เปิดแฟ้มคดี ม.112 ของ “ใจ” นักศึกษาถูกฟ้องทวีตข้อความหมิ่นอดีตกษัตริย์รัชกาลที่ 9

วันที่ 14 มี.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษ ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 ของ “ใจ” (นามสมมติ) นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ วัย 23 ปี ผู้ถูกฟ้องกรณีทวีตรูปและพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564  ใจได้เดินทางเข้ารับทราบข้อหาตามหมายเรียก ที่กองบังคับการปราบรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) โดยมี อารีย์ จิวรรักษ์ เป็นผู้รับมอบอำนาจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้กล่าวหา จากกรณีทวีตข้อความในทวิตเตอร์ พร้อมติดแฮชแท็กเกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 และข้อความพระราชดำรัสของพระองค์ 

ต่อมา ในวันที่ 25 พ.ย. 2564 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 ได้สั่งฟ้องคดี โดยบรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 จําเลยใช้บัญชีทวิตเตอร์ซึ่งตั้งค่าการมองเห็นเป็นสาธารณะเขียนข้อความ พร้อมติดแฮชแท็กเกี่ยวกับกษัตริย์ ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีข้อความประกอบภาพว่า “ไม่ต้องจำว่าฉันคือใคร แต่จำว่าฉันทำอะไรก็พอ” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9  

อัยการระบุในคำฟ้องว่า ข้อความข้างต้นเป็นการล่วงละเมิด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ซึ่งประชาชนทั่วไปที่พบเห็นข้อความประกอบพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวเข้าใจความหมายได้ว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 เป็นฆาตกร และกษัตริย์เป็นสิ่งที่เหลือทิ้ง เสื่อมสภาพจนใช้การไม่ได้ หรือไม่ต้องการใช้ ไม่ควรคู่อยู่ในสังคมไทย อันเป็นการกล่าวหา ใส่ความ หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย รัชกาลที่ 9 และส่งผลกระทบโดยตรงต่อรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นพระราชโอรส และเป็นพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน โดยประการที่น่าจะทําให้ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศ และประชาชนเสื่อมความเคารพศรัทธาในพระมหากษัตริย์ 

ในคดีนี้ ศาลได้นับสืบพยานรวมทั้งหมด 3 นัด โดยเป็นการสืบพยานโจทก์ระหว่างวันที่ 31 ม.ค. – 1 ก.พ. 2566 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 2 ก.พ. 2566 ทั้งนี้ อัยการได้นำพยานโจทก์ 9 ปาก และส่วนฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าเบิกความจำนวน 1 ปาก จนเสร็จสิ้น

โดยฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่าในคดีนี้ จำเลยไม่ได้มีการโพสต์ภาพหรือข้อความที่สื่อถึงรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน และไม่มีข้อความใดที่สามารถเชื่อมโยงถึงรัชกาลที่ 10 ได้ ทั้งในคดีนี้ จำเลยไม่ได้ทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมาย มาตรา 112 เนื่องจากการกระทำของจำเลยไม่ได้เข้าองค์ประกอบตามที่โจทก์ฟ้อง

.

ผู้กล่าวหาจากกระทรวง DE  — เห็นข้อความเข้าข่ายหมิ่นประมาท ม.112 จึงประสานงานกับ ปอท. ช่วยพิสูจน์ทราบบุคคลเจ้าของบัญชีทวิตเตอร์

อารีย์ จิวรรักษ์ อายุ 61 ปี จบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี สาขาภูมิศาสตร์แผนที่ ปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ ดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีและสารสนเทศ ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ปัจจุบันเป็นข้าราชการเกษียณอายุ

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยในคดีนี้ โดยเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ในขณะที่พยานทำงานอยู่ที่กระทรวง ได้พบข้อความบนทวิตเตอร์ว่า “เขาไม่ใช่กษัตริย์ เขาคือฆาตกรที่ตายไปแล้ว” ซึ่งพยานเห็นว่าเป็นข้อความที่กล่าวถึงรัชกาลที่ 9 ในทำนองว่าทำผิดแล้วไม่ต้องรับผิด

นอกจากนี้ ยังมีภาพรัชกาลที่ 9 ประกอบข้อความดังกล่าว ซึ่งพยานได้นำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ เมื่อดูภาพประกอบข้อความในโพสต์แล้ว พยานจึงลงความเห็นว่าเข้าข่ายฐานความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงได้นำเสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อขออนุญาตให้แจ้งความร้องทุกข์กับ บก.ปอท.

