เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “แม็กกี้” ผู้ต้องขังผู้มีความหลากหลายทางเพศวัย 28 ปี ที่เรือนจำกลางคลองเปรม เธอถูกคุมขังด้วยคดีมาตรา 112 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566
การเยี่ยมแม็กกี้ครั้งนี้ พบว่าเธอมีสภาพร่างกายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แม็กกี้เล่าว่าเธอควบคุมและงดปริมาณอาหาร ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้น เสียงของแม็กกี้ฟังดูเปลี่ยนไปออกแนวสาวมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการทานฮอร์โมน
แม็กกี้เล่าถึงความหวังว่าจะได้พบหมอหลังสงกรานต์ เพราะปัจจุบันยาฮอร์โมนเหลือน้อย และได้พบจิตแพทย์ซึ่งประเมินว่าอารมณ์สวิงที่เกิดขึ้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อาจมีความเสี่ยงในอนาคต
เธอยังบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในเรือนจำหลังจากมีการเสียชีวิตของตำรวจในแดนที่อยู่ มีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งเรื่องเชือกรูดหัวกางเกง การยึดปลอกหมอนและผ้าปูที่นอน นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าอาจมีการบังคับตัดผมสั้นรวมถึงผู้ต้องขังข้ามเพศ ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับแม็กกี้และเพื่อน ๆ
ในภาพรวมของ ‘ร่างกายที่ผอมลง เสียงที่เปลี่ยนไป และรอยยิ้มที่ยังเปล่งประกาย’ แม็กกี้บอกว่าการได้รับจดหมายยังให้กำลังใจมากมาย ซึ่งทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น และแม้จะมีความหวังน้อย แต่ก็ยินดีที่ยังมีคนนึกถึงเธออยู่
___________________________________
ด้านในห้องเยี่ยมที่ถูกแบ่งด้วยกระจกใส แม็กกี้นั่งรออยู่แล้ว สนทนากับเพื่อนผู้ต้องขังอีกคนอย่างมีชีวิตชีวา ใบหน้าของเธอเปล่งประกายสดใสทันทีที่พบกัน “หายไปไหนมา นานมากเลย” คำทักทายแรกของแม็กกี้มาพร้อมรอยยิ้ม เมื่อบอกว่าติดงาน แม็กกี้แค่พยักหน้ารับ แต่สิ่งที่สะดุดตาคือร่างกายที่ผอมลงอย่างเห็นได้ชัดจากการเยี่ยมเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
“แข็งแรงดีค่ะแม่” แม็กกี้ตอบ พร้อมเหลียวมองตัวเองด้วยท่าทางขบขัน เมื่อถูกทักเรื่องรูปร่างที่เปลี่ยนไป “ช่วงนี้หนูควบคุมการกินข้าว แต่กินกับเท่าเดิม” แม็กกี้เริ่มเล่าอย่างตื่นเต้น “คือมีเพื่อนผู้ต้องขัง หนูเห็นเขาหุ่นดี ก็เลยไปขอสูตร”
ในพื้นที่แคบ ๆ ที่เสรีภาพถูกจำกัด การได้ควบคุมร่างกายตัวเองกลายเป็นอิสรภาพเพียงไม่กี่อย่างที่แม็กกี้ยังมี มื้อเช้าเธอเลือกกินโยเกิร์ต นมถั่วเหลืองแทนนมวัวเพราะไขมันน้อยกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่างภายนอก แต่เป็นความพยายามดูแลตัวเองในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย “แต่ก่อนรู้สึกว่าจะทำอะไรมันค่อนข้างอืดอาด แต่ตอนนี้เวลาลุกทำอะไรรู้สึกกระฉับกระเฉงกว่าเดิมมาก รู้สึกว่าตัวเบามากขึ้น”
