แผ่นหลังชายร่างผอมในเสื้อยืดตัวโคร่งปรากฏในครรลองสายตาทันทีที่เปิดเข้าไปในห้องพิจารณาคดีที่ 806 ข้างกายเขามีกระเป๋าสัมภาระคู่ใจใบใหญ่ และกำลังพูดคุยอยู่กับทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทำให้เราอนุมานได้ว่าเขาคงเป็น “สถาพร” (สงวนนามสกุล) ชาวจังหวัดอุดรธานีวัย 33 ปี ผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จากการแสดงออกระหว่างขบวนเสด็จของรัชกาลที่ 10 และพระราชินีสุทิดา ผ่านบริเวณหน้าแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2565
“ใจหายใจคว่ำ ก่อนหน้านี้ติดต่อสถาพรไม่ได้ กลัวลืมนัดศาล” นี่คงเป็นข้อความแทนความในใจของทนายความ เมื่อก่อนนัดสืบพยานในวันที่ 26 พ.ย. 2567 ทนายความไม่สามารถติดต่อสถาพรทางโทรศัพท์ได้เลย เขาจึงไขข้อข้องใจให้ว่า ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ของเขาเสียและไม่ได้ซ่อมเสียที แต่เขายังจำนัดของศาลทุกนัดได้เสมอ
เมื่อวานคงเป็นวันที่ยาวนานวันหนึ่งสำหรับสถาพร เพราะก่อนหน้าวันนัดสืบพยาน 1 วัน เขาต้องเก็บกระเป๋าขึ้นรถโดยสารประจำทางจากที่พักไปสถานีรถไฟอุดรฯ ซึ่งอยู่ในตัวเมือง ก่อนขึ้นรถไฟรอบดึกเพื่อให้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ในรุ่งสาง อาศัยสถานีรถไฟเป็นที่พักสายตารอเวลา ก่อนขึ้นรถเมล์มาศาลอาญาตามเวลานัดหมาย
ยังไม่ทันได้สนทนากับสถาพรมากนัก ผู้พิพากษาก็ออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อถึงคดีของสถาพร ศาลได้อธิบายฟ้องให้ฟังโดยย่ออีกครั้ง สถาพรตัดสินใจแถลงขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจความประพฤติของจำเลย และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 ม.ค. 2568
หลังเสร็จจากศาล ทนายความพาสถาพรไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทันที เพื่อให้ตอนเย็นสถาพรมีเวลาเดินทางไปซ่อมโทรศัพท์ในตัวเมือง ก่อนตีตั๋วรถไฟกลับอุดรฯ ในคืนนี้
เราถือโอกาสระหว่างการเดินทางจากศาลอาญาไปสำนักงานคุมประพฤติที่แจ้งวัฒนะในการทำความรู้จักกับสถาพรมากขึ้น ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงบนรถยนต์จึงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้ที่ได้มาร่วมทางกัน (ชั่วคราว) ในวันนี้
.
‘สื่อพลเมือง’ ที่ลงสนามเกาะติดทุกการชุมนุม
สถาพรเล่าว่า เขาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จาก กศน. หรือการศึกษานอกโรงเรียน ในระหว่างเรียนเขาก็ทำงานรับจ้างทั่วไป เช่น ทำบายศรีในงานประเพณี ปัจจุบันก็ทำงานเก็บของขายเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูตนเอง
เดิมทีสถาพรเป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และเริ่มสนใจการเมืองในยุครัฐบาล คสช. เพราะเขาเห็นว่าการเข้ามาของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นการปล้นอำนาจไปจากรัฐบาลพลเรือนของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เส้นทางการลงสนามติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิดของสถาพรเริ่มต้นตั้งแต่ขบวนเดินทะลุฟ้า นำโดย “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา จากจังหวัดนครราชสีมาเข้ามายังกรุงเทพฯ
“ตอนนั้นผมนั่งรถไฟจากอุดรฯ ไปสระบุรี รอเดินกับหมู่บ้านทะลุฟ้าเข้ากรุงเทพฯ ช่วงม็อบปี 63 – 64 ผมก็ปักหลักอยู่กับหมู่บ้านทะลุฟ้าและแถว สน.ชนะสงคราม ต่อมา หลังม็อบซาผมก็กลับบ้านที่อุดรฯ” เมื่อกลุ่มทะลุฟ้าเดินผ่านมาทางสระบุรี สถาพรจึงติดสอยห้อยตามขบวน เดินเท้ากว่า 100 กม. เข้ากรุงเทพฯ มาตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้าบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเขาก็อาศัยอยู่กินในหมู่บ้านด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางสถานการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยตลอดช่วงระยะเวลาปี 2563 – 2565 ที่ผ่านมา นอกจากสถาพรจะมีบทบาทเป็นผู้ร่วมการชุมนุมในหลาย ๆ ม็อบไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แล้ว เขายังทำหน้าที่ไลฟ์สดการชุมนุมให้กับเพจ “กระเทยแม่ลูกอ่อน” ซึ่งเป็นสื่อพลเมืองอิสระในขณะนั้น เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ชุมนุมให้สาธารณะได้รับรู้
.