เมื่อพยานได้ดำเนินการไปแจ้งความแล้ว ได้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างพยานกับตำรวจ เพื่อตรวจสอบหาเจ้าของบัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าว โดยจากการพิสูจน์ตัวตนแล้วพบว่า เป็นผู้หญิง และมีการผูกแอคเคาท์เชื่อมกับโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มอื่น แต่ในช่วงแรกยังไม่ทราบชื่อ

ทั้งนี้ ตำรวจ บก.ปอท. ได้ดำเนินการใช้โปรแกรมเพื่อพิสูจน์หาตัวบุคคลทั้งในทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และอินสตราแกรม พบว่าเป็นตัวจำเลยในคดีนี้ 99.9 % และเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎร์จากกระทรวงมหาดไทย จึงได้ชื่อจริงของจำเลยมา

อย่างไรก็ตาม อารีย์ได้เบิกความว่าไม่เคยเจอตัวจริงของจำเลยมาก่อน จึงไม่สามารถตอบได้ว่าอยู่ในห้องพิจารณาด้วยหรือไม่ และศาลได้ถามต่อพยานว่า ในตอนที่สืบทราบพิสูจน์ตัวบุคคล มีขั้นตอนกระบวนการอย่างไรให้ได้ชื่อจริงของจำเลยในคดีนี้มา พยานไม่สามารถตอบได้ และบอกเพียงว่าเป็นการดำเนินงานของตำรวจ บก.ปอท. 

พยานเบิกความต่อไปว่า ผู้บริหารได้มอบอำนาจให้พยานไปแจ้งความร้องทุกข์ โดยมีหลักฐานเป็นภาพบัญชีเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ของจำเลย และหนังสือร้องทุกข์ โดยพยานได้มอบทั้งหมดให้กับพนักงานสอบสวน

ทนายความถามค้าน

ทนายจำเลยถามพยานว่า ในคดีนี้พยานแน่ใจหรือไม่ว่าบุคคลในห้องพิจารณากับจำเลยในคดีนี้เป็นบุคคลคนเดียวกันที่โพสต์ข้อความดังกล่าว โดยพยานตอบว่าไม่แน่ใจ และไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ 

พยานเบิกความตามที่ทนายจำเลยถามค้านว่า เกี่ยวกับการศึกษาของพยานไม่ได้จบสาขานิติศาสตร์ และพยานยืนยันตามข้อเท็จจริงว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีแรกที่พยานได้เข้าแจ้งความตามมาตรา 112 นอกจากนี้พยานได้เบิกความว่ามาตรา 112 ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว แต่ก็ได้ตอบทนายว่าเป็นเพียงความเห็นของพยานเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงของกฎหมายแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ ทนายได้อธิบายต่อพยานว่า ตามองค์ประกอบของมาตรา 112 มีการระบุว่าไว้อย่างชัดเจนว่าคุ้มครองแค่กษัตริย์องค์ปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้คุ้มครองถึงอดีตกษัตริย์ ซึ่งพยานได้ตอบว่า ในคดีนี้พยานไม่แน่ใจว่าผิดมาตรา 112 หรือไม่ แต่ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยในคดีนี้มีความผิดแน่นอน ซึ่งการพิจารณาว่าจะผิดมาตรา 112 หรือไม่ เป็นหน้าที่ของตำรวจ บก.ปอท. 

พยานไม่เห็นด้วยกับที่ทนายจำเลยถามว่า การที่จะผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ได้ จะต้องเป็นความผิดตามมาตรา 112 ก่อน ซึ่งพยานตอบทนายว่าไม่เสมอไป

อย่างไรก็ตาม ทนายถามต่อพยานว่า คำฟ้องในคดีนี้ ไม่ได้ระบุไว้ว่าฟ้องจำเลยตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อนุมาตราใด และพยานได้ยืนยันตามข้อเท็จจริงที่ทนายถาม 

ทนายจำเลย ให้พยานดูคำพิพากษาของศาลจังหวัดจันทบุรี ซึ่งศาลเห็นว่าการกล่าวถึงกษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว ไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งพยานได้ยืนยันตามที่เห็นว่าคำพิพากษาได้ระบุไว้อย่างนั้นจริง แต่ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พยานได้อธิบายว่ามีระบุไว้ 3 วรรค ซึ่งในวรรคที่ 3 เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ส่วนวรรคที่ 1 – 2 เป็นความผิดเกี่ยวกับความเท็จ ซึ่งจำเลยในคดีนี้ได้กระทำการที่เกี่ยวกับความมั่นคง

เมื่อทนายจำเลยถามต่ออารีย์ว่า พยานเป็นคนที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ในมาตรา 112 มาหลายคดี ซึ่งเป็นไปได้หรือไม่ที่พยานมีความเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์ และอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยพยานตอบว่าเพิ่งได้แจ้งร้องทุกข์ และดำเนินการกับกลุ่มคนที่หมิ่นตั้งแต่รัชกาลที่ 9 ไปแล้วเท่านั้น และไม่แน่ใจว่า มาตรา 112 สามารถคุ้มครองทั้งราชวงศ์ไทยได้หรือไม่ 

เมื่อถามต่อว่า ราชวงศ์ไทยของเรามีกี่ราชวงศ์ โดยเผยรายชื่อของกษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตกาลให้พยานดู พยานตอบว่าไม่ทราบว่ามีกี่ราชวงศ์ ทนายจึงถามต่อไปว่า ที่มาเบิกความและแจ้งข้อหามาตรา 112 พยานก็ไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าการกระทำของจำเลยในคดีนี้ผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ พยานตอบว่าเป็นหน้าที่ของ บก.ปอท. ต้องพิสูจน์ 

