ครึ่งเดือนธันวา อัยการฟ้องคดีอีก 6 คดี ทั้ง ทะลุแก๊ส-ม็อบต้านรัฐประหารเมียนมา-คาร์ม็อบในภูมิภาค-ม็อบตั้งแต่ปี 63 รวมจำเลย 9 ราย

ตั้งแต่วันที่ 1 – 15 ธันวาคม 2564 ศูนย์ทนายฯ พบว่า มีคดีทางการเมืองในพื้นที่ภาคกลาง และภูมิภาคบางส่วนที่อัยการได้มีคำสั่งฟ้องคดี รวม 6 คดี เป็นคดีที่สืบเนื่องจากการถูกกล่าวหาว่า ปาระเบิดปิงปองใส่เจ้าหน้าที่ คฝ. เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 64 มีจำเลยเป็นประชาชน 2 ราย, เป็นคดีที่สืบเนื่องจากการชุมนุม #ม็อบ12กันยา ที่แยกดินแดง ซึ่งตำรวจอ้างว่าตรวจเจอปืนไทยไทยประดิษฐ์ – หนังสติ๊กด้วย มีจำเลย 2 ราย, คดีจากการชุมนุมที่ด้านหน้าสถานทูตเมียนมา เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 64 มีจำเลย 1 ราย

คดีที่สืบเนื่องจากกิจกรรมคาร์ม็อบ มี 2 คดี ได้แก่ คดีคาร์ม็อบที่จังหวัดนครนายก มีจำเลย 1 ราย และอีกจุดคือที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำเลย 1 ราย ถูกกล่าวหาใน 2 คดี จากการจัดกิจกรรม 2 ครั้ง, และเป็นคดีที่สืบเนื่องจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2563 ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีจำเลยเป็นนักกิจกรรม 2 ราย คือ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง และ ชูเกียรติ แสงวงค์

นอกจากคดีข้างต้น ยังมีอีก 1 คดี ที่ถูกฟ้องไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 64 เป็นคดีสืบเนื่องจากการถูกกล่าวหาว่าเข้าร่วมในการชุมนุม #ม็อบ11กันยา โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าตรวจเจอระเบิดที่ตัวจำเลยด้วย คดีนี้มีจำเลย 1 ราย

+++ สั่งฟ้องผู้ชุมนุม #ม็อบ11กันยา แยกดินแดง เจ้าหน้าที่อ้างตรวจเจอระเบิดระหว่างจับกุม +++

10 พฤศจิกายน 2564 – พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 สำนักงานคดีอาญา ได้มีคำสั่งฟ้อง วงศกร (สงวนนามสกุล) ต่อศาลอาญา ผู้ชุมนุมซึ่งถูกจับกุมใน #ม็อบ11กันยา ที่แยกดินแดง โดยเขาถูกกล่าวหาว่าข้อหาครอบครองวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อ้างว่า ตรวจพบวัตถุระเบิดที่ตัวของวงศกร และข้อหาฝ่าฝืนเคอร์ฟิว

>>> กวาดจับ 77 ราย ที่ดินแดง! ผู้ชุมนุม – ชาวบ้านพร้อมลูก – คนขายอาหาร อาสาการแพทย์ยังโดน ก่อนปล่อย 25 ราย พร้อมเด็กเล็ก

สำหรับพฤติการณ์ตามคำฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564 ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จำเลยได้ออกนอกเคหสถานไปยังถนนรัชดาภิเษก โดยไม่มีเหตุจำเป็นและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน

จำเลยกับพวก ซึ่งยังเป็นเยาวชน ซึ่งถูกแยกดำเนินคดีต่างหาก ได้ร่วมกันมีวัตถุระเบิดแสวงเครื่องแบบไทยประดิษฐ์ และก้อนหิน จำนวน 5 ก้อน ห่อด้วยกระดาษ พันทับด้วยเทปพันสายไฟ จำนวน 1 ลูก เมื่อระเบิดสามารถทำอันตรายต่อร่างกายจนอาจถึงชีวิต หากโดนอวัยวะสำคัญ อันเป็นวัตถุระเบิดที่ไม่สามารถออกเลขทะเบียนให้ได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