เธอเล่าถึงความยากในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนการกิน ความหิวที่ค่อย ๆ จางหายไปเมื่อร่างกายปรับตัว ในเรือนจำที่ถูกพรากชีวิตไปแทบทุกด้าน แม็กกี้กลับพบว่าการฝึกวินัยในการกินกลับง่ายกว่าเมื่ออยู่ข้างนอก เพราะไม่มีสิ่งล่อหลอก ที่จะทำให้ตบะแตก
“เสียงแม็กกี้ฟังดูอู้อี้นะ ป่วยหรือเปล่า?” ทนายถามด้วยความห่วงใย “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ร่างกายแข็งแรงดี” แม็กกี้ตอบ เมื่อมีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะฮอร์โมนที่ทำให้เสียงของเธอเปลี่ยนและออกสาวมากขึ้น แม็กกี้แสดงความดีใจ สะท้อนว่าแม้อยู่ในเรือนจำ การได้รับการยอมรับในอัตลักษณ์ทางเพศมีความหมายมากเพียงใด
“รู้สึกดีที่มีคนมองว่าเป็นผู้หญิงมากขึ้น” แม็กกี้เล่าถึงโอกาสว่าหลังสงกรานต์หวังว่าจะได้ไปพบหมออีกครั้ง “ตอนนี้ยาฮอร์โมนเหลือไม่มากแล้ว แต่คิดว่าน่าจะกินไปจนถึงวันที่ออกหาหมออยู่”
ก่อนเธอจะเล่าว่าได้พบจิตแพทย์หลังจากมีอาการอารมณ์แปรปรวน หมอประเมินว่าอยู่ในขั้นปกติ แต่มีความเสี่ยงในอนาคต อาการอารมณ์สวิงอาจเกิดจากความเครียดและผลข้างเคียงของฮอร์โมน เพราะการกินฮอร์โมนหญิงจะไปกดฮอร์โมนชาย บางครั้งทำให้หงุดหงิดเป็นช่วง ๆ
“หมอแนะนำว่าถ้ามีอารมณ์ซึมเศร้าหรืออารมณ์สวิง ให้พยายามคุยกับเพื่อน พยายามรู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ผ่อนคลาย” แม็กกี้เล่า “แต่อารมณ์ของหนูบางทีอยากจะกรี๊ดแบบนี้ก็ยังมีอยู่ ช่วงหลังมาก็พยายามควบคุมตัวเองมากขึ้น”
เสียงของแม็กกี้เริ่มเข้มขึ้นเมื่อเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในเรือนจำหลังจากที่นายตำรวจรายหนึ่งเสียชีวิตเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยระบุสาเหตุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ที่นี่จึงมีการเข้มงวดเรื่องเชือกรูดหัวกางเกง แม็กกี้แก้ปัญหาด้วยการเย็บติดไปเลย แม้ผ้าเช็ดหน้าที่เคยถูกห้ามก็กลับมาใช้ได้ แต่ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนกลับถูกยึดไป
“ฟูกนอนที่ได้ใช้เป็นแบบเป็นยางพารา เป็นโฟมเม็ดเหลือง ๆ ไม่รู้ว่าใครต่อใครใช้มาบ้าง แล้วคือเวลานอนต้องนอนแบบนั้น มันร้อน และรู้สึกสกปรก มีเพื่อนบางคนที่นอนแล้วเป็นผื่น ก็มี”