ทนายจำเลยได้ยื่นรายชื่อของพระนามอดีตกษัตริย์ให้พยานดูอีกครั้ง โดยชี้ให้เห็นว่า “ขุนวรวงศาธิราช”  ซึ่งมีการขึ้นครองราชย์ในสมัยอยุธยา และเป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ครองราชย์สั้นที่สุดเพียง 42 วัน ในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มได้กล่าวว่าพระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ พยานเห็นว่าว่าหากมีการหมิ่นขุนวรวงศาธิราชเกิดขึ้นในปัจจุบัน พยานจะถือว่าเข้าข่ายการหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามมาตรา 112 หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ทราบ

ในคดีนี้ พยานได้ยืนยันตามข้อเท็จจริงที่ถามว่า สถาบันกษัตริย์ และพระมหากษัตริย์มีความแตกต่างกัน โดยในโพสต์ดังกล่าว ไม่ได้มีการกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 และไม่มีภาพของรัชกาลที่ 10 และพยานไม่ขอตอบว่าในอดีตมีพระราชินี หรือองค์รัชทายาทกี่พระองค์

พยานยังไม่ขอตอบประเด็นที่มีข่าวสาธารณะว่า มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเข้าไปยื่นหนังสือขอให้แก้กฎหมาย มาตรา 112 ให้คุ้มครองถึงอดีตกษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์

ทนายจำเลยถามพยานอีกว่า ในปัจจุบันมีการถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8 ว่าผู้ใดเป็นผู้ลอบปลงพระชนม์ โดยในหนังสือที่ทนายได้ยื่นให้พยานดูมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พฤติการณ์ตามสำนวน ไม่แสดงเลยว่าจำเลยทั้งสองที่ถูกกล่าวหาว่าปลงพระชนม์ ร.8 เป็นผู้กระทำผิด พยานตอบว่าก็ปรากฏตามหนังสือ

ทั้งนี้ ทนายได้ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งเรื่องที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เคยประกาศจะให้รื้อคดีของรัชกาลที่ 8 ขึ้นมาใหม่ พยานตามว่าเป็นไปตามเอกสาร และนอกจากนี้ตามบทความต่างประเทศที่มีการระบุข้อเท็จจริงตามเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่า คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเตรียมแถลงถึงเหตุจากอุบัติเหตุในกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 โดยถามต่อพยานว่า ถ้าจำเลยในคดีนี้ได้อ่านเอกสารฉบับดังกล่าวมา เป็นไปได้หรือไม่ที่จำเลยจะเชื่อถึงสาเหตุการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ดังกล่าว พยานว่าตอบเป็นไปได้ 

อัยการถามติง 

อัยการถามว่า คำพิพากษาของศาลจังหวัดจันทบุรี ยังไม่ใช่คำพิพากษาจากศาลฎีกา ซึ่งมีความหมายว่าคดีนี้ยังไม่มีการพิพากษาถึงที่สุดใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่

.

พนักงานสืบสวน — สืบทราบตัวบุคคลจากการหาความเชื่อมโยงในบัญชีทวิตเตอร์ พบมีร่องรอยของบัญชีโซเชียลอื่น จึงชี้ตัวบุคคลได้จากภาพโปรไฟล์ที่มีใบหน้าเดียวกัน

พ.ต.ต.ประยุทธ สอนสวาท เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจากกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เข้าเบิกความว่า ในขณะเกิดเหตุ พยานได้รับหน้าที่ช่วงเดือน ธ.ค. 2563 ถึง ก.พ. 2564 ให้สืบหาตัวบุคคลจากบัญชีทวิตเตอร์ที่มีการกระทำผิดในวันที่ 14 ต.ค. 2563 

พยานตรวจสอบในตอนแรก ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ใช้งาน พอเริ่มตรวจค้นจากภาพในบัญชีทวิตเตอร์ จึงได้พบว่ามีการโพสต์ภาพบัญชีเฟซบุ๊กถึงตัวบุคคล และมีการใช้ชื่อจริงและชื่อเล่นสอดคล้องกับบัญชีทวิตเตอร์ และตรวจสอบต่อไปจึงได้พบกับบัญชีอินสตาแกรม มีภาพโปรไฟล์เป็นผู้หญิง มีใบหน้าคล้ายกันทั้ง 3 บัญชี เมื่อนำชื่อจริงไปค้นในทะเบียนราษฎร์ พบเจอตัวตน 1 คน ในทางสืบสวนสามารถเชื่อได้ว่าบุคคลในภาพมีความเกี่ยวข้องกับบัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าว

ทนายถามค้าน

พยานไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นคนโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์หรือไม่ และพยานไม่ได้มีความรู้ทางกฎหมายเพียงพอจะบอกได้ว่า ต้องผิดมาตรา 112 มาก่อนถึงจะสามารถเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้ แต่รับว่าในขณะที่เกิดเหตุคดีนี้ เป็นช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 10 ไม่ใช่รัชกาลที่ 9

เมื่อทนายจำเลยถามว่าเหตุใด จึงมีการนำมาตรา 112 มาดำเนินคดีกับจำเลย พยานตอบว่าในการแจ้งดำเนินคดีดังกล่าว มีการประชุมของคณะกรรมการมาก่อนแล้ว พบว่าเข้าข่ายความผิด ซึ่งพยานมีหน้าที่ในการสืบสวนเท่านั้น

ทั้งนี้ ในส่วนการสืบหาตัวบุคคลนั้น ไม่ได้ผ่านกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเปรียบเทียบภาพถ่ายจากเฟซบุ๊กที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ พยานอธิบายว่า มีการนำไปเข้าโปรแกรมที่ บก.ปอท. เป็นผู้จัดทำขึ้นมา 

.

