วันที่ 15 ม.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ “สถาพร” (สงวนนามสกุล) ชาวจังหวัดอุดรธานีวัย 33 ปี ผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จากการแสดงออกระหว่างขบวนเสด็จของรัชกาลที่ 10 และพระราชินีสุทิดา ผ่านบริเวณหน้าแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2565
ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อน แม้พ้นโทษมาแล้วเกินกว่า 5 ปี แต่ความผิดในครั้งหลังมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่จะรอลงอาญาให้แก่จำเลยได้
.
ย้อนไปในวันเกิดเหตุ (2 พ.ค. 2565) สถาพรได้เข้าร่วมกิจกรรม “พับ หยุด ขัง” พับนกส่งให้เพื่อนในเรือนจำ ของ “กลุ่มมังกรปฏิวัติ” ซึ่งชวนกันมาพับกระดาษเพื่อมอบอิสรภาพให้คนในเรือนจำ บริเวณแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนมีขบวนเสด็จผ่านมาในบริเวณนั้น สถาพรจึงแสดงออกในระหว่างที่ขบวนเสด็จผ่านไป
คดีนี้มี พ.ต.ท.ศรายุทธ บุญธรรม รอง ผกก.สส.สน.ชนะสงคราม กับพวก เป็นผู้กล่าวหา ต่อมาในวันที่ 2 เม.ย. 2566 สถาพรถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 13 นาย เข้าจับกุมจากโรงแรมในตัวเมืองจังหวัดอุดรธานี ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาตามมาตรา 112 ก่อนถูกนำตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สภ.เมืองอุดรธานี จนช่วงเช้าวันที่ 3 เม.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม จึงได้เดินทางไปรับตัวสถาพรจาก สภ.เมืองอุดรธานี เข้ามาสอบปากคำที่ สน.ฉลองกรุง กรุงเทพฯ เนื่องจาก สน.ชนะสงคราม ไม่มีสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา
ในการสอบปากคำ สถาพรมีทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนติดตามไปร่วมในการสอบสวนด้วย โดยเขาได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
วันที่ 23 มิ.ย. 2566 กัมม์ธร ทองทิพย์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลอาญา บรรยายฟ้องมีใจความโดยสรุปว่า การกระทำของสถาพรเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน หมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 10 โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยมีเจตนาอาฆาตมาดร้าย ทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้
สถาพรได้รับอนุญาตให้ประกันตัวมาตลอดทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล โดยวางหลักทรัพย์ประกันเป็นจำนวนเงิน 90,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์
ต่อมา ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก (26 พ.ย. 2567) สถาพรตัดสินใจแถลงขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจึงมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจความประพฤติของจำเลย ก่อนนัดฟังคำพิพากษา
ดูฐานข้อมูลคดีนี้: คดี 112 “สถาพร” ชาวอุดรฯ เหตุชูมือแสดงออกใส่ขบวนเสด็จ พ.ค. 65
.
วันนี้ (15 ม.ค. 2568) เวลา 09.44 น. สถาพรเดินทางมาถึงห้องพิจารณาคดีที่ 806 โดยเขาขึ้นรถไฟจากอุดรธานีมาถึงกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อวาน และเข้าพักในโรงแรมใกล้ศาลอาญา ก่อนหอบหิ้วกระเป๋าสะพายและถุงบรรจุสัมภาระหลายใบขึ้นวินมอเตอร์ไซค์มาศาลในตอนเช้า
ผู้พิพากษาอ่านคำฟ้องและรายงานการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยฟังโดยย่อ ก่อนอ่านคำพิพากษา สรุปได้ดังนี้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยเคยรับโทษจำคุก 2 ปี ในความผิดฐานอื่นมาก่อนตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลจังหวัดอุดรธานี และพ้นโทษจำคุกเมื่อ 8 เม.ย. 2558 ซึ่งเป็นโทษจำคุกเกินกว่า 6 เดือน และมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ แม้จำเลยพ้นโทษมาแล้วเกินกว่า 5 ปี แต่ความผิดในครั้งหลังมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่จะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้
ผู้พิพากษาที่ลงนามในคำพิพากษา ได้แก่ ปริญญา ปิ่นเพชร และ เพียงตา บุญไพรัตน์สกุล
หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น สถาพรได้ฝากสัมภาระที่นำติดตัวมาไว้กับทนายความ ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะเข้ามาใส่กุญแจมือและควบคุมตัวลงไปที่ห้องขังใต้ถุนศาลระหว่างรอทนายความและนายประกันยื่นประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์
ต่อมาเวลา 17.15 น. ศาลอาญามีคำสั่งส่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ทำให้วันนี้สถาพรต้องเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในทันที โดยต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน ศาลอุทธรณ์จึงจะมีคำสั่งตามคำร้องดังกล่าว
การที่ศาลอาญาไม่สั่งคำร้องขอประกันสถาพร รวมทั้งจิรัชยาซึ่งฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นและจักรีซึ่งฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้ ทำให้ล่าสุดมีจำนวนผู้ต้องขังทางการเมืองรวมถึง 42 คนแล้ว
(อัปเดต 20 ม.ค. 2568) วันที่ 16 ม.ค. 2568 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ระบุเหตุผลว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ข้อหามีอัตราโทษสูง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเจ็บป่วยนั้น กรมราชทัณฑ์สามารถดูแลจัดการให้ได้ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ฯ จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ยกคำร้อง
ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วางหลักไว้ว่า ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น
(1) ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือ
(2) เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ
(3) เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่พ้นโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่าห้าปี แล้วมากระทำความผิดอีก โดยความผิดในครั้งหลังเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
และเมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกความผิด และพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ ไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกหรือปรับอย่างหนึ่งอย่างใด หรือทั้งสองอย่าง เพื่อให้โอกาสกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนดแต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้