วันหนึ่งในปี 2561 นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาปรัชญา จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เดินทางไปเยี่ยม “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 จากเหตุแชร์โพสต์ประวัติ ร.10 ในเว็บไซต์บีบีซีไทย การพบกันครั้งแรกในเรือนจำภูเขียววันนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไผ่ถูกเบิกตัวไปสืบพยานคดีแจกใบปลิวโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ศาลจังหวัดภูเขียว

นามของ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ เป็นที่รู้จักในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองราวปี 2563 ช่วงเวลาที่มีนักกิจกรรมหน้าใหม่เข้าสู่ขบวนต่อสู้เรียกร้องทางการเมือง ที่หนึ่งในข้อเรียกร้องเหล่านั้นคงหนีไม่พ้นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ด้วยท่วงท่าลีลาปราศรัยแบบมีลูกเล่นที่สั่งสมมาจากการเป็นติวเตอร์ที่มีชื่อเสียงมาหลายปี หรือหากจะย้อนไปความ ‘แก่นวัดแก่นวา’ เติบโตมากับการใกล้ชิดกับพระ รู้เห็นฝึกปรือเรื่องราวพิธีกรรมความเชื่อ ก็ทำให้เขามีคลังคำศัพท์มากมายในการสื่อสารทางสาธารณะ จนมีผู้ติดตามทั้งในโซเชียลมีเดียและในชีวิตจริงก็มีคนรู้จักมากมาย
อีกวันในต้นปี 2564 ครูใหญ่เดินทางไป อ.ภูเขียว อีกครั้ง นอกจากจะไปให้กำลังใจนักกิจกรรมกลุ่มราษฎรที่ทวงถามคำขอโทษจากตำรวจที่ไปคุกคามนักเรียนที่สมัครมาเข้าค่าย จนกลายเป็นการชุมนุมทางการเมืองขนาดย่อม ๆ
หลังกล่าวปราศรัยตามคำชักชวนของเพื่อน ๆ ในวันนั้น ก็ทำให้อดีตครูโรงเรียนภูเขียวผู้นี้กลายเป็นผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ในศาลจังหวัดภูเขียว จากการกล่าวถึงข้อเสนอให้จำกัดงบประมาณของกษัตริย์ฯ รวมถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
“ผมคิดว่าพูดอย่างระมัดระวังพอสมควร วิจารณ์อยู่ในกรอบของกฎหมาย และให้คำนิยาม ทั้งสถาบันและกษัตริย์หมายถึงอะไร ถ้าถูกลงโทษว่าผิดน่าจะคาใจไปนานเลย”
.
โตมากับความเชื่อพื้นบ้าน วัดเป็นที่เพาะสร้างตัวตน
จากครอบครัวชนชั้นกลางในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น พ่อรับราชการครู แต่รายได้ก็ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย แม่เลยต้องไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลตั้งแต่เขายังไม่เข้าชั้นอนุบาล ความทรงจำวัยเยาว์ของเขาที่มีต่อแม่คือ เป็นบุคคลที่ไปต่างประเทศ นอกจากอิสราเอล มีทั้งเยเมนและอิยิปต์ ก่อนส่งเงินผ่านธนาคารกลับมาที่บ้าน โดยมีนาน ๆ ครั้ง พ่อจะพาไปร้านถ่ายภาพในตัวอำเภอ เพื่อถ่ายภาพรวมที่มีเขากับพี่ชายส่งกลับไปให้แม่ดูต่างหน้าบ้างในวันเวลาที่ไกลห่าง
