17 ต.ค. 2567 นักศึกษาและนักกิจกรรม “ราษฎรขอนแก่น” 5 คน มีนัดเดินทางไปที่ศาลแขวงขอนแก่นเพื่อฟังคำพิพากษาคดีที่ถูกอัยการฟ้องในข้อหา “ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์” กรณีมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แสดงความไม่พอใจตำรวจด้วยการปาสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ในคาร์ม็อบขอนแก่น#3 “แห่ ไล่ ประยุทธ์” เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2564
จำเลยทั้งห้าได้แก่ ณัฏฐสกล เวชศิรพลานนท์, พายุ บุญโสภณ, นุ้ก (นามสมมติ), พงศธร (สงวนนามสกุล) และกุลธิดา กระจ่างกุล ขณะเกิดเหตุทั้งหมดยกเว้นพายุ ยังเป็นนักศึกษา ปัจจุบันมีเพียงณัฏฐสกลที่ยังคงศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ทั้งห้าคนถูกดำเนินคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2564 ร่วมกับ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ และนักกิจกรรมคนอื่น รวมทั้งหมด 10 ราย จากกิจกรรมครั้งเดียวกันนี้แล้ว แต่หลังจากนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ตัวแทนสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้มอบอํานาจให้ พ.ต.อ.เชษฐ แตงนารา เข้าร้องทุกข์ดําเนินคดีกับผู้ชุมนุม อ้างว่า กลุ่มผู้ชุมนุมในวันดังกล่าวได้ปาถุงสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 (ตร.ภ.4) ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 และพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 คิดเป็นเงินรวม 63,966.16 บาท
ต่อมา พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้ออกหมายเรียกนักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 5 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ทำให้เสียทรัพย์ ในคดีนี้เป็นอีกคดี ทั้งที่อาจจะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเป็นคดีเดียวกันได้ เป็นการสร้างภาระเกินจำเป็นให้กับนักกิจกรรมที่ต้องต่อสู้คดีรวม 2 คดี จากการเข้าร่วมคาร์ม็อบขอนแก่น#3
ทั้งนี้ ในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2567 ศาลแขวงขอนแก่นได้มีคำพิพากษายกฟ้องนักกิจกรรมทั้งสิบไปแล้ว
เกี่ยวกับคาร์ม็อบขอนแก่น#3 นั้น เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2564 เพจ “ขอนแก่นพอกันที” ได้โพสต์นัดหมายชุมนุม โดยโพสต์แคปชั่นประกอบด้วยว่า “การชุมนุมรอบนี้ราษฎรขอนแก่นพร้อมยืนยันตอบโต้รัฐที่ทำร้ายประชาชนอย่างไม่แยแสความเป็นมนุษย์” เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีการใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาล โดยเฉพาะการชุมนุมหน้า สน.ดินแดง ในวันที่ 16 ส.ค. 2564 วาฤทธิ์ สมน้อย เยาวชนอายุ 15 ปี ถูกยิงด้วยกระสุนจริงเข้าที่คอ อาการสาหัส และเสียชีวิตในภายหลัง โดยก่อนหน้าวันชุมนุมมีการขอรับบริจาคสีน้ำ และก่อนเริ่มกิจกรรมปาสีมีการประกาศว่า “เป็นการแอคชั่นเพื่อต่อต้านการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
.
ตำรวจอ้าง จำเลยทั้งห้าร่วมปาสี ทำให้ทรัพย์สิน สตช.เสียหาย ต้องเปลี่ยนใหม่ เรียกร้องจำเลยชดใช้กว่า 60,000 พร้อมดอกเบี้ย ด้านจำเลยยืนยันใช้สีน้ำแสดงออก ไม่เจตนาทำให้เสียหาย
สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2567 พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่นยื่นฟ้องณัฏฐสกล, พายุ, นุ้ก, พงศธร และกุลธิดา ต่อศาลแขวงขอนแก่น ในข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ระบุว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2564 จําเลยทั้งห้ากับพวกได้ร่วมกันขว้างปาถุงบรรจุสีน้ำ (หลากหลายสี) จํานวนหลายถุง ใส่ป้ายตํารวจภูธรภาค 4 และพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จนเปรอะเปื้อนเสียหายใช้การไม่ได้ คิดค่าเสียหายรวมเป็นเงินจํานวน 63,966.16 บาท
ต่อมา วันที่ 16 ก.พ. 2567 พ.ต.ท.พิทยา กำแหงพล รับมอบอำนาจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เข้ายื่นคำร้องต่อศาลขอเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยเป็นเงินจำนวน 63,966.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับจากวันที่จำเลยทั้งห้ากระทำความผิด (วันที่ 22 ส.ค. 2564) จนกว่าจะชำระเสร็จ
การสืบพยานในคดีนี้มีขึ้นช่วงวันที่ 23-26 และ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา อัยการนำพยานโจทก์เข้าสืบรวม 11 ปาก และพยานผู้ร้องหรือผู้เสียหายอีก 1 ปาก ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งผู้รับมอบอำนาจจาก สตช. ชุดสืบสวน และพนักงานสอบสวน โดยเบิกความสรุปได้ว่า มีภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกับผู้ชุมนุมปาสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ในวันเกิดเหตุ ซึ่งสีบนป้ายบางส่วนล้างไม่ออก ต้องจ้างบริษัททำความสะอาด ทั้งใช้น้ำล้างสีที่พระบรมฉายาลักษณ์ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ แต่รับว่าสีที่ผู้ชุมนุมใช้เป็นสีน้ำ และไม่มีข้อมูลว่ามีใครปาสีใส่พระบรมฉายาลักษณ์ รวมทั้งไม่ปรากฏภาพพระบรมฉายาลักษณ์ได้รับความเสียหาย
ด้านจำเลยมีจำเลยทั้งห้าเบิกความเป็นพยานให้ตนเอง ยืนยันว่า การปาสีเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามที่รัฐธรรมนูญรับรอง ตนร่วมปาสีเนื่องจากไม่พอใจรัฐบาลและตำรวจที่สลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ด้วยความรุนแรง โดยตั้งใจปาใส่โล่ตำรวจและป้าย โดยไม่ได้มีเจตนาทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เนื่องจากทราบว่าเป็นสีน้ำที่ล้างออกได้
รายละเอียดคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยมีดังนี้
.