พยานโจทก์พนักงานสอบสวน 3 ปาก — มีความเห็นสั่งฟ้องคดี แม้เบิกความไม่ตรงกันว่า ม.112 ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์จริงหรือไม่

โจทก์ได้นำ ร.ต.อ.พงศ์ปิติ ตรีนิคม, ร.ต.อ.หญิง ศศิพันธ์ คงเอียด และ ร.ต.อ.นัฐพล ทะเลน้อย พนักงานสอบสวนจาก บก.ปอท. เข้าเบิกความสอดคล้องกันในประเด็นการรับแจ้งความร้องทุกข์ว่า มี อารีย์ จิวรรักษ์ จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้ามาแจ้งความในวันที่ 16 ต.ค. 2563 พร้อมกับพยานหลักฐานที่กล่าวหาจำเลยถึงโพสต์บนทวิตเตอร์ที่มีการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 9

โดยมี ร.ต.อ.พงศ์ปิติ เป็นผู้รับแจ้งความและรายงานบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีนี้ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ  แต่เนื่องจากในวันที่อารีย์มาแจ้งความ มีคดีที่พยานต้องจัดการเป็นจำนวนมาก จึงได้ส่งต่อให้พนักงานสอบสวนคนอื่นมาดูแลต่อ

ส่วน ร.ต.อ.หญิง ศศิพันธ์ รองสารวัตร กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย เป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ร่วมด้วย และได้ทำการสอบปากคำพยานโจทก์ในคดีนี้ โดยในวันที่ 20 ม.ค. 2564 ได้ทำการสอบปากคำพยานโจทก์ปากประชาชนที่เข้าร่วมเป็นหนึ่งในพยานโจทก์ของคดีนี้ และทำการสอบสวนพนักงานสืบสวนที่สืบหาบุคคลเจ้าของบัญชีทวิตเตอร์ว่ามีความเชื่อมโยงกับจำเลย

ในวันที่จำเลยมารับทราบข้อกล่าวหาที่ บก.ปอท. พยานได้ให้จำเลยได้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ ก่อนจะปล่อยตัวออกไป และไม่ได้รับผลพิมพ์ลายนิ้วมือ ซึ่งหน้าที่ของพยานได้สิ้นสุดลงตรงนี้ เนื่องจากได้ถูกโยกย้ายให้ไปปฏิบัติงานในตำแหน่งอื่น จึงได้ส่งมอบงานให้กับพนักงานสอบสวนคนอื่นทำแทน

ร.ต.อ.นัฐพล ได้รับมอบหมายจาก ร.ต.อ.หญิง ศศิพันธ์ ตามคำสั่งแต่งตั้งจากผู้บังคับบัญชา พยานได้รับเอกสารลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย และทราบว่าไม่พบประวัติอาชญากรรมมาก่อน นอกจากนี้ พยานยังได้สอบปากคำนายระพีพงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพยานโจทก์ร่วมด้วย

ทนายถามค้าน

พนักงานสอบสวน ตอบทนายถามค้านในทำนองเดียวกันว่า จำเลยในคดีนี้ได้ทำการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 9 โดยการโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ ถึงแม้จะยืนยันไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ด้วยตนเองจริงหรือไม่

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานทั้ง 3 ราย เบิกความสอดคล้องกันว่าไม่ทราบว่าพยานโจทก์ปากประชาชนที่มาให้ความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้เป็นกลุ่มผู้ชุมนุม ศปปส. หรือ กลุ่มศูนย์ประชาชนปกป้องสถาบัน หรือไม่ ทราบเพียงว่าเป็นประชาชนที่เข้ามาติดต่อราชการที่ บก.ปอท. จึงได้ไปขอความร่วมมือให้มาสอบปากคำเกี่ยวกับคดีนี้

ร.ต.อ.พงศ์ปิติ และ ร.ต.อ.หญิง ศศิพันธ์ ให้ความเห็นที่คล้ายกันว่าเห็นด้วยกับการใช้มาตรา 112 แม้จะเป็นการหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่เมื่อทนายจำเลยถามว่าหากมีการดูหมิ่นพระนเรศวร หรือพระเจ้าตาก ก็แสดงว่าเป็นการทำผิดตามมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ พยานทั้งสองคนก็ให้ความเห็นว่าคุ้มครองกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ แต่ไม่สามารถตอบได้ว่ากษัตริย์ไทยทั้งหมดมีกี่พระองค์

