ไผ่-ครูใหญ่ โดน ‘112’ หลังปราศรัยหวังให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในการชุมนุม #ราษฎรออนทัวร์ หน้า สภ.ภูเขียว

11 มิถุนายน 2564 “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ เดินทางไป สภ.ภูเขียว เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหา หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาอื่นๆ ตามหมายเรียกผู้ต้องหา จากการชุมนุม #ราษฎรออนทัวร์ ของกลุ่ม “ราษฎร” บริเวณโรงเรียนภูเขียวและหน้า สภ.ภูเขียว เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งสองให้การปฏิเสธและจะให้การเป็นหนังสือภายใน 30 วัน 

พนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์ที่กล่าวหาจตุภัทร์และอรรถพลโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์  2564 เวลาประมาณ 08.00 น. จตุภัทร์, อรรถพล, ภาณุพงศ์ จาดนอก และกลุ่มคณะราษฎร กับพวกรวมประมาณ 20-30 คน ได้มารวมกลุ่มชุมนุม ปราศรัย อยู่ที่บริเวณข้างรั้วโรงเรียนภูเขียว โดยไม่ได้มีมาตรการป้องกันโควิด และไม่ได้แจ้งจัดกิจกรรม อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ 

ขณะพูดปราศรัยบริเวณหน้าโรงเรียนภูเขียว ผู้ต้องหากับพวกได้แจ้งให้ผู้ร่วมชุมนุมทราบถึงจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจตุภัทร์ ปราศรัยด้วยว่า ปัญหาของสังคมไทยที่ยาวนานก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ กษัตริย์ไทยรวยที่สุด แต่ประชาชนจนที่สุด ในยามวิกฤตกษัตริย์ไม่เคยมาเยียวยาหรือดูแลประชาชน ซึ่งนักภาษาศาสตร์ให้ความเห็นว่า มีความหมายที่ผู้ฟังได้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกไม่ดี เกิดความเคลือบแคลงสงสัย และรู้สึกไม่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และก่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนได้ 

ภาพจากเฟซบุ๊ก Pai Jatupat

จากนั้นเวลาประมาณ 10.00 น. กลุ่มของผู้ต้องหาเคลื่อนขบวนเดินทางเข้ามาชุมนุมกันที่บริเวณหน้า สภ.ภูเขียว มีการนําป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” และข้อความว่า “SAVE เมียนมาร์” มาติดที่บริเวณป้ายหน้าสถานีตํารวจ ทั้งยังติดป้ายข้อความว่า “เจ้าของประเทศที่แท้จริงคือ ปชช.” “หยุดคุกคามประชาชน” อยู่บริเวณรั้วด้านหน้าทางเข้า สภ.ภูเขียว

ต่อมาเวลา 16.45 น. ไผ่ จตุภัทร์ขึ้นปราศรัยอีกครั้ง มีเนื้อหาโดยสรุปว่า หลังจากประชามติรัฐธรรมนูญ 60 ในเดือนสิงหาคม 2559 ผ่านพ้นไปแล้ว รัชกาลที่ 10 ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งที่ไม่ผ่านประชามติ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ คำพูดดังกล่าวสื่อให้เห็นว่า พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจแก้กฎหมายโดยอำเภอใจ ซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนได้ ทั้งยังทำให้ผู้ที่ได้รับฟังเกิดความรู้สึกไม่ดี เกิดความเคลือบแคลง และไม่เทิดทูนสถาบันกษัตริย์

ส่วนอรรถพลได้กล่าวปราศรัยใจความว่า ต้องจำกัดงบประมาณของกษัตริย์ ต้องไม่เอานโยบายรัฐบาลไปผูดขาดสัมปทานโรงงานปูนแถวสระบุรี ระเบิดภูเขา หายไปเป็นลูก ซึ่งสื่อความหมายให้คนที่ได้ฟังเข้าใจว่าสถาบันกษัตริย์หรือพระมหากษัตริย์เป็นผู้บงการรัฐบาล เป็นการใส่ร้ายป้ายสีสถาบันกษัตริย์ โดยในการจัดกิจกรรมและการปราศรัยได้ทำการไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กในเพจกลุ่มของผู้ต้องหาตลอดการชุมนุม ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้

จากนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาจตุภัทร์และอรรถพลรวม 5 ข้อหา ดังนี้

  1. ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
  2. ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
  3. ร่วมกันชุมนุมในสถานที่แออัดในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโรค ภายในเขตพื้นที่ควบคุมพื้นที่เฝ้าระวังสูง หรือพื้นที่เฝ้าระวังแพร่โรค ฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง (ฉบับที่ 2)
  4. ติดตั้ง ตาก วาง หรือแขวนสิ่งใดๆ ที่อาคารในลักษณะที่สกปรกรุงรังหรือไม่เป็นระเบียบ และมีสภาพที่ประชาชนอาจเห็นได้จากที่สาธารณะ ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 40 
  5. ร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 

ไผ่ จตุภัทร์ และครูใหญ่ อรรถพล ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จะให้การในรายละเอียดเป็นหนังสือภายใน 30 วัน หลังพิมพ์ลายนิ้วมือ พนักงานสอบสวนไม่ได้ควบคุมตัวทั้งสองคนไว้แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก 

นอกจากไผ่และครูใหญ่แล้ว คณะกรรมการสอบสวนคดีนี้ได้ออกหมายเรียก “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก มารับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และ 116 ด้วยอีกราย แต่เนื่องจากไมค์ยังไม่ได้รับหมายเรียก ประกอบกับอยู่ในระหว่างการกักตัวตามคำแนะนำของแพทย์ หลังหายจากการติดเชื้อโควิดขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงยังไม่ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ ซึ่งหลังจากครบกำหนดกักตัวแล้วจะได้เข้าพบพนักงานสอบสวนต่อไป

สำหรับการชุมนุมหน้า สภ.ภูเขียว เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กลุ่ม “ราษฎร” จัดการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจ สภ.ภูเขียว ขอโทษ กรณีไปคุกคามนักเรียนที่บ้าน จากการลงชื่อสมัครเข้าร่วมค่าย “ราษฎรออนทัวร์” ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564  หลังการชุมนุม นอกจากผู้ชุมนุมจะไม่ได้รับการตอบสนองข้อเรียกร้องจากตำรวจ สภ.ภูเขียว แล้ว ยังถูกดำเนินคดีข้อหาชุมนุมรวม 26 ราย โดยเป็นเยาวชนอายุ 15 ปี 1 ราย และ 18 ปี อีก 1 ราย ทั้งหมดถูกดำเนินคดีข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มี 3 ราย ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาตามมาตรา 112, 116 และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ ด้วย คือ ไผ่ จตุภัทร์, ครูใหญ่ อรรถพล และไมค์ ภาณุพงศ์

คดีนี้เป็นคดีตามมาตรา 112 คดีที่ 2 ของไผ่และครูใหญ่ หลังการกลับมาใช้มาตรา 112 กับการแสดงออกทางการเมืองอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2563 โดยคดีแรกของไผ่คือ คดีจากการปราศรัยในชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ส่วนครูใหญ่คือคดีจากการปราศรัยในการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมัน เมื่อ 26 ต.ค. 63 และจากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นับจากเดือนพฤศจิกายน 2563 มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 รวม 100 ราย ใน 96 คดี แล้ว

 อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนัก!! ตำรวจดำเนินคดีผู้ชุมนุมแทบทุกราย ไม่เว้นนักเรียน-เยาวชน 15 ปี หลังชุมนุมหน้า สภ.ภูเขียว เรียกร้องตำรวจขอโทษ 

แจ้งข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ‘แอมมี่’ ในเรือนจำ คดีชุมนุมราษฎรออนทัวร์ หน้า สภ.ภูเขียว เรียกร้องตำรวจขอโทษ

“ราษฎร” ยื่นขอความเป็นธรรม คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ชุมนุม #ราษฎรออนทัวร์ ชี้หลังชุมนุมไม่มีผู้ติดโควิดในภูเขียว

X