ผู้กล่าวหาอ้าง จำเลยทั้งห้าปาสีใส่ป้าย ตร.ภ.4 – รูป ร.10 แม้รายงานสืบสวนระบุเพียง ผู้ชุมนุมปาสีใส่ป้าย – โล่ตำรวจ
พ.ต.อ.เชษฐ แตงนารา ผู้รับมอบอำนาจผู้เสียหาย (สตช.) เข้าแจ้งความร้องทุกข์ เบิกความว่า เหตุในคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2564 ขณะนั้นพยานรับราชการตำแหน่งผู้กำกับฝ่ายกฎหมายคดีปกครองและคดีแพ่ง กองบังคับการกฎหมายและคดี กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มีอำนาจหน้าที่เป็นนิติกรประจำกองบัญชาตำรวจภูธรภาค 4 ในด้านเกี่ยวกับกฎหมายคดีแพ่งและคดีปกครอง
โดยในคดีนี้พยานได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ให้เข้าแจ้งความร้อง ทุกข์ให้ดำเนินคดีจำเลยทั้งห้าในคดีนี้ ในข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ทั้งนี้ ผบ.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ผู้เสียหาย ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล
สืบเนื่องมาจากในวันที่ 22 ส.ค. 2564 ได้มีคาร์ม็อบเคลื่อนขบวนมาที่บริเวณหน้าตำรวจภูธรภาค 4 จากนั้นกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมได้มีการทำลายป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 และป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ด้วยการขว้างปาสีใส่จนได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 63,966.16 บาท
ภายหลังจากเหตุการณ์ตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นได้รายงานให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ทราบ จากนั้นฝ่ายอำนวยการ 2 ตำรวจภูธรภาค 4 ได้ตรวจสอบความเสียหายและรายงานผู้บังคับบัญชา ตำรวจภาค 4 จึงได้รายงาน สตช. เพื่อให้มอบอำนาจมาดำเนินการดำเนินคดี
ต่อมา เมื่อ สตช. มอบอำนาจให้พยานแล้ว พยานจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับจำเลยทั้งห้า และต่อมาในวันที่ 3 พ.ย. 2564 พยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ในฐานะผู้กล่าวหา
จากนั้น พ.ต.อ.เชษฐ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ และไม่ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง แต่ก่อนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีจำเลยทั้งห้า พยานได้อ่านรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว และได้อาศัยข้อเท็จจริงจากรายงานดังกล่าวเป็นหลักฐาน
ตามรายงานความเคลื่อนไหวฯ ระบุข้อความว่า ในช่วงเวลา 18.53 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ขว้างปาถุงบรรจุสีใส่โล่ตำรวจและป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมปาถุงบรรจุสีด้วย
ค่าเสียหายจำนวน 63,966.16 บาทนั้น เป็นการรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่พระบรมฉายาลักษณ์และป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งตรวจพบความเสียหายภายหลังจากเกิดเหตุแล้ว
พยานไม่ทราบว่า ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มีความสูงกี่เมตร และพระบรมฉายาลักษณ์ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนของป้ายสูงขึ้นไปอีกกี่เมตร
.
ตร.ภ.4 ระบุ สีบนป้ายบางส่วนล้างไม่ออก ต้องจ้างบริษัททำความสะอาด ทั้งใช้น้ำล้างสีที่พระบรมฉายาลักษณ์ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ ขณะไม่ปรากฏหลักฐานว่า พระบรมฉายาลักษณ์เสียหายอย่างไร
พ.ต.ท.สมพงษ์ เทือกเพีย ขณะเกิดเหตุเป็นรองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 4 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดซื้อจัดจ้าง เบิกความว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2564 พยานได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาว่า มีการชุมนุมคาร์ม็อบครั้งที่ 3 และมีการสาดสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 รวมทั้งพระบรมฉายาลักษณ์ ให้พยานไปตรวจสอบความเสียหาย
เวลาประมาณ 22.00 น. ภายหลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมแล้ว พยานเดินทางไปถึง พบกำลังพลของกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 กำลังใช้ปืนอัดแรงดันน้ำฉีดทำความสะอาดล้างคราบสีออกจากป้ายตำรวจภูธรภาค 4 และพื้น โดยพบว่า ไม่สามารถล้างสีขาวและสีอื่นอีกหลายสีออกได้ ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสีประเภทใด
ส่วนของป้ายที่ปืนแรงดันน้ำฉีดล้างสีออกได้เพียงบางส่วนประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ คือบริเวณตัวอักษรและตราโล่ พยานยังตรวจพบว่า พระบรมฉายาลักษณ์ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนก็ได้รับความเสียหายจากสีตั้งแต่บริเวณกลางภาพลงมาด้านล่าง
หลังจากตรวจสอบความเสียหายแล้วพยานได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมา ผู้บังคับบัญชาได้สั่งการให้จัดหาผู้รับเหมามาดำเนินการทำความสะอาดป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มีผู้สนใจเสนอราคาเข้ามา 2 ราย โดยรายที่ได้รับเลือกคือ หจก.กรชานนท์ เสนอราคา 12,000 บาท
วันที่ 26 ส.ค. 2564 หจก.กรชานนท์ ได้เข้าทำความสะอาดป้ายตำรวจภูธรภาค 4 แต่ไม่สามารถล้างสีออกได้หมด โดยทางผู้รับเหมาแจ้งว่า คราบสีบริเวณสัญลักษณ์ตราโล่ฝังลึก ไม่สามารถล้างออกได้
