หลังจากช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 ได้มีการจัดกิจกรรม “CarMob” (คาร์ม็อบ) เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเรียกร้องทางการเมือง ขึ้นในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยกิจกรรมมีการขับรถไปตามถนน เปิดไฟ บีบแตร ชูสามนิ้วเพื่อแสดงสัญลักษณ์ทางการเมือง นำไปสู่การดำเนินคดีในจังหวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ในจังหวัดเชียงราย มีการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบขึ้นหลายครั้ง โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน (24 พ.ย.) รวม 5 คดี ได้แก่
1. คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบราษฎรเชียงราย ร่วมส่งใจไล่ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 มีผู้ถูกกล่าวหา 1 ราย
2. คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบราษฎรเชียงราย #กูสั่งให้มึงลาออก เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 มีผู้ถูกกล่าวหา 4 ราย
3. คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบ “เชียงรายจะไม่ทน” เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 มีผู้ถูกกล่าวหา 1 ราย
4. คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบเชียงราย ครั้งที่ 3 #แห่แวดเวียงไล่อีตู่ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2564 มีผู้ถูกกล่าวหา 2 ราย
5. คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบ “เมื่อสภาไม่ตอบสนองเสียงประชาชน” #ราษฎรเชียงรายจะไม่ทนอีกต่อไป เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564 มีผู้ถูกกล่าวหา 1 ราย
ทั้ง 5 คดี พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงรายได้แจ้งข้อกล่าวหาหลักตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยมีข้อหาอื่นๆ ประกอบกันไปในแต่ละคดี ผู้ต้องหาทุกรายให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและได้ให้การเป็นหนังสือต่อพนักงานสอบสวนแล้ว
เมื่อพิจารณาอัตราโทษตามข้อหาต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนแจ้งนั้น มีข้อหาหนักที่สุด คือ ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อัตราโทษนี้ จึงเป็นคดีอาญาที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาของศาลแขวงเชียงราย พนักงานสอบสวนจึงนัดผู้ต้องหาเพื่อส่งสำนวนต่อพนักงานอัยการแขวงเชียงราย ในแต่ละคดีในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีต่อพนักงานอัยการแขวงเชียงรายแล้ว ได้มีคำสั่งตีสำนวนกลับมาให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในทั้ง 5 คดี โดยพนักงานอัยการแขวงเชียงราย พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดในเรื่อง มีการชุมนุม การทำกิจกรรม อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ซึ่งได้ฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงรายที่ 6/2564 เรื่อง ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อเชียงรายที่ 2/2564 และกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ลงวันที่ 1 ข้อ 3 ซึ่งกำหนดห้ามมีการชุมนุม การทำกิจกรรมหรือการมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ อีกฐานความผิดหนึ่งด้วย
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ พนักงานสอบสวนจึงทยอยนัดผู้ต้องหาทั้ง 5 คดี เข้ามาพบที่ สภ.เมืองเชียงราย เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมดังกล่าว ก่อนผู้ต้องหาจะปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
เมื่อพิจารณาอัตราโทษที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมทั้งหมด มีอัตราโทษปรับถึง 100,000 บาท ซึ่งเกินกว่าอัตราโทษในเขตอำนาจของศาลแขวง ทำให้คดีทั้ง 5 จะถูกส่งสำนวนต่ออัยการจังหวัดเชียงราย เพื่อดำเนินการพิจารณามีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดเชียงรายต่อไป
ในวันนี้ (24 พฤศจิกายน 2564) สราวุทธิ์ กุลมธุรพจน์ และภูวศิษฏ์ ประยูรส่วน สองแกนนำกลุ่ม Chiangrai No เผด็จการ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ขจรศักดิ์ พงษ์ทิตย์ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ในคดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบเชียงราย ครั้งที่ 3 #แห่แวดเวียงไล่อีตู่ และเฉพาะสราวุทธิ์ เข้าพบ ร.ต.อ.อิทธิพล ฉลาดธัญกิจ ในคดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบเชียงราย ครั้งที่ 3 #แห่แวดเวียงไล่อีตู่ นับว่าเป็นสองคดีสุดท้าย ที่พนักงานสอบสวนเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม
ในแต่ละคดี พนักงานสอบสวนได้ทยอยนัดหมายผู้ต้องหาไปส่งสำนวนคดีให้กับอัยการจังหวัดเชียงรายใหม่ สร้างภาระให้กับผู้ถูกกล่าวหาที่ต้องเดินทางไปสถานีตำรวจและอัยการหลายครั้งอีกด้วย