คาร์ม็อบขอนแก่น แห่ไล่ประยุทธ์ 3 ครั้ง “ราษฎรขอนแก่น” เจอ 3 คดี นร.สะท้อน “รัฐควรแก้ปัญหา ไม่ใช่ดำเนินคดีผู้ชุมนุม”

8 ต.ค. 2564 นักเรียน-นักศึกษา-นักกิจกรรม “ราษฎรขอนแก่น” 10 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกผู้ต้องหาของ สภ.เมืองขอนแก่น รวม 3 คดี จากคาร์ม็อบขอนแก่น “แห่ ไล่ ประยุทธ์” 3 ครั้ง ในวันที่ 17 ก.ค., 1 ส.ค. และ 22 ส.ค. 2564 ซึ่งมีชุดสืบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี ได้แก่ พ.ต.ท.ธีรภัทร์ วงค์วิลาศ สารวัตรสืบสวน, พ.ต.ท.วิโรจน์ นาหนองขาม รองผู้กำกับสืบสวน และ พ.ต.ท.สุกฤษฎิ์ พุทธิทัยธีรธร สารวัตรสืบสวน 

นักกิจกรรมที่ถูกออกหมายเรียกในทั้ง 3 คดี มีจำนวนรวม 15 คน เป็นนักเรียนมัธยมปลาย 3 คน (อายุต่ำกว่า 18 ปี 2 คน) และเป็นนักศึกษา 7 คน เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในครั้งนี้ 10 คน ได้แก่ ไอค่อน (นามสมมติ), ขวัญข้าว, เปค (นามสมมติ), ณัฏฐสกล เวชศิรพลานนท์, ธนสิทธิ์  นิสยันต์, ชานน อาจณรงค์, วีรภัทร ศิริสุนทร, นุ้ก (นามสมมติ), พงศธร (สงวนนามสกุล) และ “ครูใหญ่” อรรถพล  บัวพัฒน์ 

ส่วนนักกิจกรรมอีก 5 คน ได้แก่ กรชนก แสนประเสริฐ, ภาณุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์, พายุ บุญโสภณ, นิติกร ค้ำชู และกุลธิดา กระจ่างกุล ติดธุระอื่น จึงเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาไปในวันที่ 15 ต.ค. 2564

โดยอรรถพลและภาณุพงศ์ ถูกออกหมายเรียกทั้ง 3 คดี ขณะที่ณัฏฐสกล นักศึกษาปี 1 ได้หมายเรียกถึง 2 คดี

เหมือนเช่นทุกครั้งในระยะหลังที่มีการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีจากการแสดงออกทางการเมือง สภ.เมืองขอนแก่น ได้ระดมกำลังตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) 3 กองร้อย พร้อมโล่ ควบคุมพื้นที่ด้านในและรอบ สภ. โดยปิดประตูทางเข้า พร้อมทั้งตั้งแผงเหล็กกั้น ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้า นอกจากผู้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ผู้ไว้วางใจ และทนายความ โดยมีการเช็คชื่อและตรวจค้นกระเป๋าผู้ที่จะเข้าไปในรั้วสถานีตำรวจ และจัดตั้งเต็นท์พร้อมเก้าอี้ให้ประชาชนที่จะมาให้กำลังใจอยู่บนถนนด้านข้างทางเข้า นอกจากนี้ มีการนำผ้าซาแลนสีเขียวคลุมป้ายชื่อ “สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น” ไว้อย่างมิดชิด 

ที่ห้องประชุมชั้น 4 คณะพนักงานสอบสวนได้เริ่มแจ้งพฤติการณ์คดีและข้อกล่าวหาให้นักกิจกรรมทราบทีละคน

ในคดีคาร์ม็อบขอนแก่น วันที่ 17 ก.ค. 2564 ซึ่งมีผู้ถูกออกหมายเรียก 2 คน คือ อรรถพล และภาณุพงศ์ พนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์ที่ดำเนินคดีให้อรรถพลที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพียงคนเดียวทราบว่า กิจกรรม “คาร์ม็อบ ขอนแก่น” ในวันดังกล่าว ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 100 คน รถยนต์ประมาณ 50 คัน รถจักรยานยนต์ประมาณ 40 คัน ระหว่างเคลื่อนขบวนมีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ปราศรัยโจมตีการทํางานของรัฐบาล และมีการหยุดชะลอรถเป็นระยะอันเป็นการกีดขวางทางสาธารณะและเป็นอุปสรรคต่อความสะดวกในการจราจร 