พยานจึงได้จัดหาผู้รับเหมามาทำความสะอาดเพิ่มเติม โดย หจก.อำนวยศิลป์การช่าง ได้รับการคัดเลือก เสนอราคาในการทำความสะอาดตราโล่ 8,500 บาท ในส่วนของพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งไม่สามารถล้างทำความสะอาดได้ เสนอราคาในการจัดทำใหม่พร้อมติดตั้งเป็นเงิน 40,066.50 บาท เมื่อรวมภาษีแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 51,966.06 บาท
หจก.อำนวยศิลป์ฯ ได้ดำเนินการตามที่ได้รับเหมาในช่วงประมาณวันที่ 28 ส.ค. 2564 จากนั้นพยานได้ทำบันทึกเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อขอเบิกจ่ายให้แก่ หจก.กรชานนท์ และ หจก.อำนวยศิลป์การช่าง รวมเป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น 63,966.16 บาท
การดำเนินการของพยานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภัณฑ์ พ.ศ. 2560
พ.ต.ท.สมพงษ์ ตอบทนายจำเลยถามค้านในเวลาต่อมาว่า พยานไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่เดินทางไปตรวจสอบความเสียหายหลังยุติการชุมนุมแล้ว พร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีก 3-4 คน
ภายหลังผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำความสะอาด แต่ไม่ได้ระบุในรายงานความเสียหาย และในวันที่ 23 ส.ค. 2564 ผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ชุดอื่นเข้าทำความสะอาดป้ายโดยใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันอีก ซึ่งยังมีสีบางส่วนล้างไม่ออก พยานไม่ได้ร่วมดำเนินการด้วย
พยานไม่มั่นใจว่า สีที่ผู้ชุมนุมใช้ในวันดังกล่าวจะเป็นสีผสมน้ำหรือไม่
ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานเป็นผู้จัดทำรายงานความเสียหาย โดยภาพถ่ายแนบท้ายรายงานดังกล่าวเป็นภาพถ่ายความเสียหายที่เกิดขึ้นกับป้ายตำรวจภูธรภาค 4 และพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งตามภาพถ่ายตัวอักษรบนป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
พื้นป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ทำมาจากหินแกรนิตสีดำ ผิวลื่น ตัวอักษรทำจากอลูมิเนียม ส่วนสัญลักษณ์ตราโล่ทำมาจากอลูมิเนียมคอมโพสิท ทั้งหมดเป็นพื้นผิวเรียบ มันวาว ยกเว้นตราโล่ที่ผิวขรุขระ ส่วนพื้นบริเวณด้านหน้าป้ายเป็นหินแกรนิต ผิวเรียบ
สัญลักษณ์ตราโล่บนป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ของเดิมทำจากอลูมิเนียมคอมโพสิท เมื่อไม่สามารถล้างคราบสีออกได้จึงได้มีการเปลี่ยนอันใหม่โดยใช้เป็นวัสดุเหมือนเดิม
ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มีความสูงประมาณ 4 เมตร ส่วนข้อความว่า “ทรงพระเจริญ” และพระบรมฉายาลักษณ์ติดตั้งในระดับที่สูงตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไปจนถึงประมาณ 8 เมตร
ตามบันทึกข้อความขออนุมัติเบิกเงินค่าจ้างเหมาติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ ไม่ปรากฏภาพถ่ายพระบรมฉายาลักษณ์ที่ได้รับความเสียหายว่าเป็นไปในลักษณะใด
ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มีขอบสูงขึ้นมาจากพื้นป้าย แต่พยานไม่ทราบว่าสูงที่เซนติเมตร และไม่ยืนยันว่า หากมีการปาสีใส่ป้าย สีน่าจะต้องกระเด็นติดที่ขอบป้ายดังกล่าว ไม่กระเด็นไปถูกพระบรมฉายาลักษณ์
พยานไม่ทราบว่า การที่พระบรมฉายาลักษณ์ได้รับความเสียหายนั้น เกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมจงใจปาสีใส่พระบรมฉายาลักษณ์โดยตรงหรือไม่
.
สารวัตรสืบชี้ มีภาพจำเลยทั้งห้าร่วมปาสีใส่ป้าย ตร.ภ.4 ทั้งมีข้อมูลร่วมชุมนุมครั้งก่อน ๆ เชื่อว่า จำเลยร่วมปาสี แต่รับว่า สีที่ผู้ชุมนุมใช้เป็นสีน้ำ – ไม่มีข้อมูลว่าใครปาสีใส่พระบรมฉายาลักษณ์
โจทก์นำตำรวจสืบสวนเข้าเบิกความ 2 ปาก ได้แก่ พ.ต.ท.สุกฤษฎิ์ พุทธิทัยธีรธร และ พ.ต.ต.ชัยพิชิต ปฏิสังข์ สารวัตรและรองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ทั้งสองเบิกความโดยสรุปว่า วันเกิดเหตุในคดีนี้พยานได้รับมอบหมายให้ทำการติดตามกลุ่มผู้ชุมนุม พยานจึงแต่งกายนอกเครื่องแบบแฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเคลื่อนขบวนไปถึงหน้าตำรวจภูธรภาค 4 ในวลาประมาณ 18.30 น.
บริเวณหน้าตำรวจภูธรภาค 4 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจัดเตรียมกำลังตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) รวมประมาณ 1 กองร้อย ส่วนหนึ่งอยู่ในตำรวจภูธรภาค 4 อีกส่วนตั้งแถวหน้ากระดานอยู่หน้าป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ห่างจากป้ายประมาณ 2 เมตร ถือโล่ที่มีความสูงไม่เกิน 160 เซนติเมตร ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมมีประมาณ 100 คน ยืนเต็มถนนหน้าตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งมี 4 ช่องทาง แถวหน้าห่างจากป้ายไม่เกิน 5 เมตร ส่วนพยานไปยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังผู้ชุมนุม
พยานเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมนำถุงบรรจุของเหลวมีสีมากองรวมกันบริเวณด้านหน้าของผู้ชุมนุมจำนวนมากกว่า 100 ถุง ระหว่างนั้นมีการปราศรัยของแกนนำด้วย จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้หยิบถุงบรรจุของเหลวปาใส่ คฝ. และป้ายตำรวจภูธรภาค 4 คฝ.ได้ยกโล่ขึ้นป้องกัน ซึ่งโล่ในขณะที่ยกขึ้นนั้นมีความสูงไม่เกิน 2 เมตร แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังสามารถปาถุงบรรจุของเหลวข้ามไปใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ได้
ขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างจากเสาไฟในตำรวจภูธรภาค 4 และเสาไฟฟ้าสาธารณะ พยานยืนอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20-30 เมตร สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรวมได้อย่างชัดเจน