การใช้ชีวิตในบ้านที่มีผู้ชาย 3 คน ครูใหญ่เติบโตมาโดยไม่รู้ว่าใครอบรมเป็นหลัก เลิกเรียนมาอยู่กับป้ากับยาย ได้ยินพวกนิทานมุขปาฐะ เช่น ‘บักแก้วบักสี’, ‘เซียงเหมี่ยง’, ‘นิทานก้อม’ เรื่องความเชื่อพื้นบ้านอีสาน ที่อาจทำให้ติดนิสัยการเป็นนักเล่าเรื่อง เมื่อทั้งพ่อและพี่ชายค่อนข้างให้อิสระ เขาเลยไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่ไม่ได้เถลไถล

การออกไปนอกบ้านคือไปวัด เพราะวัดมีห้องสมุด มีคอมพิวเตอร์ มีเพื่อนกลุ่มเยาวชนที่ทำกิจกรรมเชื่อมกันทั้งชุมชน สำหรับครูใหญ่พื้นฐานความแก่วัดแก่วามาจาก 2 ปัจจัย อย่างแรก ช่วงฤดูร้อนมีการจัดบวชเณรก็จะไปบวชทุกปีจนถึง ม.2 ได้เรียนรู้ศาสนา มารยาทการอยู่กับพระ เริ่มคุ้นชินกับการอยู่กับพระ อย่างต่อมาเริ่มสนใจไสยศาสตร์ สำนักฤาษี หมอธรรม ได้ยินว่าตรงไหนดัง ตรงไหนเก่งก็ไปตรงนั้น ในรัศมี 40-50 กิโลเมตรจากบ้าน เคยไปขอเรียน บางครั้งเขาคิดเชิงแฟนตาซี จินตนาการว่าเหาะได้ หรืออยากบรรลุอรหันต์ กระทั่งช่วงเข้ามหาวิทยาลัย หลวงปู่ที่นับถือมรณภาพ จึงมีช่วงที่เขาต้องมาหัดเรื่องทำพิธีกรรม ผูกแขน แก้เคล็ด แก้ผีเข้า
แม้แต่ในปี 2567 สำหรับครูใหญ่ เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการเหล่านั้น เป็นเรื่องประสบการณ์เห็นด้วยผัสสะเองเท่านั้น ทำให้เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง เวลาคนถามว่าเชื่อในไสยศาสตร์ไหม คำตอบคือ เชื่อ เชื่อว่ามี แต่คิดว่าไม่ได้สูงส่งไปกว่ามนุษย์เลยไม่ได้ไหว้
ครูใหญ่กล่าวอย่างมั่นใจว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงแต่ไม่ได้นับถือเป็นสรณะ ความรู้บางอย่างอยู่ในคัมภีร์ใบลาน ผ่านตัวอักษรธรรมที่ต้องฝึกอ่าน เพียงแต่ทุกวันนี้ไม่มีคนนิยมเรียนแล้ว
.
ครูที่ดีคือผู้ที่สร้างความสุขให้เด็กได้ก่อน
พอมาสู่รั้วโรงเรียนที่ศรีกระนวนวิทยาคม โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษที่โดดเด่นในแง่ของกิจกรรม ทั้งกีฬาและดนตรี มีวงดนตรีไปแข่งรายการชิงช้าสวรรค์ มีนักฟุตบอลทีมชาติ ครูใหญ่บอกว่าเขาได้รับบุคลิกกล้าแสดงออก กล้าเล่น กล้าถาม มาจากที่นั่น