เมื่อทนายได้ยื่นเอกสารคำพิพากษาของศาลจังหวัดจันทบุรี ให้พยานทั้งหมดดูว่าในคำพิพากษาฉบับดังกล่าว ได้ระบุไว้ว่าการกล่าวถึงอดีตกษัตริย์ไม่เข้าข่ายความผิดของมาตรา 112 ซึ่งพยานได้ตอบว่าไม่ทราบ และเมื่อทนายจำเลยได้ถามต่อไปว่า มาตราดังกล่าวก็ต้องคุ้มครองถึงอนาคตกษัตริย์และอนาคตผู้สำเร็จราชการด้วยใช่หรือไม่ ซึ่งพยานทั้งสองก็ให้ความเห็นว่าไม่ทราบเหมือนกันว่าในอนาคตจะมีกษัตริย์อีกกี่พระองค์

ทนายถามต่อไปว่า หากมีการหมิ่นกษัตริย์ต่างประเทศ หรือประมุขต่างประเทศ หรืออดีตประมุขต่างประเทศ เช่น พระเจ้าบุเรงนอง ก็ถือว่าเป็นการหมิ่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 133 และ มาตรา 134 ด้วยใช่หรือไม่ ซึ่ง ร.ต.อ.หญิง ศศิพันธ์ ได้ตอบว่าใช่ แต่ ร.ต.อ.พงศ์ปิติ ตอบเพียงว่าไม่ทราบ

อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.นัฐพล เป็นพยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนที่ตอบคำถามค้านแตกต่างจากทั้งพยานอีกสองคน โดยพยานรับว่า ไม่ทราบว่าหากมีการหมิ่นอดีตกษัตริย์จะเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ และไม่ทราบตามที่ทนายถามค้านว่าหากหมิ่นอดีตประมุขของต่างประเทศ จะผิดมาตรา 133 – 134 หรือไม่ ตลอดจนเมื่อทนายจำเลยถามว่า พยานเห็นด้วยหรือไม่ว่ามาตรา 112 ควรครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์ และในปัจจุบันก็มีการไปเรียกร้องให้แก้กฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อครอบคลุมทั้งสถาบันกษัตริย์ พยานไม่ขอตอบ

ทนายจำเลย จึงได้ถามต่อ ร.ต.อ.นัฐพล ว่าพยานทราบหรือไม่ที่พยานเบิกความมาไม่ตรงกับพยานโจทก์ปากอื่น และขัดแย้งกับพยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนอีก 2 ราย พยานตอบว่าไม่ทราบ

อัยการถามติง 

อัยการโจทก์ได้ถามต่อพยานทั้งสามคนว่า ในคำพิพากษาของศาลจังหวัดจันทบุรี ยังไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุด และหากมีการสู้ไปจนถึงชั้นฎีกา คำพิพากษาก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ใช่หรือไม่ ซึ่งพยานได้เห็นด้วยตามที่อัยการถาม 

และที่พยานทั้งสามไม่สามารถตอบทนายจำเลยได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์จริงหรือไม่ เนื่องจากอาศัยพยานหลักฐานจากพนักงานสืบสวนที่มีการยื่นหลักฐานพิสูจน์เป็นรูปภาพและชื่อของจำเลย ซึ่งพยานได้ตอบว่าใช่ 

.

พยานความเห็นปากที่ 1 — เห็นข้อความตามฟ้องแล้วคิดว่ามีเจตนาหมิ่นรัชกาลที่ 9 ถึงแม้ยืนยันว่าไม่มีการเอ่ยพระนามถึงรัชกาลที่ 10 และไม่ขอออกความเห็นว่า ม.112 ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์หรือไม่

คมสันต์ โพธิ์คง อายุ 58 ปี มีอาชีพรับจ้างทั่วไป จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทกฎหมายมหาชน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกี่ยวกับคดีนี้ พยานได้ถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปสอบปากคำ เนื่องจากเคยมีประสบการณ์เขียนหนังสือกฎหมายอาญาให้กับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ในหัวข้อความผิดต่อความมั่นคง จึงได้เข้ามาให้ปากคำที่ บก.ปอท.

พยานได้รับการติดต่อจากพนักงานสอบสวน ในเดือนมกราคม 2564 ให้เข้ามาแสดงความเห็นและความรู้สึกต่อข้อความที่จำเลยโพสต์ในทวิตเตอร์ ซึ่งพยานรู้สึกว่าเป็นการหมิ่นประมาทแน่นอน เนื่องจากมีการกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร และถึงแม้จะเป็นคำกล่าวหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลธรรมดา ก็ย่อมเป็นการหมิ่นประมาท ทำให้บุคคลอื่นคิดว่าเขาเป็นฆาตกรจริงๆ หรือทำให้ถูกเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นมีพฤติกรรมอย่างที่ว่าจริง 

ทนายถามค้าน

พยานยืนยันไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริงหรือไม่ และเมื่อถามว่า พยานเป็นสมาชิกของกลุ่มศูนย์รวมปกป้องสถาบันฯ (ศปปส.) หรือไม่ พยานก็ตอบทันทีว่าตนเองไม่ได้เป็นสมาชิก และในการเดินทางมาเบิกความวันนี้ ก็มาเพียงคนเดียว ไม่ได้มากับกลุ่ม ศปปส. ที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ในห้องพิจารณาคดีนี้ด้วย 