พยานยืนดูเหตุการณ์จนถึงเวลาประมาณ 19.00 น. ก็เดินทางกลับ สภ.เมืองขอนแก่น ขณะนั้นการชุมนุมยังไม่ยุติ จากนั้น พ.ต.ท.สุกฤษฎิ์ ได้จัดทำรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยรวบรวมภาพและข้อมูลจากชุดสืบสวนที่แต่งนอกเครื่องแบบแฝงตัวในที่ชุมนุม รวมถึงข้อมูลจากไลฟ์สดในเพจเฟซบุ๊กที่กลุ่มผู้ชุมนุมโพสต์นัดหมายชุมนุมรวม 3 เพจ ซึ่งพยานไม่ทราบว่าใครเป็นแอดมินดูแลเพจดังกล่าว
ส่วน พ.ต.ต.ชัยพิชิต ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อมูลผู้ชุมนุมจากกล้องวงจรปิดและถอดเทปคำปราศรัยจากไลฟ์สดในเพจเฟซบุ๊ก
พ.ต.ท.สุกฤษฎิ์ เบิกความด้วยว่า ก่อนการชุมนุมตำรวจได้มีการรวบรวมข้อมูลของกลุ่มผู้ชุมนุมไว้ และจากการตรวจสอบพบว่า ในวันเกิดเหตุมีจำเลยทั้งห้ารวมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย
โดยจำเลยที่ 1 ณัฏฐสกล พบว่า เป็นคนไลฟ์สดและเชิญชวนให้คนมาร่วมชุมนุม ทั้งยังมีภาพร่วมปาถุงสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 โดยพิสูจน์ทราบจากการแต่งกาย อีกทั้งก่อนหน้านี้จำเลยที่ 1 เคยร่วมชุมนุมและเป็นผู้ไลฟ์สดการชุมนุมหลายครั้ง พยานจึงรู้จักและจำหน้าได้ ส่วนจำเลยที่ 2 – 5 เป็นผู้ร่วมชุมนุม และปรากฏภาพร่วมปาถุงสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4
นอกจากภาพถ่ายของจำเลยทั้งห้าในวันเกิดเหตุแล้ว ตำรวจยังมีข้อมูลการร่วมชุมนุมในครั้งก่อน ๆ ของจำเลยทั้งห้า จึงเชื่อว่าจำเลยทั้งห้าได้ร่วมชุมนุมและร่วมใช้ถุงบรรจุสีขว้างปาใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4
ภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมแล้ว ในคืนวันเดียวกันพยานได้ลงพื้นที่ตรวจดูบริเวณที่เกิดเหตุ จากการตรวจสอบพบว่ามีป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ และป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ได้รับความเสียหาย
ตำรวจสืบสวนทั้ง 2 นายตอบทนายจำเลยถามค้านสรุปได้ว่า ในวันเกิดเหตุมีตำรวจคนอื่นเป็นผู้บันทึกภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม พยานไม่ได้บันทึก
รายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมระบุว่า เวลา 18.53 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ขว้างปาถุงบรรจุสีใส่โล่เจ้าหน้าที่ตำรวจและป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ไม่มีข้อความระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุมรวมทั้งจำเลยทั้งห้าได้ขว้างปาสีใส่พระบรมฉายาลักษณ์ด้วย
กลุ่มผู้ชุมนุมต่างคนต่างมา ขณะเกิดเหตุมีผู้ร่วมชุมนุมเป็นจำนวนหลักร้อยคน ผู้ที่ร่วมใช้ถุงสีปาใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 และ คฝ. ก็มีเป็นจำนวนมาก แต่พยานสามารถระบุตัวบุคคลได้เพียงจำเลยทั้งห้าเท่านั้น ส่วนคนอื่นไม่สามารถระบุได้ จึงไม่ได้ดำเนินคดี อีกทั้งในช่วงดังกล่าวเหตุการณ์ชุลมุน พยานจึงไม่สามารถระบุได้ว่า ผู้ชุมนุมคนใดขว้างปาใส่บริเวณใดของป้าย นอกจากนี้ พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดเตรียมและนำถุงสีมา
โล่ที่ คฝ.ถือหากยกขึ้นจะสูงประมาณ 170 เซนติเมตร ส่วนป้ายตำรวจภูธรภาค 4 สูงประมาณ 4 เมตร ถัดขึ้นไปเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งต้องสูงเกินกว่า 4 เมตร
นอกจากความเสียหายจากการถูกขว้างปาสีใส่ในวันเกิดเหตุแล้ว ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ยังไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุอื่น และจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุภายหลังการชุมนุมพบว่าสีที่เปรอะเปื้อนป้ายตำรวจภูธรภาค 4 เป็นสีน้ำ
ไม่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทำร้าย คฝ. มีเพียงการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย และจากการสืบสวนกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ ไม่ได้บุกรุกสถานที่ราชการ เนื้อหาการปราศรัยเป็นการวิจารณ์บริหารวัคซีนของรัฐบาลและการสลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ และมูลเหตุจูงใจของการที่จำเลยทั้งห้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมมาชุมนุมและขว้างปาสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มาจากความไม่พอใจการบริหารวัคซีนโควิด-19 และการสลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
ตามรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม มีการระบุชื่อของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นผู้ไลฟ์สดเพจขอนแก่นพอกันที, ดาวดินสามัญชน และภาคีนักเรียน KKC แม้จะทำการไลฟ์สดได้เพียงเพจเดียวเท่านั้น แต่สามารถแชร์ไปยังเพจอื่นได้ ซึ่งพยานไม่ทราบว่า จำเลยที่ 1 ไลฟ์ในเพจใดแน่
ภาพถ่ายในรายงานความเคลื่อนไหวและภาพถ่ายประกอบคดีไม่มีการระบุที่มาของภาพว่านำมาจากคลิปใด และเกิดเหตุเวลาใด
พ.ต.ท.สุกฤษฎิ์ ตอบทนายจำเลยด้วยว่า พยานได้เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันนำถุงบรรจุสีน้ำที่ตระเตรียมมาจำนวนมากขว้างปาใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 เป็นเหตุให้สีน้ำเลอะเปรอะเปื้อนป้ายดังกล่าวและกระเด็นไปถูกพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งพยานไม่เห็นว่ามีใครขว้างปาสีน้ำใส่พระบรมฉายาลักษณ์
.