ต่อมา ภายในวันเดียวกันนั้นเอง เจ้าพนักงานได้จับกุมจำเลยพร้อมกับพวกเยาวชนไว้ได้ และได้ยึดวัตถุระเบิด รถจักรยานยนต์ แกลลอนน้ำมัน โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง และหนังสติ๊กยิงลูกแก้ว จำนวน 1 อัน ไว้เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน 

ภายหลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยโดยใช้หลักประกันเดิมชั้นสอบสวน กำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งต่อไป วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565

+++ สั่งฟ้องประชาชน 2 ราย ถูกกล่าวหาว่าปาระเบิดปิงปองใส่ คฝ. วันที่ 9 พฤศจิกา +++

2 ธันวาคม 2564 – พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 ได้มีคำสั่งฟ้อง ทักษิณ และ ศักดิ์ทนา (สงวนนามสกุล) ต่อศาลแขวงดุสิต โดยทั้ง 2 ถูกกล่าวหาว่า อยู่ในระหว่างมีการปาระเบิดปิงปองและประทัดยักษ์ใส่แนวเจ้าหน้าที่ คฝ. เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2564 ถูกกล่าวหาว่า ฝ่าฝืนข้อกำหนดของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ป.อาญา มาตรา 215

สำหรับพฤติการณ์ตามคำฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2564 จำเลยกับพวกประมาณ 20 คน ได้ร่วมกันชุมนุม มั่วสุม หรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค และขี่จักรยานยนต์มารวมตัวหลายคันในลักษณะกีดขวางการจราจรที่บริเวณสะพานฝ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยไม่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส

ต่อมา ได้ร่วมกันประทุษร้าย ขว้างปาระเบิดปิงปอง ประทัดยักษ์ ยิงหนังสติ๊กใส่แนวของเจ้าหน้าที่ คฝ. และจุดไฟเผายางรถยนต์บนถนนราชดำเนิน เป็นการก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองและยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 จำเลยทั้ง 2 ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน ทั้ง 2 ให้การปฏิเสธ โดยในคดีนี้ พนักงานสอบสวนไม่เคยยื่นคำร้องฝากขังในชั้นสอบสวน

หลังจากอัยการฟ้องคดี ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยสาบานตนและให้มาตามกำหนดนัด กำหนดนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐาน วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565

+++ สั่งฟ้อง 2 ผู้ชุมนุม #ม็อบ12กันยา แยกดินแดง ตร.อ้าง ตรวจค้นเจอปืนไทยประดิษฐ์ – หนังสติ๊ก ศาลให้ปล่อยโดยใช้หลักประกันเดิม +++

3 ธันวาคม 2564 – พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ได้มีคำสั่งฟ้อง อานนท์ และ ขนิษฐา (สงวนนามสกุล) ต่อศาลอาญา ทั้งคู่เป็นผู้ที่ถูกจับกุมในการชุมนุม #ม็อบ12กันยา ที่แยกดินแดงฯ พร้อมกับปืนประดิษฐ์ หนังสติ๊ก และลูกแก้ว โดยทั้ง 2 ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรค 2, มาตรา 216 “ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีหรือใช้อาวุธหรือโดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป”, “ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว” และข้อกำหนดเรื่องการชุมนุม ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ  เฉพาะจำเลยที่ 1 ยังถูกกล่าวหาข้อหา “มีอาวุธปืนในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาติฯ และพกอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ” ด้วย

>>> #ม็อบ12กันยา ตชด.จับ 2 หนุ่ม-สาว กลางดึกที่ดินแดง ส่งฝากขังพร้อม 42 ราย ที่ถูกกวาดจับคืนก่อน ศาลอาญาเรียกเงินประกันเฉียด 1.5 ล้าน