ส่วนสถานการณ์เรือนจำ มีข่าวลือทำนองว่าจะมีการบังคับตัดผมสั้นหมด รวมทั้งกลุ่มคนข้ามเพศด้วย แม้ยังไม่มีคำสั่งเป็นทางการ แต่ความกังวลนี้ก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่ว “กระเทยข้างในก็เครียด” แม็กกี้เล่าด้วยน้ำเสียงหนักใจ “เพราะทรงผมเหมือนเป็นสิ่งที่บอกว่าเราเป็นผู้หญิง”
แม็กกี้เล่าถึงกฎเกณฑ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในเรือนจำ ตู้ล็อกเกอร์ขนาดเล็กที่ใช้เก็บของใช้ส่วนตัวถูกจำกัดให้มีได้เพียงชิ้นเดียวต่อประเภท หากมีมากกว่านั้นจะถูกยึดทันที “เขาอนุญาตให้เราซื้อ หรืออนุญาตให้ญาติซื้อ อย่างบางคนญาติอยู่ต่างจังหวัดนาน ๆ ทีจะเข้ากรุงเทพ เวลาเขามา เขาก็จะพยายามซื้อของไว้ให้ แล้วร้านของเรือนจำ ก็เป็นคนอนุญาตให้ซื้อ แต่ไม่ให้เก็บ มันย้อนแย้งมากเลย” แม็กกี้ระบายไว้อีกตอน
ด้านอุปกรณ์ที่เอาไว้ปูรองนั่ง เครื่องปรุงรส บะหมี่สำเร็จรูป ที่เคยเก็บรวบรวมไว้ในกระสอบและฝากไว้ตามร้านค้า ถูกยึดไปจนหมด บางคน “หมดเนื้อหมดตัว ต้องเริ่มต้นใหม่” เธอเล่า
“ถ้าเรือนจำอนุญาตให้เราซื้อของไว้จำนวนมาก หรืออนุญาตให้ญาติสั่งของให้เยอะ ก็ควรที่จะมีล็อกเกอร์สำรองหรือพื้นที่ให้เก็บของ” แม็กกี้แสดงความคิดเห็น “เสื้อผ้าหนูเองก็หายไปหลายชุด”
จากนั้นเธอพูดถึงถึงกฎระเบียบการซักผ้าที่เข้มงวดและไร้เหตุผล แต่ละแดนมีจุดตากผ้าเป็นลวด แต่มีกฎออกมาว่าผ้าเช็ดตัวที่ใช้แล้วต้องพับเก็บ เสื้อผ้าซักได้เฉพาะตอนเช้า ตอนเย็นซักไม่ได้
“บางทีมันซักเยอะมันก็แห้งไม่ทัน แต่แห้งไม่ทัน ก็ตากต่อไม่ได้ ก็ต้องพับเก็บ” แม็กกี้ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย “กฎมันแปลก ๆ แล้วมันทำให้สุขภาวะในเรือนจำ แย่เข้าไปอีก อาจจะมีเรื่องเชื้อราอะไรแบบนี้”
ต่อมามีการเจรจากับผู้บัญชาการแดน แต่ได้ข้อตกลงเพียงให้ตากผ้าเช็ดตัวได้เท่านั้น “หนูก็อยากฝากให้เป็นกระบอกเสียงให้เราคนข้างในหน่อย บางกฎมันก็อะไรก็ไม่รู้ค่ะ” แม็กกี้ขอร้อง
ก่อนจากกัน แม็กกี้บอกด้วยรอยยิ้มว่าได้รับจดหมายให้กำลังใจมากมาย เป็นแผ่นคล้ายโปสการ์ดจากผู้คนที่ห่วงใยเธอ “ขอบคุณที่ยังนึกถึงหนู ขอบคุณมาก ๆ” แม็กกี้กล่าวทิ้งท้าย น้ำตาเอ่อคลอ “มันก็ทำให้รู้สึกว่า ถึงจะไม่ค่อยมีความหวัง แต่ก็ยังมีคนที่นึกถึงเราอยู่”
จนถึงปัจจุบัน (17 เม.ย. 2568) แม็กกี้ถูกคุมขังมาแล้วรวม 544 วัน หรือราว 1 ปี 5 เดือน 29 วัน โดยเธอถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 25 ปี จากเหตุที่ถูกกล่าวหาว่าทวีต 18 ข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ คดีของแม็กกี้สิ้นสุดลงแล้ว ทำให้ยังคงถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม
.
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
“แม็กกี้” ชีวิตที่ร้อยเรียงด้วยการแต่งหน้า มาม่ารสเห็ดทรัฟเฟิล และคลื่นอารมณ์ในกำแพง ‘คลองเปรม’