สิ่งที่เห็นได้ชัดตอนเป็นติวเตอร์ ถ้าครูโรงเรียนไหนทำตัวสบาย ๆ กับนักเรียน นักเรียนจะมีความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมไปเอาไปแข่งขันจะบรรเจิด เพราะเป็นตัวของตัวเองสูง กับชีวิตที่เคยเป็นทั้งนักเรียนและครูเขาสะท้อนว่า “ครูที่ดี ครูไทยจะบอกว่า มีหน้าที่สร้างคน ไม่ได้มีหน้าที่สร้างแฟนคลับ แต่ครูฝรั่งบอก เราไม่สามารถให้ความรู้ได้เลย ตราบใดที่เขาไม่มีความสุข สำหรับผมครูที่ดีคือผู้ที่สร้างความสุขให้เด็กได้ก่อน”

มุมมองทางสังคมเริ่มตอนอยู่ชั้นมัธยมต้น ได้เรียนวิชาสังคมศึกษาที่มีเนื้อหาการเมืองการปกครองและประวัติศาสตร์ จนกลายเป็นวิชาที่ชอบเพราะจดจำสิ่งเหล่านั้นได้ เริ่มรู้จักผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างพระยาพหลพลพยุหเสนา เคยท่องชื่อนายกรัฐมนตรีคนแรกจนถึงคนที่อยู่ในช่วงนั้นได้ และท่องได้เลยว่าใครเป็นกี่ปีและเป็นต่อจากใคร จากนั้นไปยืมแผ่นวีซีดีเหตุการณ์ทางการเมืองจากครูสังคมศึกษา และเก็บความรู้เพื่อไปเตรียมตอบชิงรางวัล ในวันรัฐธรรมนูญ วันรพี
“นอกจากนี้การอยู่โรงเรียนช่วงกลางวัน เข้าห้องสมุดตลอด อ่านพระไตรปิฎกสำหรับเยาวชน หมวดวินัยปิฎก ชาดก หมวดอภิธรรม รู้สึกสนุกเหมือนได้อ่านนิทาน แล้วเพื่อนถามอะไรก็ตอบได้ เลยรู้สึกดูยิ่งใหญ่ที่มีความรู้เกินกว่าวัยพอสมควร”
พอขึ้น ม.5 เป็นประธานนักเรียน ได้ฝึกทักษะการสื่อสารและความเป็นผู้นำ จนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เริ่มอ่านหนังสือสอบวิชากฎหมาย วิชาประวัติศาสตร์ เลือกสอบตรงเข้านิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพียงคณะเดียว แต่เมื่อไม่ติด จึงอยากจะเรียนกฎหมายที่ ม.รามคำแหง “ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าไม่ติดธรรมศาสตร์ก็จะบวช จะได้ศึกษาคาถาอาคมด้วย และจะเรียนนิติศาสตร์ ที่ ม.รามฯ จบแล้วค่อยไปทำงาน”
แต่แล้วเมื่อการสอบโอเน็ตและเอเน็ตในปีการศึกษานั้นผ่านพ้น เข้าสู่ช่วงยื่นคะแนนแอดมิชชั่น เพื่อนและครูกังวลว่าเขาจะไม่มีที่เรียนต่อ จึงเอาคะแนนไปยื่นให้เขาทั้งระบบแอดฯ กลาง และโควต้าเด็กดีมีที่เรียนในคณะมนุษยศาตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย สุดท้ายคะแนนของเขาถึงเกณฑ์ที่จะสอบติดทั้งสองระบบ โดยที่เขาเอง เล่าแทบจะเหนือจริงว่า ไม่รู้ว่าจะต้องได้มาเรียนมหาวิทยาลัยขอนแก่นจริง ๆ กระทั่งถึงวันที่เพื่อนพาไปสอบสัมภาษณ์ จนผ่านพ้นกลายเป็นเฟรชชี่ปี 1 คณะมนุษยศาสตร์ฯ โดยทิ้งวิชาเรียนกฎหมายและการเป็นนักบวชแบบที่ตั้งใจไว้
.