เพราะถูกกดปราบ จึงแสดงออก
ในวันเกิดเหตุคดีนี้ (2 พ.ค. 2565) สถาพรเข้าร่วมกิจกรรม “พับ หยุด ขัง” พับนกส่งให้เพื่อนในเรือนจำ ของ “กลุ่มมังกรปฏิวัติ” ซึ่งชวนกันมาพับกระดาษเพื่อมอบอิสรภาพให้คนในเรือนจำ บริเวณแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนมีขบวนเสด็จผ่านมาในบริเวณนั้น สถาพรจึงแสดงออกในระหว่างที่ขบวนเสด็จผ่านไป โดยเขายืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือเกลียดสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
“ตอนนั้นเพื่อน ๆ โดนจับ โดนขัง พอคนในม็อบพูดถึงสถาบันฯ ก็ถูกจับ ติดคุก เราเลยแสดงออก”
หลังเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไปเกือบ 1 ปี ในวันที่ 2 เม.ย. 2566 สถาพรถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 13 นาย เข้าจับกุมจากโรงแรมในตัวเมืองจังหวัดอุดรธานี ตามหมายจับของศาลอาญาในคดีข้อหาตามมาตรา 112 ก่อนถูกนำตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สภ.เมืองอุดรธานี จนช่วงเช้าวันที่ 3 เม.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม จึงได้เดินทางไปรับตัวสถาพรจาก สภ.เมืองอุดรธานี เข้ามาสอบปากคำที่ สน.ฉลองกรุง กรุงเทพฯ เนื่องจาก สน.ชนะสงคราม ไม่มีสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา
สถาพรได้รับอนุญาตให้ประกันตัวมาตลอดทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล โดยวางหลักทรัพย์ประกันเป็นจำนวนเงิน 90,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์
.
โอกาสได้ตีตั๋วรถไฟกลับอุดรฯ
หลังจากรายงานตัวและพูดคุยกับเจ้าพนักงานคุมประพฤติเสร็จสิ้น พวกเราได้แวะกินข้าวกลางวันด้วยกันที่โรงอาหารอันพลุกพล่านของศูนย์ราชการฯ สถาพรเลือกกินข้าวมันไก่เป็นมื้อแรกของวัน ตบท้ายด้วยชามะนาวอีก 1 แก้ว ก่อนบ่นให้ฟังว่าเขามีปัญหาสุขภาพฟันและปวดฟันมาสักพักแล้ว
นอกจากชีวิตด้านการทำกิจกรรมทางการเมืองแล้ว ในด้านครอบครัว สถาพรเป็นหลานที่อาศัยอยู่กับยายวัย 77 ปี และลุงกับป้าวัยกลางคน ถึงแม้เขาเล่าว่า เขาคงไม่ถึงขนาดเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่บ้าน เขาจะเป็นคนช่วยทำงานบ้าน และออกไปรับจ้างเป็นค่ากินอยู่ของตนเอง
เมื่อถูกถามถึงความกังวลเกี่ยวกับคดีและชีวิตที่อาจเปลี่ยนแปลงไปหากต้องเข้าเรือนจำ สถาพรเปิดเผยว่า เขาคงเป็นห่วงยายกับป้า โดยเฉพาะสุขภาพของยายที่เข้าสู่วัยชรา แต่เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเองมากนัก
“ผมก็เตรียมใจมาแล้ว แต่ถ้าไม่ติดคุกก็จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม จะไปวิ่งรอบกรมหลวงประจักษ์ฯ ด้วย” สถาพรกล่าวพร้อมหัวเราะ โดยอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมนั้นเรียกได้ว่าเป็นสถานที่บนบานศาลกล่าวอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวอุดรธานี ดังนั้น ในบริเวณดังกล่าวมักจะพบเห็นคนที่สมหวังในสิ่งที่ขอมาวิ่งรอบวงเวียนกลางห้าแยกอยู่เป็นประจำจนเป็นที่ชินตา
ก่อนวันนัดฟังคำพิพากษา สถาพรตีตั๋วรถไฟเที่ยวเดียวมากรุงเทพฯ ล่วงหน้า 1 วัน ทำให้เรามีโอกาสได้พบเจอพูดคุยกันอีกครั้งถึงสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในวันรุ่งขึ้นและสิ่งที่สามารถทำได้หากเขาต้องเข้าเรือนจำระหว่างที่ยังไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว
ก่อนจากกัน แม้สถาพรจะยืนยันว่าได้เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว แต่ในใจของเรายังคาดหวังให้ในวันรุ่งขึ้นเขาจะได้ซื้อตั๋วรถไฟรอบค่ำกลับอุดรฯ และได้ไปวิ่งรอบอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ฯ ในวันถัดไป
“ขอให้สถาพรได้กลับบ้าน”
.