สำหรับพฤติการณ์ตามคำฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2564 จำเลยที่ 1 ได้มีอาวุธปืนประกอบเอง ไม่มีเครื่องหมายทะเบียน จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนอีกรวม 11 นัด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และได้พกอาวุธติดตัวไปที่บริเวณแยกตัดใหม่ ถนนวิภาวดีฝั่งขาเข้า ซึ่งเป็นที่สาธารณะ นอกจากจากนี้ จำเลยทั้ง 2 กับพวกรวม 25 คน ได้บังอาจร่วมกันชุมนุม มั่วสุม ที่บริเวณแยกใต้ทางด่วนดินแดงและถนนวิภาวดีรังสิต โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด เป็นการชุมนุมที่แออัด เสี่ยงต่อการแพร่โรค ไม่มีมาตราการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามที่ทางราชการกำหนด และยังเป็นการชุมนุมในช่วงเวลาเคอร์ฟิว อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ส่วนจำเลยที่ 2 ทำการพกหนังสติ๊กและลูกแก้วมาร่วมในการชุมนุม เจ้าพนักงานตำรวจ คฝ. ได้สั่งการให้กลุ่มผู้ชุมนุมและจำเลยที่มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ให้เลิกไป ยุติการทำกิจกรรม แต่จำเลยทั้ง 2 กับพวก ก็ไม่ยอมเลิก เจ้าพนักงาน คฝ. ได้เคลื่อนกำลังเข้ามาดูสถานการณ์ จำเลยกับพวกได้ต่อสู้ขัดขวาง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้ายโดยการขว้างปาประทัด ลูกแก้ว และของแข็งต่างๆ ใส่เจ้าหน้าที่ เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้อาวุธ และมีจำนวนผู้กระทำผิดตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไป

เมื่อเจ้าหน้าที่ คฝ. เข้าทำการสลายการชุมนุม และจับกุมจำเลยทั้ง 2 แต่ทั้ง 2 ไม่ยอมให้จับกุม ผลัก กระชากเจ้าหน้าที่ฯ เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยที่ทั้ง 2 ต่างก็มีอาวุธ

ต่อมา วันที่ 12 กันยายน 2564 ภายหลังเกิดเหตุ เจ้าพนักงานได้จับกุมทั้ง 2 ได้พร้อมอาวุธปืน หนังสติ๊ก 2 อัน และลูกแก้วอีก 40 ลูก นำส่งพนักงานสอบสวนแล้ว 

หลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง  ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้หลักประกันเดิมที่เคยวางในชั้นสอบสวน ในกรณีของอานนท์ เป็นเงินประกัน 60,000 บาท หากผิดสัญญาประกันให้ปรับ 300,000 บาท ในกรณีของขนิษฐา เป็นเงินประกัน 35,000 บาท

+++ สั่งฟ้อง ชาญชัย เหตุร่วมม็อบต้านรัฐประการหน้าสถานทูตเมียนมา คำฟ้องอ้างว่าจำเลยผลักเจ้าหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ +++

7 ธันวาคม 2564 – พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 ได้มีคำสั่งฟ้อง ชาญชัย ปุสรังษี ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ (มีเยาวชนอีกรายที่ถูกแยกดำเนินคดีต่างหาก) ในคดีสืบเนื่องจากการเข้าร่วมในการชุมนุมที่ด้านหน้าสถานทูตเมียนมา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อต่อต้านการรัฐประหารในประเทศเมียนมา โดยเขาถูกกล่าวหาว่า “ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันกระทำตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป”, ฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องการชุมนุมของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ

สำหรับพฤติการณ์ตามคำฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและประกาศกระทรวงสาธารณสุขตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อฯ มีผลบังคับใช้ จำเลยคดีนี้กับเยาวชนอีกราย ได้ร่วมกันชุมนุม มั่วสุม ในสถานที่แออัด กับประชาชนจำนวนมากบนถนนสาทรเหนือ หน้าสถานทูตเมียนมา โดยการชุมนุมดังกล่าวมีลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคเชื้อไวรัสโควิด 19 เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และเป็นการดำเนินการใด ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจเป็นเหตุให้โรคติดต่อแพร่ระบาดออกไป