ทนายถามพยานว่า คดีนี้ไม่ได้มีการกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 และในมาตรา 112 ไม่ได้มีบทบัญญัติไว้เหมือนประมวลกฎหมายอาญามาตรา 327 ที่ระบุไว้ว่าผู้ใดใส่ความคนตายต่อบุคคลที่ 3 อันเป็นการทำให้ บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของผู้ตายเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย ผู้นั้นถือเป็นการหมิ่นประมาท ทำไมมาตรา 112 ถึงไม่ระบุอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ เหมือนกับมาตรา 327 พยานตอบว่าไม่ทราบ

ในขณะที่เกิดเหตุของคดีนี้ กษัตริย์ที่ครองราชย์มีเพียงพระองค์เดียวคือรัชกาลที่ 10 ซึ่งพยานได้ยืนยันว่าใช่ และไม่ขอออกความเห็นว่า มาตรา 112 ควรจะครอบคลุมไปถึงอดีตกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วหรือไม่ 

เมื่อทนายจำเลยถามพยานต่อไปว่า หากมีการหมิ่นพระเจ้าทองลัน จะเป็นการผิดมาตรา 112 หรือไม่ พยานตอบว่าหากพระเจ้าทองลันมีทายาทสืบสกุลมาถึงปัจจุบันก็คิดว่าผิด แต่ปัจจุบันไม่ทราบว่ามีใครเป็นทายาทของพระเจ้าทองลันหรือไม่ 

พยานอธิบายต่อว่า ที่เบิกความว่าจำเลยในคดีนี้มีการกล่าวถึงบิดาของรัชกาลที่ 10 ก็เป็นเจตนาที่มุ่งหมายทำให้กระทบต่อกษัตริย์องค์ปัจจุบันได้รับความเสียหาย แต่ในโพสต์ดังกล่าว ไม่ได้มีการกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 เป็นความเข้าใจของพยานเอง 

ทนายจำเลยยื่นเอกสารรายพระนามของกษัตริย์ในราชวงศ์ไทยทั้งหมดให้ดู และถามว่าหากมีการหมิ่นอดีตกษัตริย์ตามรายชื่อดังกล่าวนี้ จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทตามมาตรา 112 หรือไม่ พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ถ้าอดีตกษัตริย์ในรายชื่อมีทายาทก็ถือว่าหมิ่น หรือหากมีการต่อว่าอดีตราชินี อดีตรัชทายาท ก็สามารถเข้าข่ายมาตรา 112 ได้ ถึงแม้จะไม่อยู่ในองค์ประกอบของกฎหมาย แต่ก็กระทบกับกษัตริย์ที่ครองราชย์ ซึ่งต้องใช้มาตรา 112 มาพิจารณาอยู่ดี

นอกจากนี้ พยานได้ทราบว่าปัจจุบันมีกลุ่มคนพยายามยื่นหนังสือเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์ พยานได้ตอบว่าทราบ และยืนยันตามที่ทนายจำเลยถามค้านว่าหากจะผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้ ต้องมีการผิดมาตรา 112 มาก่อน

.

พยานความเห็นปากที่ 2 สมาชิกกลุ่ม ศปปส.  — ชี้ข้อความเป็นการปรักปรำกษัตริย์และเห็นว่า ม.112 ไม่ได้มีการระบุว่าเป็นความผิดต่อ “สถาบัน” แต่พยานเข้าใจว่าคำว่า “สถาบัน” หมายรวมถึงกษัตริย์ที่เป็นองค์ประกอบของ ม.112 

นพคุณ ทองถิ่น อายุ 43 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องกล ราชภัฎพระนคร มาให้ความเห็นในคดีนี้ในฐานะกลุ่ม ศปปส. และเคยยื่นหนังสือถึงกระทรวง DE ให้ตรวจสอบกลุ่มคนที่มีการจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ในทวิตเตอร์ พยานมีหน้าที่ในกลุ่มดังกล่าวตามสอดส่องว่าผู้ใดกระทำผิดต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งในคดีนี้พยานได้เข้ามาให้ความเห็นต่อพนักงานสอบสวนไปเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2564

พยานได้เห็นรูปที่พนักงานสอบสวนนำมาให้ดู และแสดงความคิดเห็น โดยเบิกความว่าในโพสต์ที่มีการกล่าวหารัชกาลที่ 9 เป็นสิ่งที่ไม่มีหลักฐาน มีเจตนาปรักปรำให้ร้ายต่อรัชกาลที่ 9 ว่าเป็นฆาตกร ส่วนแฮชแท็กที่กล่าวหาว่ากษัตริย์ พยานเข้าใจว่ามีเจตนาสื่อถึงรัชกาลที่ 10 เนื่องจากเวลาโพสต์เป็นช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 10 ขึ้นครองราชย์สมบัติ