พนักงานสอบสวนระบุ มีความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลย เหตุมีภาพร่วมปาสี แต่รับว่า ข้อมูลการสืบสวนไม่ระบุว่าพระบรมฉายาลักษณ์ได้รับความเสียหายจากการชุมนุม
พ.ต.ท.ศุภมินทร์ ล้วนโสม รองผู้กำกับ (สอบสวน) สภ.เมืองขอนแก่น หัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้ เบิกความว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2564 พ.ต.อ.เชษฐ แตงนารา ได้รับมอบอำนาจจาก ผบ.ตร.ให้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับจำเลยทั้งห้าในข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ในวันเดียวกันผู้กำกับการ สภ.เมืองขอนแก่น ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ ให้พยานเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน
จากนั้นพยานให้มอบหมายให้คณะทำงานรวบรวมพยานหลักฐาน สอบคำให้การผู้กล่าวหา รวมทั้งพยานที่เกี่ยวข้อง และออกหมายเรียกผู้ต้องหาเข้ารับทราบข้อกล่าวหา จากนั้นวันที่ 20 ธ.ค. 2564 จำเลยที่ 1, 2, 3 และ 5 ได้เข้าพบกับพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนจำเลยที่ 4 ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2566 ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ภายหลังจากรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว คณะพนักงานสอบสวนได้สรุปความเห็นว่า เห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งห้าในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากมีภาพเคลื่อนไหวว่า ในวันเกิดเหตุกลุ่มผู้ชุมนุมรวมทั้งจำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันใช้ถุงสีขว้างปาใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 เป็นเหตุให้สีกระเด็นใส่พระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนเสนอสำนวนต่อผู้บังคับบัญชา
นอกจากนี้ อัยการยังนำคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ที่ผู้กำกับการ สภ.เมืองขอนแก่น มีคำสั่งแต่งตั้ง และร่วมสอบปากคำพยาน รวมถึงร่วมพิจารณาพยานหลักฐาน เข้าเบิกความอีก 6 ปาก ทั้งหมดเบิกความสรุปได้ว่า คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกับผู้ชุมนุมใช้ถุงบรรจุสีน้ำขว้างปาใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 จึงมีความเห็นควรสั่งฟ้องจำเลยทั้งห้า ในข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์
ในการตอบคำถามค้านของทนายจำเลย คณะพนักงานสอบสวนรับว่า ตามรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งพยานใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาลงความเห็นว่า ควรสั่งฟ้องผู้ต้องหานั้น ระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ขว้างปาถุงบรรจุสีใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ไม่มีข้อความระบุว่า ถึงจำเลยทั้งห้ารวมถึงผู้ชุมนุมขว้างปาสีน้ำใส่พระบรมฉายาลักษณ์ด้วย แต่ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหามีการระบุนอกเหนือไปจากรายงานดังกล่าวว่า ทำให้พระบรมฉายาลักษณ์เสียหาย
จากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อมูลว่า มีผู้ชุมนุมใช้สีน้ำขว้างปาใส่พระบรมฉายาลักษณ์โดยตรง
พ.ต.ท.ศุภมินทร์ ยังตอบทนายจำเลยว่า รายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมตอนหนึ่งระบุชื่อเยาวชน 2 คน เข้าร่วมการชุมนุมและปาสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งต่อมาพยานได้เปรียบเทียบปรับทั้งสองในข้อหาตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม พยานตอบอัยการในเวลาต่อมาว่า ขณะที่เปรียบเทียบปรับเยาวชนทั้งสองนั้นผู้เสียหายยังไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีผู้ชุมนุมในข้อหาทำให้เสียทรัพย์
.
ผู้รับมอบอำนาจ สตช. รับ ไม่ปรากฏภาพพระบรมฉายาลักษณ์ได้รับความเสียหาย มีแต่รายงานการจัดจ้าง ทั้งไม่เคยเดินทางมาดูที่เกิดเหตุ
พ.ต.ท.พิทยา คำแหงพล กองบังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภูธรภาค 4 ผู้รับมอบอำนาจจาก สตช. ให้ร้องทุกข์ในส่วนแพ่ง ได้ยื่นคำให้การต่อศาลเป็นเอกสารในฐานะพยานผู้ร้องหรือผู้เสียหาย มีเนื้อหาโดยสรุปว่า
คดีนี้พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่นเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้าในความผิดฐาน “ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์” ผู้เสียหายเป็นราชการส่วนกลางมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าส่วนราชการ ปัจจุบันมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(กม.5) ปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร.ในงานกฎหมายและคดีของทุกหน่วยงาน
การกระทำของจำเลยทั้งห้าตามคำฟ้องโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายได้รับ ความเสียหายต่อทรัพย์สิน ผู้เสียหายจึงประสงค์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งห้าประกอบด้วย ค่าเสียหายต่อพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 จำนวน 51,966.16 บาท, ค่าเสียหายต่อป้ายตำรวจภูธรภาค 4 จำนวน 12,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับจากวันที่จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหาย
จากนั้น พ.ต.ท.พิทยา ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุด้วย ความเสียหายในวันเกิดเหตุเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง พยานไม่ทราบ พยานทราบความเสียหายเฉพาะที่ปรากฏตามรายงานการจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น
ตามรายงานผลความเสียหายไม่ปรากฏภาพพระบรมฉายาลักษณ์ได้รับความเสียหาย มีเพียงข้อความบรรยาย แต่รายงานการจัดจ้างมีรายละเอียดระบุความเสียหายไว้ชัดเจน
พยานไม่ทราบว่า ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ก่อสร้างมาแล้วกี่ปี และหลังเกิดเหตุที่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ได้รับความเสียหาย ประชาชนทั่วไปจะทราบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของตำรวจภูธรภาค 4 หรือไม่
ขณะและหลังเกิดเหตุพยานไม่เคยเดินทางมาดูที่เกิดเหตุ พยานไม่ทราบว่า ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 สูงกี่เมตร
.