ขณะที่ พ.ต.ท.ประวิทย์ วงษ์เกษม รอง ผกก.สืบสวน สน.ยานนาวา ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสั่งการ พร้อมเจ้าหน้าที่ คฝ. อีกหลายนาย ได้ขอตรวจหนังสือเดินทางและบัตรประจำตัวชาวเมียนมาที่มาร่วมชุมนุม อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย จำเลยกับพวกตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไปได้ร่วมกันต่อสู้ขัดขวาง พ.ต.ท. ประวิทย์ และเจ้าหน้าที่ คฝ. โดยใช้กำลังประทุษร้าย ได้ร่วมกันใช้มือผลักกระแทกเจ้าหน้าที่ คฝ. จนเสียหลักไปกระแทก พ.ต.ท.ประวิทย์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ยานนาวา ซึ่งกำลังตรวจสอบบัตรประจำตัวผู้มาร่วมชุมนุมอยู่ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

ต่อมา วันที่ 12 มีนาคม 2564 จำเลยเข้ามอบตัว พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว หลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลย กำหนดหลักประกันเป็นเงิน 50,000 บาท กำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานต่อไปวันที่ 24 มกราคม 2565

มาแล้ว! คาร์ม็อบนครนายก รวมตัวเรียกร้องวัคซีนคุณภาพ ให้กับปชช.อย่างเท่าเทียม
ขอบคุณรูปภาพจาก มติชนออนไลน์

+++ สั่งฟ้องผู้จัดคาร์ม็อบนครนายก ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โจทก์ยังขอศาลให้ลงโทษสถานหนัก-ทำทัณฑ์บน อ้างขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม +++

8 ธันวาคม 2564 – พนักงานอัยการจังหวัดนครนายกได้มีคำสั่งฟ้องคดีของกุลกานต์ จินตกานนท์ ต่อศาลจังหวัดนครนายก เหตุจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดกิจกรรมคาร์ม็อบในจังหวัดนครนายก โดยถูกฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องการชุมนุมฯ ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ

คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564 ซึ่งอยู่ในระหว่างที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จำเลยได้เป็นแกนนำจัดกิจกรรมชุมนุมปราศรัยมี่บริเวณริมถนนร้อยล้าน อำเภอเมืองนครนายก เป็นการชุมนุม มั่วสุม ทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคไวรัสโควิด 19  โดยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครนายก แล้ว ต่อมา อธิบดีอัยการภาค 2 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมาย อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้

อัยการโจทก์ยังระบุในฟ้องอีกด้วยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยสำนึกรู้ แต่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมในการป้องกันโรคระบาด ขอศาลลงโทษสถานหนักและไม่รอการลงโทษ เพื่อมิให้จำเลยกระทำความผิดซ้ำอีก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อบุคคลและเพื่อความปลอดภัยของประชาชนโดยส่วนรวม จึงขอศาลได้โปรดมีคำสั่งบังคับใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยกับจำเลย โดยมีคำสั่งให้จำเลยทำทัณฑ์บนโดยกำหนดจำนวนเงินไม่เกินกว่า 50,000 บาท โดยจะมีคำสั่งให้มีประกันด้วยหรือไม่ก็ได้ และหากจำเลยไม่ยอมทำทัณฑ์บนหรือหาประกันไม่ได้ ขอให้ศาลได้โปรดมีคำสั่งกักขังจำเลยไว้จนกว่าจะทำทัณฑ์บนหรือหาประกันได้

ภายหลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย โดยไม่มีหลักประกัน แต่ใช้วิธีสาบานตน กำหนดนัดพร้อมวันที่ 31 มกราคม 2565

คาร์ม็อบแปดริ้วมาอีก! คราวนี้แหวกทะลุถึงเสาธงศาลากลาง สยามรัฐ
ขอบคุณรูปภาพจาก Siamrath.co.th

+++ สั่งฟ้องผู้จัดคาร์ม็อบจังหวัดฉะเชิงเทรา 2 คดีติด เหตุฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ – ไม่ทำตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ ศาลให้ประกัน เรียกหลักทรัพย์คดีละ 20,000 บาท +++

