10 มิ.ย. 2565 “บอส” อิศเรษฐ์ เจริญคง นักกิจกรรม เดินทางไปที่ศาลแขวงขอนแก่น หลังจากพนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่นนัดส่งฟ้องคดี ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน สืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุลมุนหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2564 ขณะ “ราษฎรขอนแก่น” จัดกิจกรรมรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น
เวลา 14.00 น. เมื่อเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่นเดินทางมายื่นฟ้องที่ศาลแล้ว บอสจึงถูกพาตัวไปที่ห้องควบคุมของศาลในระหว่างขอประกันตัว
สำหรับคำฟ้อง กิตติพันธ์ ธิติธนาทรัพย์ พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่น บรรยายว่า เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2564 ขณะที่ พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์, พ.ต.ท.เมธี ศรีวันนา และ ด.ต.สุทธิลักษณ์ อันทนิล กับพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย สืบเนื่องจากรองนายกรัฐมนตรีและคณะได้ลงพื้นที่ตรวจราชการที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น โดยได้ประกาศแจ้งเตือนข้อกฎหมายให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบ และขอให้หยุดการใช้เครื่องขยายเสียง
จำเลยซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ด้วยการใช้กำปั้นชกไปที่ พล.ต.ต.ไพศาล อย่างแรง 1 ครั้ง และชกไปที่ พ.ต.ท.เมธี ศรีวันนา อย่างแรง 1 ครั้ง ซึ่งจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายท จึงไม่ได้รับอันตรายแก่กายสมดังเจตนาของจำเลย และจำเลยยังได้ทำร้ายร่างกาย ด.ต.สุทธิลักษณ์ ด้วยการใช้มือกระชากหมวกกันน็อคตำรวจออกจากศีรษะของ ด.ต.สุทธิลักษณ์ แต่ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ ด.ต.สุทธิลักษณ์ ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
อัยการระบุว่า การกระทำของอิศเรษฐ์เป็นความผิดฐาน ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กําลังประทุษร้าย, พยายามทำร้ายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และใช้กําลังทประทุษร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, มาตรา 296 ประกอบมาตรา 289(2), 80 และมาตรา 391 ทั้งนี้ คดีมีอัตราโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากอัยการจะขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีนี้แล้ว ยังขอให้ศาลนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้เรียงต่อกับโทษจำคุกของจำเลยในคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของศาลนี้อีก 2 คดี คือ คดีชุมนุมที่สวนเรืองแสงต่อเนื่องไปหน้า สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2564 และคดีชุมนุมหน้า สภ.ย่อย มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2564 ทั้งสองคดีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในการยื่นประกันอิศเรษฐ์ระหว่างพิจารณาคดี ทนายความขอประกันโดยไม่ใช้หลักทรัพย์ ระบุเหตุผลว่า อิศเรษฐ์ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ให้ความร่วมมือโดยเข้าพบพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการตลอดกระบวนการสอบสวน ทั้งคดีนี้มีอัตราโทษที่ไม่สูง จำเลยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ประกอบสัมมาอาชีพ ไม่มีความสามารถที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานใดได้
นอกจากนี้ คำร้องขอประกันยังอ้างถึงหลักการที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งได้รับการรับรองไว้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) และมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560
กระทั่งเวลา 15.30 น. ศาลแขวงขอนแก่นมีคำสั่งให้ประกันตัวบอส โดยไม่ใช้หลักทรัพย์ แต่ให้ทำสัญญาประกันตัว หากผิดเงื่อนไขสัญญาปรับ 30,000 บาท พร้อมทั้งนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 26 ก.ค. 2565
ก่อนหน้านี้ บอสถูกจับกุมในวันเกิดเหตุ และถูกเปรียบเทียบปรับในข้อหา “ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต” เป็นเงิน 700 บาท แต่หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนยังออกหมายเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานฯ และร่วมกันใช้กําลังทําร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายฯ” อีก
ครั้งนั้นบอสให้การปฏิเสธ พร้อมทั้งระบุว่า ในเหตุการณ์นั้นตนได้ถูกเปรียบเทียบปรับในข้อหาอื่นไปแล้ว ตำรวจจึงไม่สามารถมาดำเนินคดีกับตนได้อีก ตามหลักที่ว่า “บุคคลไม่อาจถูกลงโทษหลายครั้งสำหรับการกระทำความผิดครั้งเดียวได้” อย่างไรก็ตาม เมื่อพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนการสอบสวนส่งให้พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่น อัยการได้ส่งคืนสำนวนและมีคำสั่งให้แจ้งข้อหา “พยายามทำร้ายเจ้าพนักงาน” กับบอสเพิ่มเติมอีก ซึ่งบอสก็ยืนยันให้การปฏิเสธเช่นเดิม ระบุว่า การกระทำตามที่ถูกกล่าวหานั้น เป็นการใช้สิทธิป้องกัน เนื่องจาก “ไนซ์ ดาวดิน” หรือภาณุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์ ถูก พ.ต.ท.ไพศาล เข้าแย่งไมค์ และภาณุพงศ์ได้ปัดป้องการกระทำของไพศาล ตนเองจึงได้เข้าไปเพื่อป้องกันภาณุพงศ์
ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ระบุถึงสิทธิในการป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นไว้ว่า “ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”
ในวันเกิดเหตุ บอสก็ได้รับบาดเจ็บ เป็นรอยฟกช้ำที่แขนซ้าย ซี่โครงซ้าย และเสื้อขาด เนื่องจากถูกตำรวจชุดควบคุมฝูงชน (คฝ.) รุมทำร้าย กดและลากถูไปกับพื้น แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า คฝ.ที่รุมทำร้ายผู้ต้องหาเป็นคนใดบ้าง และยังไม่ได้เข้าแจ้งความเอาผิด
จากเหตุการณ์เดียวกัน (ดูคลิปเหตุการณ์ที่ ไทยรัฐออนไลน์ และ The Isaan Record) ภาณุพงศ์ก็ถูกดำเนินคดีด้วยอีกราย ในข้อหา “ร่วมกันขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน, ร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ” แต่อัยการยังไม่มีคำสั่งฟ้องภาณุพงศ์มาพร้อมกับอิศเรษฐ์
ในส่วนของภาณุพงศ์เองก็ได้แจ้งความ คฝ. กลับ ฐาน “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ทำให้เสียทรัพย์ และทำร้ายร่างกาย” เนื่องจาก คฝ.ใช้กำลังเข้าควบคุมตัวภาณุพงศ์และอิศเรษฐ์โดยใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ จนเป็นเหตุให้ภาณุพงศ์ได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้าย ข้อมือ ฝ่ามือ และบริเวณเอว รวมถึงแว่นตาแตก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศาลขอนแก่นรอการกำหนดโทษ 2 ปี 3 จำเลยคดีวางเพลิงรูป อีกรายขอเวลา 3 เดือน ชำระค่าเสียหายให้ครบ