จำเลยยืนยัน ร่วมปาสีเล็งที่โล่-ป้าย ตร.ภ.4 เหตุไม่พอใจรัฐบาล-ตำรวจ ชี้เป็นการแสดงออกทางการเมือง ทราบว่าเป็นสีน้ำที่ล้างออกได้
การเข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ 3 เป็นการแสดงออกทางการเมืองเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาล… ในฐานะที่พยานเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ พยานสังเกตว่าสีในถุงมีความหนืดไม่มาก น่าจะเป็นสีน้ำผสมเจือจางด้วยน้ำ
ณัฏฐสกล เวชศิรพลานนท์ จำเลยที่ 1 นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้นปีที่ 4 เบิกความเป็นพยานให้ตนเองว่า กิจกรรมคาร์ม็อบ 3 เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2564 เป็นกิจกรรมเรียกร้องสิทธิของประชาชนและการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อเจ้ทหน้าที่รัฐในเวลานั้น เป็นการแสดงออกทางการเมือง โดยมีเหตุจากความไม่พอใจการสลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ โดยใช้วิธีที่ไม่ชอบ ใช้กระสุนยาง ทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บ
พยานเข้าร่วมคาร์ม็อบ 3 ด้วย โดยทราบการนัดหมายจากเพจขอนแก่นพอกันที จากนั้นในวันเกิดเหตุพยานเดินทางไปร่วมชุมนุมโดยใช้รถจักรยานยนต์ของตนเอง สุดท้ายผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนไปรวมกันที่หน้าตำรวจภูธรภาค 4 ในเวลาประมาณ 18.00 น. มีการปราศรัยประณามเจ้าหน้าที่รัฐและการบริหารงานของรัฐบาลในขณะนั้นด้วยการ ทั้งยังด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาควบคุมการชุมนุม
ขณะพยานเดินไปมาในละแวกนั้นพบเห็นถุงบรรจุสีน้ำวางอยู่ โดยไม่ทราบว่าใครจัดเตรียมมา จากนั้นผู้ชุมนุมประมาณ 20-30 คน ได้ใช้ถุงบรรจุสีดังกล่าวขว้างปาใส่โล่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พยานก็ร่วมปาด้วย โดยเล็งไปที่โล่ตำรวจ
ในฐานะที่พยานเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ พยานสังเกตว่าสีในถุงมีความหนืดไม่มาก น่าจะเป็นสีน้ำผสมเจือจางด้วยน้ำ
พยานสูง 173 เซนติเมตร ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 สูงประมาณ 5 เมตร ส่วนพระบรมฉายาลักษณ์ติดตั้งอยู่ด้านบนของป้ายรวมแล้วน่าจะสูงประมาณ 10 เมตร
เหตุในคดีนี้ต่อเนื่องกับคดีชุมนุมคาร์ม็อบ 3 ซึ่งพยานถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วย โดยในคดีชุมนุมดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง
พยานขอให้การยืนยันว่า การเข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ 3 เป็นการแสดงออกทางการเมืองเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาล
ณัฏฐสกลตอบอัยการถามค้านว่า ขณะพยานและกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 30 คน ร่วมกันใช้ถุงบรรจุสีน้ำขว้างปาใส่โล่ตำรวจนั้น แกนนำกำลังปราศรัยอยู่บนรถเครื่องเสียง
พยานปาถุงบรรจุสีน้ำไปประมาณ 3-4 ถุง ขณะที่ขว้างปา พยานมีความรู้สึกโกรธตำรวจที่สลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ และโกรธการบริหารงานของรัฐบาล
พยานไม่แน่ใจว่า พยานปาถุงสีใส่โล่ตำรวจโดยสุดแรงหรือไม่ ส่วนภาพพยานชี้นิ้วนั้น พยานเจตนาชี้ไปที่ตำรวจที่เฝ้าระวังการชุมนุม
.
พยานปาถุงสีร่วมกับผู้ชุมนุมคนอื่นด้วย โดยตั้งใจขว้างข้ามตำรวจไปที่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 เนื่องจากพยานทราบว่าเป็นสีน้ำ สามารถล้างออกได้ อีกทั้งพยานไม่พอใจการสลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งพยานเคยเป็นได้รับบาดเจ็บด้วย
พายุ บุญโสภณ จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานให้ตนเองว่า ก่อนมีกิจกรรมคาร์ม็อบขอนแก่น 3 ที่กรุงเทพฯ มีกรณีตำรวจเข้าสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง ตามข่าวคือมีการใช้กระสุนจริงด้วย มีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ พยานเองก็เคยเข้าร่วมการชุมนุมและถูกเจ้าหน้าที่ยิงด้วยกระสุนยางเข้าที่บริเวณตาขวา ทำให้ตาขวาสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
พยานทราบการนัดหมายชุมนุมจากเพจดาวดิน หลังทำงานเสร็จพยานจึงอาศัยรถของเพื่อนเดินทางมาขอนแก่น
ในวันเกิดเหตุขณะเคลื่อนขบวนพยานได้ขอติดรถไปกับผู้ที่เข้าร่วมชุมนุม โดยไม่ทราบว่าเจ้าของรถเป็นใคร ขบวนเคลื่อนมาหยุดที่หน้าตำรวจภูธรภาค 4 ในเวลาใกล้มืดแล้ว มีการปราศรัย ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมประมาณ 100 คน
จากนั้นผู้ชุมนุมประมาณ 20-30 คน ได้ใช้ถุงสีน้ำปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยตำรวจได้ยกโล่ขึ้นป้องกันตัวเองและป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ขณะที่ตำรวจยกโล่ขึ้นกำบังนั้น ขอบบนของโล่จะสูงจากพื้นประมาณ 180 เซนติเมตร ส่วนป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มีความสูงประมาณ 5 เมตร รวมป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ด้วยมีความสูงประมาณ 20 เมตร โดยขอบล่างของพระบรมฉายาลักษณ์อยู่สูงจากป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มากกว่า 1 เมตร
สีที่ผู้ชุมนุมใช้ขว้างปาใส่ป้ายเป็นสีน้ำ เหตุที่พยานทราบเนื่องจากพยานเดินไปเหยียบถุงสีแตก สีกระเด็นใส่ขาแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า
พยานปาถุงสีร่วมกับผู้ชุมนุมคนอื่นด้วย โดยตั้งใจขว้างข้ามตำรวจไปที่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 เนื่องจากพยานทราบว่าเป็นสีน้ำ สามารถล้างออกได้ อีกทั้งพยานไม่พอใจการสลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งพยานเคยเป็นได้รับบาดเจ็บด้วย
นอกจากถูกฟ้องในคดีนี้แล้ว ก่อนหน้านี้พยานได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องในข้อหาร่วมกันชุมนุม จากการเข้าร่วมคาร์ม็อบครั้งเดียวกันนี้ ซึ่งในคดีดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง
พายุตอบอัยการถามค้านด้วยว่า พยานเห็นถุงบรรจุสีวางอยู่ที่บริเวณด้านหน้าผู้ชุมนุม ห่างจากแนวตำรวจประมาณ 5 เมตร ซึ่งพยานได้ร่วมปาถุงสีด้วยประมาณ 2 ถุง ด้วยอารมณ์โกรธรัฐบาลและตำรวจที่สลายการชุมนุม
พยานเห็นป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ติดตั้งอยู่ด้านบนของป้ายตำรวจภูธรภาค 4 แต่ตั้งใจปาข้ามผู้ชุมนุมและตำรวจไปที่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4
.
