15 มิ.ย. 64 – ที่ศาลอาญา “จัสติน” ชูเกียรติ แสงวงค์ เข้ารายงานตัวต่อศาลตามนัดหมาย ในคดีที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จากกรณีแปะกระดาษที่มีข้อความ ‘ที่ทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูล!’ บนรูปกษัตริย์รัชกาลที่ 10 บริเวณหน้าศาลฎีกา ในระหว่างการชุมนุม #ม็อบ20มีนา โดยเป็นการเข้ารายงานตัวครั้งที่ 2 หลังได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 64 ก่อนได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 64 ศาลรับฟ้องเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1366 / 2564
ทั้งนี้ ในท้ายคำฟ้องอัยการได้คัดค้านหากจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณา อ้างเหตุผลว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม ศาลได้อนุญาตให้ใช้สัญญาประกันต่อเนื่องจากการประกันตัวในชั้นสอบสวน ทำให้ชูเกียรติไม่ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวอีกครั้งในวันนี้ ก่อนศาลกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 12 ก.ค. 64 เวลา 9.00 น.
คดีนี้ ชูเกียรติถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม ในวันที่ 22 มี.ค. 64 ช่วงยามวิกาล ก่อนนำตัวไปแจ้งข้อกล่าวหารวม 7 ข้อหา ที่ สน.ห้วยขวาง แม้ว่าท้องที่เกิดเหตุจะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของ สน.ดังกล่าวก็ตาม ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ขอศาลอาญาฝากขังผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ และคัดค้านการให้ประกันตัว โดยอ้างว่าชูเกียรติเคยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไปอาจไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันอีก ศาลจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ชูเกียรติถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ระหว่างการสอบสวนในคดีนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. จนถึงวันที่ 1 มิ.ย. 64 เป็นเวลาทั้งสิ้น 71 วัน หลังจากมีการยื่นขอประกันตัวชั่วคราวทั้งสิ้น 6 ครั้ง
ในระหว่างที่ถูกขังอยู่ที่เรือนจำ พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม กับชูเกียรติในฐานความผิด “ยุยงปลุกปั่น” ในขณะนั้นเอง ชูเกียรติเป็นหนึ่งในผู้ต้องขังคดีการเมืองที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ได้รับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์จนหายแล้ว
เปิดคำฟ้อง 7 ข้อหา “หมิ่นกษัตริย์-ยุยงปลุกปั่น-ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่” เหตุชุมนุมวันที่ 20 มี.ค. 64
พนักงานอัยการบรรยายฟ้องรวม 22 หน้า ระบุว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำความผิด 2 กรรม ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 20 – 21 มี.ค. 64 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง มีผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน เดินทางมาร่วมชุมนุมที่บริเวณถนนราชดำเนินใน เพื่อขับไล่รัฐบาลตามที่ “กลุ่มรีเดม” ได้นัดหมายเอาไว้ อันเป็นการทำกิจกรรมหรือการมั่วสุมกัน ณ สถานที่ใด ๆ ที่แออัด ซึ่งมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่าย และเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค โดยจำเลยและพวกไม่ได้จำกัดทางเข้า – ออก และไม่ได้จัดให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนสวมหน้ากากอนามัย หรือเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร ทั้งไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 อาทิ ไม่มีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์, ตรวจวัดอุณหภูมิ หรือการคัดกรองผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่มีอาการไข้ ไอ จาม
จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยระหว่างการชุมนุมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตู้คอนเทนเนอร์และลวดหนามมาตั้งตลอดแนว พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปในเขตสนามหลวงและเขตพระราชฐาน จำเลยและพวกได้ร่วมกันด่าทอ ตำหนิ โห่ไล่ รื้อรั้วลวดหนามตาข่ายบนตู้คอนเทนเนอร์ ใช้แก๊สตัดเหล็กรื้อโครงออก เพื่อทำกิจกรรมร่อนจรวดกระดาษ ฉีดสเปรย์ใส่ตู้คอนเทนเนอร์ และใช้เชือกดึงตู้คอนเทนเนอร์ลงมาเพื่อเปิดทางให้ผู้ชุมนุมเข้าไปในเขตหวงห้าม การใช้หนังยางด้ามจับยิง หรือขว้างปา ลูกแก้วทรงกลม พลุควัน ฝาโลหะ อุปกรณ์โลหะ พลาสติกทรงกลม ประทัดยักษ์ก้อนหิน ขวดแก้ว และของแข็งต่าง ๆ ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน อันเป็นการกระทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