ติวเตอร์งานชุก เดือนหนึ่งเคยทำงานคิดเป็นเวลา 50 วัน
บรรยากาศมหาวิทยาลัยขอนแก่นช่วงปี 2552 ยังไม่มีสถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองมากนัก แต่ความรู้สึกนึกคิดของเขาไปในทางคนเสื้อแดง เพียงไม่ศรัทธาในแกนนำเลยไม่ได้ไปร่วมชุมนุม หรือแม้แต่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยสนับสนุนแนวคิดในทางตรงข้ามกับอนุรักษ์นิยมนัก “นักศึกษาสมัยนั้นจะคัดง้างกับอาจารย์ได้น้อยกว่าทุกวันนี้”
ชีวิตทั่วไปตอนเป็นนักศึกษา เรียนเสร็จก็กลับมาบ้านเช่า ทำอาหารกินกับเพื่อน เสาร์อาทิตย์ออกไปศึกษาเรื่องคาถาอาคม ไปนอนวัด นอนอาศรม นอนภู ปี 3 ปี 4 มีโอกาสลงพื้นที่ในวิชาคติชนวิทยา ภายหลังสิ่งเหล่านี้ช่วยในเรื่องการอ่านการวิเคราะห์สังคม ใช้เป็นทักษะเข้าสังคมในการคุยกับชาวบ้าน
ตอนเรียนจบปี 2556 งานแรกที่ทำใฝ่ฝันไว้หลายอย่าง ทั้งนักเขียน ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่บ้านก็คาดหวังให้เป็นครู แม้แต่อบรมขายประกันก็เคยไป ก่อนเจอโรงเรียนภูเขียวประกาศรับสมัครครูเลยไปสมัคร ได้ทดลองสอน จึงได้งานนั้นและสอนอยู่ 1 เทอม ก่อนลาออกเพราะช่วงนั้นเงินเดือนและคุณภาพชีวิตไม่ดี

อีกสาเหตุเพราะอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโทรชวนให้มาเรียนต่อปริญญาโท สาขาวิชาปรัชญา ระหว่างนั้นมีคนติดต่อให้ไปติวภาษาไทยในช่วงก่อนสอบ การเริ่มต้นชีวิตติวเตอร์ตอนนั้นคือ เตรียมชีท ดูแนวข้อสอบเก่า โดยมีโรงเรียนสังขะ จ.สุรินทร์ คือที่แรก ๆ ที่ไปสอน
พอสอนแล้วรู้สึกสนุก ทำได้ดี จึงเริ่มมีคนจ้างเยอะ ระหว่างว่างจากการติวและการเรียนปริญญาโทไม่กี่เดือน ครูใหญ่เคยไปสอนที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เริ่มสอนเรื่องข้อถกเถียงทางสังคมทำให้ถูกเพ่งเล็ง และถูกมองว่าสนิทสนมกับเด็กเกินไปเด็กจะไม่เคารพ จึงถูกเชิญออก ก่อนกลับมาสอนโรงเรียนเอกชนในขอนแก่น และกลับมายึดอาชีพติวเตอร์เมื่อฤดูกาลสอบวนเวียนมาอีกครั้ง
จนงานติวเตอร์เริ่มบูมมากขึ้น รายได้เข้ามาสูง จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนและลาออกจากการเรียนปริญญาโท ทั้งที่จบคอร์สเวิร์คและสอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ไว้แล้ว เป็นติวเตอร์เต็มตัว ตั้งแต่ปี 2557 ช่วงที่มีรายได้เยอะ ๆ คือช่วงเดือนตุลาคม – เมษายน ช่วงพีค ๆ เดือนตุลาคม มี 31 วัน “ผมทำงาน 50 วัน ตีว่าวันนึง 6,000 บาท สอนวันละ 6 ชั่วโมง 09.00-16.00 คิดเป็น 1 วัน แต่ตุลาฯ เป็นช่วงเตรียมสอบ จึงรับได้หลายทาง และมีสอนตอนเย็นด้วยถึงเที่ยงคืน”
ครูใหญ่กล่าวถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเป็นติวเตอร์ ไปสอนมาครบแล้ว 77 จังหวัด ได้วันละ 6,000-10,000 บาท งานจะมาแบบนี้ไปจนถึงกุมภาพันธ์ เดือนมีนาคม – เมษายน เป็นช่วงซัมเมอร์ก็มีประปราย จากนั้นเปิดเทอมช่วงมิถุนายน – กันยายน จะมีน้อยมาก นอกจากงานติวโชว์ หรือติวตามวาระการสอบ เช่น สอบเข้าตำรวจ ทหาร หรือการสอบ กพ.
จนมาถึงปี 2563 เริ่มมีโควิดระบาดทำให้ไม่มีงาน เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไปชุมนุมทางการเมือง จนสถานการณ์คลี่คลายงานก็เริ่มกลับมา แต่เขาเลือกที่จะรับเฉพาะงานที่เหมาะสม ไม่ขัดกับการทำงานกับพรรคการเมือง
.