การที่พยานเข้าร่วมชุมนุมในวันเกิดเหตุ เป็นการใช้สิทธิการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมือง ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง ก่อนการชุมนุมเพจขอนแก่นพอกันทีได้โพสต์ระดมทุนและขอรับบริจาคสีน้ำ เป็นการยืนยันว่า สีที่ใช้ในวันเกิดเหตุเป็นสีน้ำ
นุ้ก จำเลยที่ 3 เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ขณะเกิดเหตุในคดีนี้พยานกำลังศึกษาอยู่ที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้นปีที่ 2
สืบเนื่องจากในช่วงปี 2563 มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนติดเชื้อล้มป่วยและเสียชีวิตตามถนน เมรุล้น จึงเป็นผลให้มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563
วันที่ 7 ส.ค. 2564 มีการชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ พยานไม่ได้ไปร่วมชุมนุม แต่ทราบข่าวว่ามีผู้เข้าชุมนุมเป็นจำนวนมาก และได้ถูกเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเพจขอนแก่นพอกันทีได้นัดชุมนุมคาร์ม็อบ 3 ซึ่งความเข้าใจของพยานเป็นการแสดงออกทางการเมืองโดยการเคลื่อนขบวนรถไปตามถนน พยานได้เข้าร่วมชุมนุมด้วย โดยใช้รถจักรยานยนต์ส่วนตัว เริ่มรวมกลุ่มกันที่หน้าตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น จากนั้นเคลื่อนขบวนไปตามถนน และมารวมตัวกันจุดสุดท้ายที่หน้าตำรวจภูธรภาค 4
เมื่อพยานขับรถมาถึงจุดดังกล่าวได้จอดรถและเดินมารวมกับกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมากที่บริเวณหน้าป้ายตำรวจภูธรภาค 4 โดยมีรถเครื่องเสียงจอดบริเวณนั้นด้วย
ต่อมา พยานเห็นคนนำถุงบรรจุสีน้ำมาวางกองหน้าผู้ชุมนุม แต่ไม่ทราบว่าเป็นใครและใครจัดเตรียมมา จากนั้นผู้ชุมนุมไม่ต่ำกว่า 20 คน หยิบถุงสีไปปา พยานจึงร่วมปาด้วย 3-4 ถุง โดยเล็งไปที่โล่ตำรวจ
พยานไม่ได้มีการส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นแอดมินเพจที่โพสต์นัดชุมนุม
ขณะที่พยานปาถุงสี ได้มีสีกระเด็นมาเปื้อนกางเกงด้วย หากล้างเลยก็สามารถล้างออกได้ เนื่องจากเป็นสีน้ำ แต่พยานอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก จึงไม่ได้ล้างออก
ตามภาพถ่ายป้ายตำรวจภูธรภาค 4 สูงประมาณ 5 เมตร มีขอบกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ลึกประมาณ 15 เซนติเมตร ส่วนพระบรมฉายาลักษณ์สูง 5 – 10 เมตร
ในการขว้างปาถุงบรรจุสีน้ำใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 นั้น ถุงจะแตกและเกิดการกระจายของสีย้อยลงด้านล่าง รวมถึงกระเด็นติดขอบ ไม่สามารถกระเด็นขึ้นไปเปื้อนพระบรมฉายาลักษณ์ด้านบนได้
พยานถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลนี้ในคดีจากการชุมนุมคาร์ม็อบ 3 ซึ่งดังกล่าวศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง
การที่พยานเข้าร่วมชุมนุมในวันเกิดเหตุ เป็นการใช้สิทธิการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมือง ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง
ก่อนการชุมนุมเพจขอนแก่นพอกันทีได้โพสต์ระดมทุนและขอรับบริจาคสีน้ำ เป็นการยืนยันว่า สีที่ใช้ในวันเกิดเหตุเป็นสีน้ำ
จากนี้นนุ้กตอบอัยการถามค้านว่า ตามภาพถ่ายประกอบคดี พยานกำลังเงื้อปาถุงสีโดยยืนอยู่ห่างจากแนวตำรวจประมาณ 3 เมตร พยานร่วมปาถุงสีไป 3-4 ถุง เนื่องจากโกรธและไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงนั้น
ขณะที่พยานใช้สีน้ำขว้างปาใส่โล่ตำรวจ พยานมองเห็นป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ที่อยู่ทางด้านหลัง และพระบรมฉายาลักษณ์ที่ติดตั้งอยู่ด้านบน
เพจขอนแก่นพอกันทีโพสต์ข้อความขอรับบริจาคสีในวันที่ 19 ส.ค. 2564 ซึ่งในวันดังกล่าวพยานไม่ได้เห็นข้อความดังกล่าว เพิ่งมาเห็นในวันนี้
.