อัยการบรรยายพฤติการณ์คดีต่อว่า หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้สั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม แต่จำเลยและพวกไม่เลิกกระทำการดังกล่าว และได้ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยเมื่อเคลื่อนขบวนไปถึงแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ใช้หนังยางด้ามจับยิงหรือขว้างของแข็งต่าง ๆ ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นเหตุให้ พ.ต.ต. สมบัติ ดำกำเนิด, ร.ต.อ. เฉลิมพงษ์ ตระกูลชาวท่าโขลง, ส.ต.อ. อานนท์ แสงกุล เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้รับบาดเจ็บ
2. ขณะเกิดเหตุประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยรัชกาลที่ 10 เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 2 บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดไม่ได้”
ต่อมาในวันที่ 20 มี.ค. 64 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้ใช้เท้าเหยียบบนฐานที่วางติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 และนำกระดาษที่มีคำว่า “ที่ทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูล” ไปติดบริเวณพระศอของพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าว เป็นเหตุให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจได้ว่า พระองค์เป็นถังขยะสำหรับทิ้งสิ่งปฏิกูล ของเสีย ของเน่าเหม็น อันเป็นของสกปรก เป็นที่น่ารังเกียจ หรือเป็นตัวแทนของความไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง
โดยจำเลยมีเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อกษัตริย์ และเจตนายุยงปลุกปั่นให้ผู้ร่วมชุมนุมล้มล้างหรือต่อต้านสถาบันกษัตริย์ อันเป็นการก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน จนประชาชนที่มาร่วมชุมนุมได้ทิ้งขยะ และฉีดสีสเปรย์ที่บริเวณหน้าพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ทั้งยังมีการเผาทำลายฐานที่วางพระบรมฉายาลักษณ์ อันเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ และต่อกษัตริย์
อัยการระบุว่า การกระทำดังกล่าวของจำเลยถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายดังนี้
- “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
- “กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชน อันมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
- “ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215
- “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกมั่วสุม ตามมาตรา 215 แล้วไม่เลิก” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216
- “ร่วมกันต่อสู้ ขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่สามคนขึ้นไป” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 และ 140
- “ร่วมกันทำร้ายเจ้าหน้าที่ จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และ 296
- ร่วมกันชุมนุมสาธารณะ ฝ่าฝืนข้อกำหนดและประกาศที่ออกตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ในท้ายคำฟ้อง อัยการได้ขอให้ศาลนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในอีก 5 คดี ได้แก่ คดี มาตรา 116 จากการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ของศาลอาญา, คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการชุมนุม #ม็อบ29ตุลา ที่ทําการสํานักข่าวเนชั่น และ #ม็อบ1พฤศจิกา บริเวณแยกอุดมสุข ของศาลอาญาพระโขนง, คดีมาตรา 112 จากการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎร์ประสงค์ ของศาลอาญากรุงเทพใต้ และคดีมาตรา 112 จากการปราศรัย #ม็อบ6ธันวา วงเวียนใหญ่ ของศาลอาญาธนบุรี
ดูข้อมูลคดีนี้>> ชูเกียรติ คดี 112 ติดกระดาษบนรูป ร.10 ชุมนุม 20 มีนา
นับตั้งแต่นับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 63 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่า มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาตามมาตรา 112 แล้วทั้งสิ้นอย่างน้อย 100 ราย ใน 97 คดี โดยคดีแปะกระดาษที่รูปถ่ายกษัตริย์รัชกาลที่ 10 เป็นนับเป็นคดีที่ 4 ที่ชูเกียรติถูกกล่าวหาว่ากระทำการเข้าข่าย “หมิ่นประมาทกษัตริย์” และเป็นคดีที่ 3 ที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาล หลังจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 64 อัยการได้ยื่นฟ้องในคดีการชุมนุม #ม็อบ6ธันวา บริเวณวงเวียนใหญ่ และเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 64 อัยการยื่นฟ้องในคดีการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎร์ประสงค์ หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
>> สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ปี 2563-64