“อยากให้คนจดจำเท่าที่อยากจำ ผมเป็นของผมแบบนี้”
“ต้องไม่เอานโยบายรัฐบาลไปผูกขาดสัมปทานโรงงานปูนแถวสระบุรี ระเบิดภูเขาหายไปเป็นลูก ถ้าไม่ใช่กษัตรย์จะใช่ใคร ต้องจำกัดงบประมาณของกษัตริย์” ส่วนหนึ่งของถ้อยปราศรัยหน้า สภ.ภูเขียว อันนำมาสู่การเป็นจำเลยคดีมาตรา 112 ของครูใหญ่ครั้งนี้
เมื่อย้อนไปราว ๆ 20 กว่าปีที่แล้ว ที่บ้านน้ำอ้อม อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ชุมชนที่เกิดและอาศัยอยู่ ครูใหญ่สังเกตเห็นผู้นำชุมชนสมัยนั้น เรียกกันว่าสหาย เพราะเคยไปอยู่ในป่าดงมูล ในฐานะอดีตแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ หลายครั้งที่เดินผ่านก็ไปนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน ถกเถียงแนวคิดทางการเมือง ที่มารู้ตอนหลังว่าคือ Communist manifesto แม้แต่คนสนิทบางคนก็มารู้ทีหลังว่าเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์ เนื่องจากอำเภอกระนวนเป็นพื้นที่สีแดง ชาวบ้านตื่นตัวทางการเมืองสูง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในดง เรียกกันว่า ขาดง

“พอมาช่วงเสื้อแดงปี 52-53 คนเสื้อแดงที่นี่เยอะ ทั้งแดงอุดมการณ์ แดงหัวคะแนน แดงเขาพาไป แดงไปเอง แดงคอมมิวนิสต์ แดงรักทักษิณ มีหมด มาเข้าใจตอนหลังว่าเขาต่อสู้ทางการเมืองมาตลอด มีอะไรเขาก็เข้าร่วมหมด”
กับคนการเมืองที่ชื่นชอบ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เป็นชื่อแรก ๆ ที่ปรากฏในความทรงจำในวันเวลานั้น จากนโยบายที่ทำให้สังคมมีความหวัง ‘อดิศร เพียงเกษ’ เป็นไอดอลนักการเมืองอีกคนที่ครูใหญ่ถือเป็นความภูมิใจของคนขอนแก่น พูดดี ปราศรัยดี มีชื่อหนึ่งที่ได้ยินตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่เคยเจอตัว คือ ‘แคล้ว นรปติ’ ที่พยายามค้นหาทั้งภาพทั้งวิดีโอ ยังไม่เจอ มีแต่คนพูดถึงวิธีการทำงานที่ได้ใจชาวบ้าน แคล้วจึงเป็นครูทางการเมืองโดยที่ไม่เคยเจอหน้า
รูปแบบปราศรัยของครูใหญ่ก็ใช้วิธีเดียวกับสอนหนังสือ ทั้งน้ำเสียงและวิธีการพูดโน้มน้าว หากจะย้อนไปในรูปแบบวิธีการ สมัยเรียนมัธยมครูนำเข้าเนื้อหาแบบไหน เขาก็นำแบบอย่างที่ดีมาใช้
โดยไม่ปฏิเสธการทำงานการเมือง ครูใหญ่เคยสนใจลงการเมืองระดับท้องถิ่นในนามพรรคอนาคตใหม่ คิดว่าทำควบคู่ไปกับการเป็นติวเตอร์ได้ กระทั่งมีการยุบพรรคในปี 2562 ทำให้ที่สิ่งวาดหวังสะดุดลง ในห้วงนั้นมีชุมนุมที่ไหนเขาก็ตามไปดูที่นั่น ทำให้เริ่มรู้จักคนในแวดวงนักกิจกรรมทั้งเก่าและใหม่