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาอรรถพลว่า “ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะ เป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร และร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 (มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท) และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ (มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 200 บาท) 

เนื่องจากคดีมีเพียงโทษปรับ อรรถพลจึงให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนได้ทำการเปรียบเทียบปรับ โดยปรับ 1,000 บาท ฐานกีดขวางทางสาธารณะ และปรับ 200 บาท ฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต คดีอาญาจึงยุติลงในชั้นนี้

คาร์ม็อบ 17 กรกฎา (ภาพจากเพจ ขอนแก่นพอกันที)

ส่วนคาร์ม็อบขอนแก่น #2 เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้ต้องหา 5 คน มีอรรถพล, ณัฏฐสกล และธนสิทธิ์ มาในครั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์ที่ดำเนินคดีว่า กิจกรรม “CAR MOB #2” ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมประมาณ 150 คน นํารถยนต์เข้าร่วมประมาณ 50 คัน และรถจักรยานยนต์ประมาณ 60 คัน มีการเคลื่อนขบวนรถไปในตัวเมืองขอนแก่นในลักษณะกีดขวางการจราจร บีบแตรรถส่งเสียงดัง แล้วไปหยุดที่บริเวณถนนหน้าศูนย์ราชการ มีการปราศรัยและทํากิจกรรมโจมตีรัฐบาล รวมทั้งประณามการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตํารวจที่ กทม. ในวันนั้น โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องเสียง และไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อโควิด -19

จากนั้นแจ้งข้อกล่าวหาทั้งสามว่า “ร่วมกันชุมนุมหรือทํากิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่กําหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และฝ่าฝืนคําสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ, ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันขับขี่รถใช้เสียงสัญญาณแตรรถยาวเกินความจําเป็น, ร่วมกันกีดขวางการจราจร และร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต”

นอกจากนี้ ณัฏฐสกลยังถูกแจ้งข้อหา เผาภายในระยะ 500 เมตร จากทางเดินรถ เป็นเหตุให้เกิดควันในลักษณะที่อาจไม่ปลอดภัยแก่การจราจร อีก 1 ข้อหา เนื่องจากพนักงานสอบสวนอ้างว่า เป็นผู้ลงมือเผาหุ่นจำลองหน้าเวทีปราศรัย

คาร์ม็อบ 1 สิงหา (ภาพโดย Somjing Diary)

และคาร์ม็อบขอนแก่น #3 เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2564 มีนักกิจกรรมถูกออกหมายเรียกถึง 13 คน เป็นนักเรียนและเยาวชน 3 คน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แยกไปแจ้งข้อกล่าวหาอีกห้องหนึ่ง ในส่วนที่ไม่ใช่เยาวชน พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา 6 นักกิจกรรมที่เดินทางมาครั้งนี้ ได้แก่ อรรถพล, ณัฏฐสกล, ชานน, วีรภัทร, นุ้ก และพงศธร โดยระบุพฤติการณ์ที่ดำเนินคดีคล้ายกับคดีอื่นว่า มีการเคลื่อนขบวนรถในลักษณะกีดขวางการจราจร บีบแตรรถส่งเสียงดัง และเมื่อถึงบริเวณป้ายตํารวจภูธรภาค 4 มีการรวมกลุ่มคนประมาณ 60 คน ในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ทั้งมีลักษณะเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย เนื่องจากมีการปาถุงบรรจุสีน้ำใส่ป้ายตํารวจภูธรภาค 4 และโล่เจ้าหน้าที่ตํารวจ 

ก่อนระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันชุมนุมที่มีจำนวนมากกว่า 20 คน และ 50 คน เสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่กําหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และฝ่าฝืนคําสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ, ร่วมกันขับขี่รถใช้เสียงสัญญาณแตรรถยาวเกินความจําเป็น, ร่วมกันกีดขวางการจราจร และร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ในคดีคาร์ม็อบครั้งที่ 2 และ 3 นั้น นักกิจกรรมทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 21 วัน บางคนไม่ลงลายมือชื่อในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา แต่เขียนข้อความอื่น ได้แก่ “คนเท่ากัน” “คนยังคง ยืนเด่น โดยท้าทาย” “ประชาธิปไตยจงเจริญ III” และ “Republic of Thailand”

