่มีรสชาติ
“วันนี้ท้องเสียตั้งแต่ตี 3 นอนไม่หลับ ปวดท้อง เพลีย เข้าห้องน้ำทั้งวัน แต่ยังไม่ได้ไปขอยากิน”
ต้อมบ่นว่าเขากินน้ำในเรือนจำไม่ได้และมีลูกน้ำ “น้ำดื่มข้างในกินไม่ได้เลย มันจะมีเป็นถังใสๆ ให้กด เขาก็จะมาเติมน้ำทุกวัน แต่น้ำมันกินไม่ได้ มันเป็นน้ำประปา กลิ่นน้ำประปาแรงมาก มีลูกน้ำยุงลายด้วย
“คนที่นี่เขาซื้อน้ำแพ๊คกินกันทั้งนั้น อยากให้ช่วยสื่อสารเรื่องนี้หน่อย ถ้าออกไปพวกผมจะจี้เรื่องนี้ด้วย เวลาจะกินน้ำก็คือเทน้ำออกจากถัง แล้วเอาน้ำแข็งกับน้ำแพ็คเติมใส่แทน
“พี่เก็ทเล่าให้ฟังว่าทักษิณเข้ามาแค่ 5 วัน วันที่ 6 ญาติก็เยี่ยมได้แล้ว ผมไม่เข้าใจ ทำไมผู้ต้องขังคนอื่นถึงทำไม่ได้ ทำไมทักษิณทำได้อยู่คนเดียว”
ต้อมบอกว่าตอนอยู่ข้างนอกเขาทำงานไรเดอร์เช่นเดียวกับอาร์ม และยังได้ไปช่วยพรรคการเมืองหาเสียง
“อยู่ข้างนอกก็ทำงานขับ Bolt ส่งของ ส่งคน ช่วงที่อยู่ข้างนอกก็ช่วงเลือกตั้งพอดี ก็ไปช่วยพรรคก้าวไกลหาเสียงที่สงขลา ผลตอบรับดี ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าที่สงขลา”
เขาบอกว่าปัจจุบันทำงานหาเงินและส่งให้ยายที่สุขภาพไม่ดีอยู่ต่างจังหวัด เนื่องจากที่บ้านไม่มีงานทำจึงต้องเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ
“ช่วงที่ออกมาได้ไปหายายรอบ สองรอบ ยายอยู่กับน้าที่สุรินทร์ ยายอายุ 70 กว่าปีแล้ว ช่วงนี้ยายเจ็บเข่าและขา สุขภาพไม่ค่อยดีมีปัญหาเรื่องกระดูก ต้องหาตังค์เลี้ยงยาย ที่ต่างจังหวัดไม่มีงาน ก็ต้องเข้ามาวิ่งหางานในกรุงเทพ และต้องส่งงวดมอเตอร์ไซค์ที่ใช้อยู่ตอนนี้ด้วย
“ช่วงนึงไม่มีตัง ยายก็ต้องขายที่ดินเพราะไม่มีเงินใช้ ผมบอกกับยายไปว่า ถ้าต้อมได้เข้ามาอีก แล้วเกิดเงินไม่พอใช้ ให้ยายขายที่ดินที่ว่าจะยกให้ผมไปเลยก็ได้ จะได้มีเงินใช้ก่อน”
ต้อมได้ฝากคำพูดทิ้งท้ายถึงกระบวนการที่เขาเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมไว้ว่า “ในเมื่อพวกผมไม่ได้ทำผิด แต่คุณบอกว่าพวกผมทำผิด แล้วคุณไม่คิด ว่าคุณพราก พรากลูก พรากหลาน หรือพรากพ่อของเด็ก หรือพรากเสาหลักของครอบครัว แล้วคนที่รอ จะเอาอะไรกิน ในเมื่อพวกคุณ จับติดคุกกันหมด แล้วลูกเมียประชาชน จะอยู่ยังไง ทุกคนก็จะเสียศรัทธาไปกันหมด”
.
ณัฐพล: “บอกตัวเล็กด้วยว่าเดี๋ยวป่ะป๊าก็ได้ออกแล้ว รอป่ะป๊าก่อนนะ อีกไม่อึดใจรอ”
แบงค์ ณัฐพล นั่งรอรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้ากังวล สวมชุดสีน้ำตาล ตัดผมสั้นเกรียน น้ำเสียงยังดูมีแรง กล่าวทักทายกันเล็กน้อย
แบงค์เป็นคนที่กังวลไม่แพ้คนอื่นๆ เพราะเขามีภาระสำคัญที่ต้องดูแลแฟนซึ่งกำลังตั้งท้อง จึงค่อนข้างกังวลเรื่องผลประกันตัวมาก ได้กำชับให้ทนายความช่วยดูรายละเอียดเรื่องการประกันตัว
“ตอนนี้เครียด แฟนท้อง 3-4 เดือนแล้ว แฟนอยู่กับพ่อ แต่พ่อมีอาชีพวิ่งรถ ทำให้ไม่ค่อยได้ดูแลแฟน แต่ก่อนแฟนขายของออนไลน์ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำงาน
“ฝากบอกแฟนว่า ได้รับจดหมายแล้ว เห็นตัวเล็กดิ้นก็น้ำตาไหล บอกตัวเล็กด้วยว่าเดี๋ยวป่ะป๊าก็ได้ออกแล้ว รอป่ะป๊าก่อนนะ อีกไม่อึดใจรอ”
เมื่อทนายความให้แบงค์ดูภาพกิจกรรม “ผู้พิพากษาแห่งความตาย” วันที่ 3 ก.ย. 2566 ที่ สยามพารากอน ที่ตะวันและสายน้ำจัดกิจกรรม และที่ตะวันติดรูปของเก่ง พลพล และแบงค์ ณัฐพล ไว้ด้านหลัง
แบงค์เรียกเพื่อนๆ มาดูด้วยกัน ทุกคนสนใจ และชี้ให้กันดูรูปภาพ และอ่านข้อความที่เป็นเนื้อหาข่าว แววตาดีใจ
.
พลพล: ได้ฉลองวันเกิดในนี้มา 2 ปีแล้ว
เก่ง พลพล มีสีหน้าซีด ทนายคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเขานอนไม่ค่อยหลับ แต่แววตายังสดชื่นและดูผ่อนคลายอยู่เก่งสวมชุดนักโทษสีน้ำตาล เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น ตัดผมสั้นเกรียนและยิ้มให้ กล่าวทักทายกันเล็กน้อย
“กังวล นอนไม่หลับ แต่พออยู่ได้ เมื่อเช้านี้ได้เจอหมอ และขอยาหมอ เป็นยานอนหลับและยาคลายเครียด” เก่งบอกเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเขาในช่วงนี้
วันเกิดปีที่ 22 ของเก่งเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566 ไม่ว่าจะวันเกิดปีที่แล้วหรือปีนี้ ตัวเขาก็อยู่ในเรือนจำ
“ฝากขอบคุณที่ส่งเค้กวันเกิดมาให้ ได้ฉลองวันเกิดในนี้มา 2 ปีแล้ว ยังหวังว่าจะได้ประกัน ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้านับแล้วจะติดอีกแค่ 8 เดือน ได้ออกน่าจะประมาณเมษายนปีหน้า”
เก่งฝากบอกพ่อว่าเขาอยู่ได้ แต่เน้นย้ำหลายครั้งว่าอยากให้ทุกคนเขียนจดหมายมาหา เพราะอยู่ข้างในเหงามาก
.
.
อ่านเรื่องราวของทั้งสี่คน