11 เม.ย. 2565 เวลา 13.30 น. ที่ศาลอาญารัชดาฯ มีนัดสอบคำให้การและนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีของ “วีรภาพ วงษ์สมาน” หรือ รีฟ เยาวชนอายุ 18 ปี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาหลัก “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ “ร่วมกันชุมนุมมั่วสุมมากกว่า 10 คนขึ้นไป” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 หลังถูกกล่าวหากรณีพ่นสีสเปรย์ข้อความเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ บริเวณแยกดินแดง ระหว่างการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2564
ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ออกพิจารณา ในนัดนี้มีอัยการโจทก์ จำเลย และผู้รับมอบฉันทะทนายจำเลยมาศาล โดยผู้รับมอบฉันทะได้แถลงต่อศาล ขอเลื่อนนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน เนื่องจากทนายจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่นในเวลาเดียวกันนี้
ด้านฝ่ายอัยการโจทก์ไม่คัดค้าน ศาลจึงให้เลื่อนนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐาน ออกไปเป็นวันที่ 20 มิ.ย. 2565 เวลา 09.00 น.
.
ถูกฟ้อง 112! อัยการชี้ถ้อยคำ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ” สื่อว่า ร.10 อยู่เหนือกฎหมาย ถือเป็นการกล่าวเท็จและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
สำหรับคดีนี้มี นายอานนท์ ปราการรัตน์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ได้เป็นผู้เรียงฟ้องยื่นต่อศาล เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2565 ระบุโดยท้าวความถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศของนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งได้บังคับใช้ต่อเนื่องมาตลอด ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 รวมถึงการประกาศให้เขตพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และออกข้อกําหนดห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค ซึ่งรวมถึงข้อห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มกันมากกว่า 5 คน และห้ามกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ดังกล่าว
และในส่วนต่อมาคำฟ้องระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ตามมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พฤติการณ์ของคดีนี้ เมื่อระหว่างวันที่ 13-14 ก.ย. 2564 จําเลยกับพวก รวมประมาณ 150 คน ได้ร่วมกันชุมนุม มั่วสุม ที่บริเวณแยกใต้ทางด่วนดินแดง แนวถนนดินแดง และถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นการออกนอกเคหสถานและเป็นการรวมกลุ่มบุคคลที่มีจํานวนมากกว่า 25 คน โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงเป็นการชุมนุม การทํากิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ สถานที่ใดๆ ที่แออัด และมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่ายในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคในเขตพื้นที่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงประกาศกําหนด
ต่อมา จําเลยกับผู้ร่วมชุมนุม รวมจํานวนประมาณ 150 คน ดังกล่าว ได้ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เพื่อขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือใช้กําลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งเจ้าพนักงานตํารวจควบคุมฝูงชนได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมมั่วสุมดังกล่าวให้เลิกชุมนุมมั่วสุม แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่เลิก และต่อมาได้ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตํารวจควบคุมฝูงชนที่มาควบคุมสถานการณ์ ซึ่งกระทําการตามหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย โดยใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย มีการขว้างปาระเบิดและประทัด และใช้ลูกแก้วหรือของแข็งอย่างอื่นยิงด้วยหนังสติ๊ก หรืออาวุธอย่างอื่นเข้าใส่เจ้าพนักงานตํารวจ อันเป็นการกระทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยได้กระทําโดยมีหรือใช้อาวุธหรือวัตถุระเบิด และโดยร่วมกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
นอกจากนี้ จําเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยการเขียนข้อความว่า “ควรปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ #ไอ้ษัตริย์” ที่บริเวณผนังตู้ควบคุมไฟฟ้าของกรุงเทพมหานคร ใต้ทางด่วนดินแดง และข้อความภาษาอังกฤษอีกหนึ่งข้อความที่บริเวณเสาใต้ทางด่วนดินแดง เพื่อให้ประชาชน หรือบุคคลทั่วไปซึ่งเป็นบุคคลที่สามที่พบเห็นข้อมูล ข้อความ รูปภาพ และตัวอักษรดังกล่าว
อัยการบรรยายฟ้องว่า คำว่า “ควรปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ” เข้าใจได้ว่า ปัจจุบันสถาบันกษัตริย์ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นข้อความอันเป็นเท็จ เลื่อนลอย ปราศจากหลักฐาน ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทําให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังสถาบัน ว่าทรงอยู่เหนือกฎหมายและอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
และคําว่า “ไอ้ษัตริย์” เข้าใจได้ว่า หมายถึงกษัตริย์ เนื่องจากประโยคก่อนหน้านี้พูดถึงกษัตริย์ อันเป็นการเลี่ยงใช้คํา และใช้คําพ้องเสียงให้พ้องกับคําว่า “ไอ้สัตว์” ที่เป็นคําด่า จึงเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างร้ายแรงต่อพระมหากษัตริย์ อันเป็นการกระทํามิบังควร จาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท ต่อพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้ในหลวงรัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง และเจตนาทําลายพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้
อัยการฟ้องวีรภาพในทั้งหมด 5 ข้อหาด้วยกัน ได้แก่
- “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
- “ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนมากกว่า 25 คนในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด” ฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
- “ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ่นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยผู้ร่วมกระทำมีอาวุธ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรค 2
- “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกชุมนุมมั่วสุม แต่ไม่เลิก” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216
- “ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธ หรือร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140
สำหรับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี พนักงานอัยการไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้อยู่ดุลพินิจของศาล ในท้ายคำฟ้องยังระบุว่า ขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจาก คดีชุมนุมเดินทะลุฟ้า V.2 บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2564, คดีชุมนุมและปราศรัยในกิจกรรม ‘รดน้ำกดหัวประยุทธ์’ ที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2564 และคดีชุมนุมเรียกร้องให้คืนสิทธิประกันตัวให้ผู้ต้องขังการเมือง หรือ #ม็อบ2พฤษภา ที่หน้าศาลอาญา เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2564
ต่อมา ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัวจำเลย โดยใช้หลักทรัพย์เดิมจากชั้นสอบสวน คือจำนวน 100,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์
.
ฐานข้อมูลคดี
คดี 112 “รีฟ-วีรภาพ” พ่นสีข้อความเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แยกดินแดง
.
อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ปี 2563-65