ในส่วนของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมีทั้งนักศึกษาคณะนิติศาสตร์, มนุษยศาสตร์ฯ และศิลปกรรมศาสตร์ ที่ถูกดำเนินคดี ได้มีรองคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์เดินทางมาร่วมรับฟังการแจ้งข้อกล่าวหาในฐานะผู้ไว้วางใจด้วย

กรณีนักเรียนและเยาวชน 3 ราย ไอค่อน, ขวัญข้าว และเปค พนักงานสอบสวนได้แจ้งพฤติการณ์ที่ดำเนินคดีเช่นเดียวกับคนอื่น โดยกล่าวหาว่า ขวัญข้าวและเปคเป็นผู้ปาสีน้ำใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 และถนน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาฐาน “เทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย น้ำโสโครกหรือสิ่งอื่นใดลงบนถนน” ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ส่วนไอค่อน พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าขึ้นร้องหมอลำ จึงแจ้งข้อกล่าวหา “โฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต” ทั้งนี้ ที่ปรึกษากฎหมายและผู้ไว้ใจเข้าร่วมรับฟัง

เยาวชนทั้งสามรับว่า ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหาจริง พนักงานสอบสวนจริงเปรียบเทียบปรับขวัญข้าวและเปคคนละ 1,000 บาท และปรับไอค่อน 200 บาท ทำให้คดีอาญาสิ้นสุดไป  

คาร์ม็อบ 22 สิงหา (ภาพโดย ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์)

นร. – น.ศ. ไม่คาดฝัน! ถูกดำเนินคดี แม้เป็นสิทธิ ออกมาเรียกร้องสิ่งที่ดี

ภายหลังเสร็จกระบวนการทางคดี ไอค่อน นักเรียน กศน.ระดับมัธยมปลาย ซึ่งอีกด้านเป็นนักร้องวงหมอลำ หารายได้เลี้ยงตัวเอง และเข้ารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมด้วยธงไพรด์ผืนใหญ่ แม้จะโล่งใจที่คดีจบ แต่ก็กล่าวว่า “งงมาก หนูร้องหมอลำก็ถูกดำเนินคดี” 

ขณะที่เปค นักเรียนชั้น ม.5 สะท้อนความรู้สึกที่ถูกดำเนินคดีว่า “รู้สึกหงุดหงิดค่ะ เพราะมันเป็นสิทธิของเราที่สามารถออกไปเรียกร้องได้ รัฐควรจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้ประชาชน ซึ่งหากรัฐบาลไม่ทำงานห่วยพวกเราคงไม่ต้องไปไล่นะคะ หลังจากนี้ก็ยังไปชุมนุมเช่นเดิม เพราะนี่คือสิทธิของเรา รัฐควรรับฟังแล้วนำไปแก้ปัญหาไม่ใช่มาไล่จับกุมดำเนินคดีผู้ชุมนุม”

ด้าน “อ๋า” ณัฏฐสกล นักศึกษาปี 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า “ส่วนตัวผมรู้สึกงงงวยและไม่เข้าใจเป็นอย่างมากกับการกระทำของรัฐที่ทำต่อประชาชน ผมคิดว่า พวกผมและเพื่อนๆ คนอื่นได้ออกมาเคลื่อนไหวต่างมีจุดประสงค์ที่ต้องการให้ประเทศมันดีขึ้นกันทั้งนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่พวกเราทำอยู่กลายเป็นที่ทำให้รัฐสูญเสียความมั่นคง ทั้งๆ ที่เราอยู่ในประเทศที่เป็น “ประชาธิปไตย” อยู่แท้ๆ แต่ทำไมรัฐถึงไม่ฟังเสียงของประชาชนเลย มิหนำซ้ำยังให้คดีให้หมายกับคนเหล่านี้” 

“ผมเลยคิดว่านี่มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยเลยนะ ทำไมรัฐถึงไม่เปิดรับเสียงที่แตกต่าง ทำไมรัฐถึงไม่ฟังเสียงประชาชน ทำไมรัฐถึงไม่เคารพความหลากหลายของประชาชนเลย นี่เลยยิ่งเป็นภาพสะท้อนของอำนาจเผด็จการที่ปรากฏอยู่สังคมไทยเรา และผมก็ยังจะสงสัย ตั้งคำถาม และส่งเสียงออกมากับการกระทำของรัฐบาลต่อไป”

“ยิ่งรัฐแจกหมายให้กับผู้ที่กล้าออกมาพูดมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐไม่ฟังเสียงประชาชน” อ๋าทิ้งท้าย

.

X