ส่วนในภาพรัชกาลที่ 9 ที่มีพระราชดำรัสอยู่ว่า “ไม่ต้องจำว่าฉันเป็นใคร จำว่าฉันทำอะไรก็พอ” พยานรู้สึกว่าไม่มีการอาฆาตใดๆ แต่พยานได้อธิบายโดยรวมว่า หากผู้โพสต์ไม่มีเจตนาใส่ร้ายรัชกาลที่ 9 คงไม่โพสต์ข้อความดังกล่าวออกมาตั้งแต่แรก 

ทนายถามค้าน

ทนายจำเลยถามต่อพยานว่า การที่พยานทำงานอยู่ที่ ศปปส. ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ก่อตั้งตามกฎหมายชื่อศูนย์ของพยานมีคำว่า “สถาบัน” เป็นการปกป้องกษัตริย์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พยานได้ตอบว่าใช่ 

ทั้งนี้ ในมาตรา 112 ไม่ได้มีการระบุว่าเป็นความผิดต่อ “สถาบัน” แต่เป็นการผิดต่อพระมหากษัตริย์ พยานยืนยันว่าถูกต้อง และพยานเข้าใจว่าคำว่า “สถาบัน” หมายรวมถึงกษัตริย์ที่เป็นองค์ประกอบของมาตรา 112 

เมื่อถามว่าประเทศไทยมีกษัตริย์ขึ้นครองราชย์มาแล้วกี่พระองค์ พยานได้ตอบทันทีว่าไม่สำคัญว่าประเทศนี้จะมีกษัตริย์มาแล้วกี่พระองค์ แต่เรากำลังพูดถึงกษัตริย์ในรัชกาลนี้ แต่เมื่อทนายถามต่อว่าโพสต์ดังกล่าวของจำเลยมีการกล่าวหาถึงรัชกาลที่ 10 หรือไม่ พยานก็ตอบว่าไม่มี แต่พยานบอกว่าโพสต์ดังกล่าวเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 10 โดยคำว่า “กษัตริย์” ไม่ว่าจะพูดตอนไหน ถ้าเขียนว่ากษัตริย์ก็หมายถึงรัชกาลที่ 10 ส่วนที่ถามว่าทางกลุ่มมีการยื่นหนังสือขอให้แก้กฎหมายมาตรา 112 ให้ครอบคลุมอดีตกษัตริย์นั้น พยานไม่ขอออกความเห็น

.

พยานความเห็นปากที่ 3 สมาชิกกลุ่ม ศปปส. — ชี้อ่านแล้วรู้สึกว่ามีการหมายรวมถึงรัชกาลที่ 1 – 10 เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของรัชกาลที่ 10 ด้วย

ระพีพงษ์ ชัยยารัตน์ อายุ 46 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป จบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี สาขาจิตรกรรม วิทยาลัยเพาะช่าง เป็นสมาชิกกลุ่ม ศปปส. เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เนื่องจากในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 นำโดยอานนท์ กลิ่นแก้ว ได้ไปยื่นหนังสือถึงกระทรวง DE ร้องเรียนเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทสถาบันกษัตริย์ในทางสื่อออนไลน์ 

หลังจากนั้น จึงได้ถูกพนักงานสอบสวนเรียกสอบปากคำ โดยพยานกล่าวว่าตนจำข้อความที่โพสต์ในคดีนี้ได้ และมีความเห็นในฐานะประชาชนผู้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ คำว่า “ฆาตกร” เป็นการใส่ร้ายผู้โพสต์ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่อย่างไร และคำในแฮชแท็ก อ่านแล้วรู้สึกว่ามีการหมายรวมถึงรัชกาลที่ 1 – 10 เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 ด้วย และผู้โพสต์มีเจตนาที่ต้องการหมิ่นกษัตริย์ หากคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ จะไม่มีการโพสต์ข้อความในทำนองนี้เด็ดขาด 

อีกทั้ง ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 (1) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าบุคคลมีหน้าที่ต้องธำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามรัฐธรรมนูญ พยานเห็นว่ามีกฎหมายที่บัญญัติชัดเจนว่ากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ 

ทนายถามค้าน

ทนายถามพยานว่าที่เบิกความกล่าวถึงคำว่า “กษัตริย์” คือสถาบันกษัตริย์มีตั้งแต่รัชกาลที่ 1 – 10 แต่นอกเหนือจากนี้ครอบคลุมใครได้อีกบ้าง พยานไม่ขอตอบ และที่กล่าวว่ามาตรา 112 มีการครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 หรือความเห็นต่อการยื่นหนังสือเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ในปัจจุบัน ให้ครอบคลุมไปถึงอดีตกษัตริย์ พยานก็ไม่ขอตอบคำถาม 

.

พยานจำเลยปากผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญา — ชี้การตีความกฎหมายต้องตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนั้น ในคดีนี้ไม่เข้าองค์ประกอบของมาตรา 112 เนื่องด้วยกฎหมายไม่ได้ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์

สาวตรี สุขศรี รองคณบดีฝ่ายบัณฑิตศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันรับผิดชอบสอนวิชากฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายอาญา อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังได้ดำรงตำแหน่งอนุกรรมการของรัฐสภา เพื่อศึกษาการบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 

พยานเบิกความต่อศาลในประเด็นมาตรา 112 นั้น ไม่ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์ของไทย ด้วยเหตุผลทางวิชาการ 3 ประการ 

1. ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 การตีความต้องตีตามเจตนารมณ์และถ้อยคำของกฎหมาย เพื่อพิจารณาสิ่งที่กฎหมายต้องการคุ้มครอง เนื่องจากตำแหน่งกษัตริย์เป็นตำแหน่งพิเศษที่จะต้องได้รับการคุ้มครอง ดังนั้นกฎหมายจึงคุ้มครองบุคคลที่ดำรงตำแหน่งประมุขที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เท่านั้น หากไม่ได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว มาตรา 112 จะไม่สามารถใช้ครอบคลุมกับอดีตกษัตริย์ได้

2. การตีความกฎหมายต้องตีความแบบคงเส้นคงวา หมายความว่า หากพิจารณาลักษณะการบัญญัติไว้ มี 3 ลักษณะคือ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และอาฆาตมาดร้าย ซึ่งคำว่า “อาฆาตมาดร้าย” เป็นการขู่เข็ญว่าจะเกิดอันตรายต่อผู้ถูกข่มขู่ ในอนาคต ดังนั้นการตีความแบบนี้ กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นการคุ้มครองเฉพาะบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น  และหากตีความหมายรวมกันทั้ง 3 คำเป็นคำเดียวจึงเป็นการตีความที่ไม่ถูกต้องตามเจตนารมณ์และความหมายของคำ

และจะประหลาดมาก หากจะกล่าวหาว่าใครอาฆาตมาดร้ายต่อบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว และกฎหมายมาตรานี้ก็ไม่ได้ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์

3. อาศัยการตีความ ผ่านนักวิชาการด้านกฎหมายอาญา เช่น หยุด แสงอุทัย, จิตติ ติงศภัทิย์ และทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ โดยในหนังสืออธิบายกฎหมายอาญาของทั้ง 3 คน ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามาตรา 112 ไม่ได้ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์

นอกจากนี้ พยานยังอธิบายเพิ่มว่าก่อนที่จะมีการบัญญัติมาตรา 112 ในสมัยกฎหมายลักษณะอาญา รศ.127  กำหนดฐานความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามมาตรา 98 ซึ่งเป็นตัวแม่บทของมาตรา 112  หยุด แสงอุทัย ก็ได้มีการอธิบายว่าไม่ได้มีการระบุไว้ว่ากฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์

หากมองความสัมพันธ์ของกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาอย่างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 และ 29 กับ มาตรา 112 พยานอธิบายว่า ในมาตรา 327 เป็นกฎหมายคนละหมวดกับมาตรา 112 และแนวทางของศาลก็ไม่ได้นำมาเทียบกับมาตรา 112

และหากจะหยิบกฎหมายมาตรา 327 มาใช้ ก็ตีความไม่ได้เหมือนกันว่าการโพสต์ในคดีนี้จะเข้าความผิดในมาตรานี้อย่างไร เนื่องจากคำฟ้องระบุว่าเป็นการหมิ่นรัชกาลที่ 9 ซึ่งสวรรคตไปแล้ว แต่ตามมาตรา 327 ระบุไว้ว่าเป็นการคุ้มครองบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่บุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว 

หรือจะให้ตีความว่าตามคำฟ้องมีการกล่าวถึงรัชกาลที่ 9 จะทำการกระทบต่อรัชกาลที่ 10 แต่ในมาตรา 327 การกล่าวถึงผู้ตาย ไม่ได้หมายความว่าจะกระทบบุคคลที่ยังอยู่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ พยานขอยกตัวอย่างให้ศาลเข้าใจเพิ่ม โดยกล่าวว่า หากนาย ก. พูดถึงพ่อของนาย B. แต่ก็ต้องมาดูถึงพฤติกรรมของบุคคลอีกว่า คำพูดของนาย ก. จะสร้างความเสื่อมเสียต่อนาย B. อย่างไร 

หากพฤติกรรมที่เข้าข่ายมาตรา 327 ก็ต้องเป็นการพูดถึงสิ่งที่ทำให้ นาย B. เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ เช่น หากกล่าวหาว่าพ่อของนาย B. ที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เป็นต้น 

นอกจากนี้ พยานยังได้เบิกความว่าการหมิ่นประมาทประมุขต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน ตามมาตรา 133 และ มาตรา 134 ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงอดีตประมุขต่างประเทศ

อัยการถามค้าน

อัยการโจทก์ถามพยานว่าที่เบิกความเป็นความเห็นทางหลักกฎหมาย และเป็นการตีความเห็นส่วนตัวของพยานเอง พยานตอบว่าที่เบิกความมาทั้งหมด ไม่ได้เป็นการเบิกความเพื่อเป็นประโยชน์กับจำเลยในคดีนี้ และการตีความกฎหมายของพยานในคดีนี้ ก็เป็นการตีความกฎหมายตามหลักวิชาการ ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของพยาน

X