เหตุที่พยานเข้าร่วมชุมนุมในวันเกิดเหตุเนื่องจากพยานไม่พอใจการสลายการชุมนุมและไม่เห็นด้วยกับการบริหารประเทศของรัฐบาล
พงศธร จำเลยที่ 4 เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานศึกษาอยู่ที่คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาสาระสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้นปีที่ 2 ปัจจุบันเป็นพนักงานบริษัท
ในช่วงก่อนเกิดเหตุในคดีนี้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พยานได้ติดตามและเกิดความรู้สึกไม่พอใจการสลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 16 ส.ค. 2564 ซึ่งเพจขอนแก่นพอกันที ได้โพสต์ภาพผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมด้วย
พยานทราบเรื่องการชุมนุมในวันเกิดเหตุจากเพจขอนแก่นพอกันทีที่ได้โพสต์นัดหมายชุมนุมคาร์ม็อบ 3 โดยพยานไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพจดังกล่าว
ในวันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนเข้าร่วมชุมนุมโดยใช้รถจักรยานยนต์ของเพื่อน มีพยานเป็นคนขับ เพื่อนนั่งซ้อน ไปรวมตัวที่หน้าตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และเคลื่อนขบวไปตามถนน ไปหยุดที่หน้าตำรวจภูธรภาค 4
พยานไม่ทราบวัตถุประสงค์ของผู้จัดชุมนุมคาร์ม็อบ 3 แต่เบื้องต้นทราบว่า เป็นการแสดงออกทางการเมือง
เมื่อพยานไปถึงหน้าตำรวจภูธรภาค 4 ในเวลาประมาณ 18.00 น. พยานได้ไปจอดในซอยแคบ ๆ ซึ่งมีจักรยานยนต์หลายคันจอดอยู่แล้ว จากนั้นพยานและเพื่อนได้เดินไปรวมกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณหน้าป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมประมาณ 100 คน โดยไปยืนอยู่แถวหน้าและเห็นถุงบรรจุสีวางอยู่ที่พื้นถนนด้านหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว ขณะที่ตำรวจก็ยืนถือโล่อยู่ด้านหน้าผู้ชุมนุมเช่นกัน
จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 20-30 คน ได้ร่วมกันใช้ถุงสีขว้างปาใส่ตำรวจจากหลายทิศทาง พยานได้ร่วมขว้างปาด้วยโดยตั้งใจปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4-5 นายที่ไม่มีโล่ยืนอยู่ด้านขวาของป้าย ปาไปประมาณ 5-6 ถุง เมื่อเห็นว่าสีน้ำโดนบริเวณใบหน้าของตำรวจ พยานจึงหยุดและเดินออกมา ส่วนเพื่อนของพยานยืนรออยู่ทางด้านหลัง ไม่ได้ร่วมขว้างปาสีด้วย
เหตุที่พยานเข้าร่วมชุมนุมในวันเกิดเหตุเนื่องจากพยานไม่พอใจการสลายการชุมนุมและไม่เห็นด้วยกับการบริหารประเทศของรัฐบาล
จากนั้นพงศธรตอบอัยการถามค้านว่า ขณะที่พยานใช้สีน้ำปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีแกนนำปราศรัยอยู่ พยานมองเห็นป้ายตำรวจภูธรภาค 4 และพระบรมฉายาลักษณ์ แต่พยานตั้งใจปาใส่ตำรวจ
.
การปาถุงบรรจุสีน้ำใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ไม่น่าจะทำให้สีกระเด็นไปถูกพระบรมฉายาลักษณ์ได้ เนื่องจากด้านบนป้ายมีขอบ
กุลธิดา กระจ่างกุล จำเลยที่ 5 เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้พยานกำลังศึกษาอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารราชกระบัง คณะสถาปัตยกรรม สาขาวิจิตรศิลป์ ชั้นปีที่ 3 ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นนักข่าวและผู้ช่วยวิจัย
ก่อนเกิดเหตุมีสถานการณ์เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ มีการใช้กระสุนยางและกระสุนจริง แก๊สน้ำตา และกระบอง เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมหลายรายได้รับบาดเจ็บ บางรายสูญเสียการมองเห็น และมีเยาวชนวัย 14 ปี ถูกยิงกระทั่งเสียชีวิตในภายหลัง
จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ในวันที่ 22 ส.ค. 2564 มีการชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมืองที่จังหวัดขอนแก่น โดยใช้ชื่อว่าคาร์ม็อบ 3 เพื่อต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐที่สลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง ประกอบกับกลุ่มแกนนำถูกจับกุมจึงมีการเรียกร้องให้ปล่อยตัว
พยานทราบว่ามีการชุมนุมจากเพจขอนแก่นพอกันที โดยพยานเป็นเพียงผู้ติดตาม ไม่ได้เป็นแอดมินเพจ
ในการชุมนุมคาร์ม็อบ 3 ผู้ร่วมชุมนุมจะขับรถมาร่วมขบวนขับไปตามถนน มีการบีบแตรเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบในการสลายการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง
วันเกิดเหตุพยานขับรถจักรยานยนต์ส่วนตัวเข้าร่วม เคลื่อนขบวนไปถึงบริเวณหน้าตำรวจภูธรภาค 4 ในเวลาประมาณ 18.30 น. ขณะนั้นมีผู้ชุมนุมอยู่ราว 100 – 200 คน พยานสังเกตเห็นว่าผู้คนค่อนข้างชุลมุน จากนั้นพยานได้ลงจากรถเดินไปที่แถวหน้าของกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งยืนอยู่หน้าป้ายตำรวจภูธรภาค 4 และพบถุงบรรจุสีน้ำวางอยู่ที่ด้านหน้าแล้ว แต่ละถุงมีขนาดเท่ากับ 1 กำมือ
ต่อมา ผู้ชุมนุมประมาณ 20 คน ได้ร่วมกันใช้ถุงบรรจุสีน้ำขว้างปาไปที่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 โดยไม่มีผู้ร่วมชุมนุมคนใดให้สัญญาณก่อนแต่อย่างใด พยานได้ร่วมปาด้วยโดยปาไปประมาณ 2-3 ถุง
ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 สูงประมาณ 4-5 เมตร ส่วนขอบด้านล่างพระบรมฉายาลักษณ์อยู่สูงจากพื้นประมาณ 5-6 เมตร
การปาถุงบรรจุสีน้ำใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ไม่น่าจะทำให้สีกระเด็นไปถูกพระบรมฉายาลักษณ์ได้ เนื่องจากด้านบนป้ายมีขอบ
นอกจากคดีนี้แล้ว พยานยังได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลนี้ในคดีร่วมกันชุมนุม จากการร่วมคาร์ม็อบ 3 ในคดีดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง
กุลธิดาตอบอัยการถามค้านในเวลาต่อมาว่า ขณะที่ขว้างปาถุงบรรจุสีน้ำใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 มีแกนนำปราศรัยอยู่ที่รถเครื่องเสียง แต่พยานไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นการปราศรัยในเรื่องอะไร
พยานตั้งใจขว้างปาถุงบรรจุสีน้ำใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 แต่ปาในลักษณะข้ามศีรษะของตำรวจหรือไม่ พยานจำไม่ได้
.