ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 64 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับแจ้งว่า “สัญชัย” (นามสมมติ) พ่อค้าขายของออนไลน์ อายุ 38 ปี ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบจาก สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เข้าจับกุมตัวที่ร้านสะดวกซื้อ ใกล้ที่พักของเขา โดยมีการแสดงหมายจับของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 2 หมายจับด้วยกัน เหตุจากการร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ (Carmob) ฉะเชิงเทราไม่เอาเผด็จการ 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 1 และ 7 สิงหาคม 2564 หมายจับทั้งสองฉบับออกโดยศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564
สัญชัยระบุว่าเขาเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ ได้มีการออกหมายเรียกส่งไปยังที่อยู่ตามบัตรประชาชนของเขา ซึ่งอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง แต่เขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว จึงไม่เคยเห็นหมายเรียกมาก่อน และไม่เคยไปพบตำรวจ ทำให้เป็นที่มาของการถูกออกหมายจับ
หลังแสดงหมายจับแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบได้เชิญให้สัญชัยเดินทางไปยัง สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ด้วยรถของเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินกระบวนการทางกฎหมายต่อไป ระหว่างนั้นเอง สัญชัยได้พยายามแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ครอบครัวทราบและขอความช่วยเหลือ โดยทนายความของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้พยายามติดต่อไปยัง สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อสอบถามหาตัวผู้ถูกจับกุม ได้รับคำตอบเพียงว่าผู้ต้องหาถูกควบคุมอยู่ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา จริง แต่ยังไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสำนวนคือใคร
จากนั้น ได้จัดทำบันทึกจับกุมพร้อมกับสอบถามว่าจะให้การอย่างไร สัญชัยได้ให้การว่าตนเองเป็นบุคคลตามหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง แต่ตนไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา โดยมีรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ท.วีรศักดิ์ บุตรสอน รองผู้กำกับสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา โดยมีตำรวจทั้งจากสถานีตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา, สภ.เมืองฉะเชิงเทรา, สภ.บางน้ำเปรี้ยว, สภ.ฉิมพลี, สภ.สาวชะโงก รวมกว่า 27 นาย
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาสัญชัย ใน 2 คดี ได้แก่ คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบ 1 สิงหาคม 2564 โดยกล่าวหาว่าเขาได้โพสต์ข้อความลงในกลุ่มฉะเชิงเทราไม่เอาเผด็จการ เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมกิจกรรมขับไล่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล บริเวณสวนสาธารณะของเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ต่อมาได้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 60 คน ขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ติดแผ่นป้ายขับไล่รัฐบาล ไปรอบเมืองฉะเชิงเทรา ตำรวจอ้างว่าพบสัญชัยกำลังยืนพูดคุยกับผู้เข้าร่วมอยู่บริเวณสวนสาธารณะด้วย และยังได้ทยอยโพสต์ภาพกิจกรรมลงเพจกลุ่มด้วย
ส่วนคดีที่สอง ตำรวจกล่าวหาว่าเขาร่วมจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ 7 สิงหาคม 2564 ซึ่งมีการรวมตัวบริเวณสวนสาธารณะของเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราเช่นเดียวกัน มีผู้เข้าร่วมประมาณ 150 คน โดยกล่าวหาว่าสัญชัยได้ขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ที่เคลื่อนขบวนขับไล่รัฐบาลไปรอบเมืองฉะเชิงเทรา และได้ร่วมยืนพูดคุยกับผู้เข้าร่วมหลังกิจกรรม รวมทั้งโบกรถที่เข้าร่วมขบวน
กิจกรรมทั้งสองครั้งไม่ได้มีการตั้งเวทีปราศรัยแต่อย่างใด แต่ทางตำรวจอ้างว่ามีการรวมตัวกันถ่ายรูป จึงกล่าวหาว่าเป็นการจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ 66/2564 สัญชัยได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาในทั้งสองคดี
หลังการสอบสวน สัญชัยระบุว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวเขาไปนั่งถ่ายรูปร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหลายนายด้วยกัน ระหว่างการถ่ายรูปมีการนำแผ่นกระดาษแข็งมาให้สัญชัยถือ เพื่อปิดบังใบหน้าไว้ด้วย หลังจากนั้นเขาถูกนำตัวไปควบคุมไว้ยังห้องขังของ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ตลอดกระบวนการที่เกิดขึ้น สัญชัยไม่มีทนายความคอยให้คำปรึกษาทางกฎหมายอยู่
จนกระทั่งช่วงสายของวันที่ 13 พ.ย. 64 สัญชัยถูกพาตัวออกจากห้องขัง สภ.เมืองฉะเชิงเทรา พร้อมกับผู้ต้องหาอีกหลายราย โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้ต้องหาบางส่วนไปส่งยังศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่สัญชัยกลับถูกพาไปส่งที่เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา ในเวลาประมาณ 12.00 น. โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจกระบวนการว่าต้องเป็นอย่างไร ซึ่งเขาทราบเพียงคร่าวๆ ว่าพนักงานสอบสวนได้ขอฝากขังเขาต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยได้มีทนายความเข้ามาให้ความช่วยเหลือเขา และกำลังทำเรื่องขอปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาล จึงสับสนว่าเหตุใดเขาถึงถูกพาตัวมาส่งที่เรือนจำเช่นนี้
เมื่อเขาถูกนำตัวส่งเข้าเรือนจำกลางฉะเชิงเทรา สัญชัยระบุว่าตนถูกตรวจร่างกาย, จัดทำประวัติผู้ต้องขัง และอาบน้ำเพื่อเตรียมส่งตัวเข้าห้องขังของเรือนจำแล้ว จากนั้นก็ถูกควบคุมตัวรอที่บริเวณพื้นที่แรกรับของเรือนจำเป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จึงได้ทราบข่าวว่าตนเองได้รับการประกันตัวจากศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา และได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในเวลาประมาณ 16.00 น. โดยมีครอบครัวมารอรับเขาออกจากเรือนจำ
สัญชัยมาทราบภายหลังว่าเขาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวนทั้งสองคดีจากศาล ด้วยเงินประกันจากกองทุนราษฎรประสงค์ เป็นหลักทรัพย์คดีละ 20,000 บาท รวมสองคดีวางหลักทรัพย์ 40,000 บาท โดยที่เขาไม่รู้มาก่อนว่ามีกองทุนที่ให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาทางการเมืองเช่นนี้ด้วย อีกทั้งยังทราบจากทนายความอีกว่าเขาต้องเดินทางไปรายงานตัวที่ศาลในวันที่ 13 ธ.ค. 64 เวลา 9.00 น.
สัญชัยให้ความเห็นต่อกรณีของเขาว่า จากการถูกจับกุมตามหมายจับ, ความไม่เข้าใจและไม่รู้ถึงกระบวนการทางกฎหมายที่เกิดขึ้น คือขั้นตอนไหน อย่างไร เจ้าหน้าที่ทำอะไรได้บ้าง ประกอบกับตลอดกระบวนการที่เกิดขึ้น สัญชัยไม่เคยได้พบหรือมีเวลาให้คำปรึกษาทางกฎหมายจากทนายความที่ต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จึงทำให้เขาสับสนกับขั้นตอนต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างมาก ทั้งยังไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเข้าเรือนจำอย่างที่ต้องพบเจอมาก่อน แต่ก็พร้อมจะต่อสู้คดีต่อไป
.