9 ธันวาคม 2564 – พนักงานอัยการจังหวัดฉะเชิงเทราได้มีคำสั่งฟ้อง สัญชัย (นามสมมติ) ต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ใน 2 คดีความ สืบเนื่องจากการกิจกรรมคาร์ม็อบในจังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 1 และ 7 สิงหาคม 2564 โดยเขาถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ป.อาญา มาตรา 368 สำหรับคดีแรก และฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องการชุมนุมของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ป.อาญา มาตรา 368 ในคดีที่ 2

>> ออกหมายจับคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ “พ่อค้าฉะเชิงเทรา” เหตุโพสต์ชวนและร่วมคาร์ม็อบ 2 ครั้ง ก่อนศาลให้ประกัน 4 หมื่นบาท

สำหรับพฤติการณ์ตามคำฟ้องคดีแรก ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค เป็นการชุมนุมกิจกรรมคาร์ม็อบที่บริเวณสวนสาธารณะของเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อฯ และขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน เป็นการชุมนุมมั่วสุมที่ไม่มีมาตราการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนด 

สำหรับพฤติการณ์ตามคำฟ้องคดีที่ 2 ระบุว่า เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2564 จำเลยได้จัดกิจกรรมคาร์ม็อบร่วมกันกับบุคคลจำนวนมากกว่า 150 คน เพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่บริเวณสวนสาธารณะเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา อันเป็นการรวมกลุ่มมากกว่า 5 คน ขึ้นไปในพื้นที่ควบคุมสูงสุด โดยไม่มีมาตราการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตามที่ทางราชการกำหนด และไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

หลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย กำหนดหลักประกันเป็นเงิน 20,000 บาท ในแต่ละคดี กำหนดนัดสอบคำให้การ พร้อมตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 18 เมษายน 2565

ชุมนุม 8 พ.ย. กลุ่มราษฎร ส่ง "ราษฎรสาส์น" ถึงรัชกาลที่ 10 - บีบีซีไทย
ขอบคุณรูปภาพจาก BBC

+++ สั่งฟ้อง ไบรท์-ชินวัตรจัสติน-ชูเกียรติ กล่าวหาเป็นผู้จัดการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันที่ 8 พ.ย. 63 ศาลให้ประกัน เรียกหลักประกันรายละ 20,000 บาท +++

15 ธันวาคม 2564 – พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 ได้มีคำสั่งฟ้อง ชินวัตร จันทร์กระจ่าง และ ชูเกียรติ แสงวงค์ – 2 นักกิจกรรมทางการเมือง ต่อศาลแขวงดุสิต ในคดีความสืบเนื่องจากการชุมนุม #ราษฎรสาส์น เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปใกล้พระบรมมหาราชวัง เพื่อยื่นจดหมายถึงกษัตริย์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 โดยทั้งคู่ถูกกล่าวหาข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ

สำหรับพฤติการณ์ตามคำฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งอยู่ในระหว่างที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จำเลยทั้ง 2 กับพวกที่เป็นแกนนำกลุ่มต่าง ๆ หรือเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมชุมนุม ได้ร่วมกันจัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ คือ พ.ต.อ.อิทธิพร พงษ์ธร ผกก.สน.สำราญราษฎร์ ซึ่งเป็นผู้รับแจ้งการชุมนุมตามกฎหมาย เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงก่อนการชุมนุม

ในการชุมนุม มีการขึ้นปราศรัยบนรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียง บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมฟังปราศรัย มีการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นพูดโจมตีรัฐบาล เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมฟังจำนวนมาก ประมาณ 5,000 คน ยืนกันหนาแน่น อันเป็นการมั่วสุมในที่แออัด เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัส โดยที่ไม่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามที่ทางราชการกำหนด เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคระบาดโควิด-19 เป็นสถานการณ์ที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน 

ต่อมา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ทั้ง 2 ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนแล้ว ชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมา รองอัยการสูงสุดซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายอนุญาตให้ฟ้องจำเลยทั้ง 2 แล้ว

ภายหลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย กำหนดหลักประกันเป็นเงินสดจำนวนรายละ 20,000 บาท รวม 40,000 บาท เป็นเงินจากกองทุนราษฎรประสงค์ กำหนดนัดพร้อมสอบคำให้การ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

X