จนวันหนึ่งมีนักกิจกรรมกรุงเทพฯ ติดต่อมา ให้ช่วยหาคนไปพูดในการชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 เมื่อหาใครไม่ได้ ครูใหญ่จึงตัดสินใจขึ้นเวทีเอง แต่กลายเป็นการแจ้งเกิดโดยไม่ตั้งใจ “อยู่ ๆ กลายเป็นดาวปราศรัยที่คนคิดถึงเรา เราอาจไม่ได้ถูกมองให้เป็นดาวเด่นในด้านเนื้อหา แต่จะถูกจัดให้อยู่ช่วงกลาง ๆ ที่คนวุ่นวาย ต้องเอาคนให้อยู่ ถึงวันหนึ่งจังหวะที่อานนท์ เพนกวิน เข้าคุก จึงต้องออกมาเป็นตัวหลัก”
ตั้งแต่ถูกแจ้งข้อหาคดี ‘112’ คดีแรก จากการอ่านแถลงการณ์ที่หน้าสถานทูตเยอรมัน จนมาถึงคดีที่หน้า สภ.ภูเขียว หรือคดีจากการแสดงออกทางการเมืองอื่น ๆ เขายังไม่เคยเข้าเรือนจำเลยสักครั้ง แต่หากจะต้องเข้าเรือนจำจากคำพิพากษาในคดีนี้ เขาก็เตรียมตัวเตรียมใจมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2563 “อย่างแรกไปทำเลสิค ตอนนี้ไม่สายตาสั้นแล้ว แต่กันแดดกันลม กันแสงเวลาออกกล้องด้วย เพราะถ้าอยู่ในนั้นน่าจะยุ่งยาก สองเคลียร์เรื่องภาระหนี้สินต่าง ๆ ทำให้เบาบางที่สุด”
ส่วนร้านอาหาร ไคอยู่ คูลบาร์ ที่เขาเป็นเจ้าของกิจการ เกิดจากการไม่มีงานประจำ ซึ่งหากไปทำตำแหน่งทางการเมืองก็มีรายได้น้อยกว่าที่เคยได้รับ แล้วคงไม่มีพรรคการเมืองไหนมีเงินจ้างในอัตราที่เคยหาได้ การเปิดร้านทำให้ไปทำอย่างอื่นได้ สำหรับครูใหญ่หากต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ “ก็วางระบบไว้แล้วว่าใครจะมาทำต่อ ถ้าได้ติดคุกจริงหากทีมงานจะขายร้าน ก็ขายไป หรือจะเซ้งเอาเงินใส่บัญชีให้ผมไว้ กลับออกมาจะเปิดร้านใหม่”
ถึงที่สุดกับชีวิตที่ผ่านมา หากต้องเข้าไปใช้ชีวิตในโลกสี่เหลี่ยม ชายวัย 34 ปี ไม่มีเรื่องเสียใจที่ยังไม่ได้ทำ มีแต่ความกังวลถึงความไม่สบาย ที่เคยมีแอร์ มีที่นอนนุ่ม ๆ พลันจินตนาการว่าจะไปนอนในนั้นได้ยังไง ถ้าชีวิตที่คุ้นเคยจะหายไป “มองในแง่หนึ่งคิดซะว่าไปบวชไปอบรม ถือศีลชั่วคราว สีเสื้อผ้าคนคุกก็เหมือนสีผ้าพระ ถือซะว่าอยู่ในวัดที่มีคณะสงฆ์วินัยเคร่งครัดเฉย ๆ”
ส่วนภาพที่อยากให้จำในวันที่อาจไร้อิสรภาพชั่วคราว เขาเล่าว่า เคยมีคนบอกให้เขาวางตัวให้น่าเชื่อถือกว่านี้ ขี้เล่นให้น้อยกว่านี้ “เราก็ถามว่า คนเขาชอบเราเพราะเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ก็อยากให้คนจดจำเท่าที่อยากจำ ผมเป็นของผมแบบนี้ ถ้าไม่สนุกจะไม่ทำ”
ดูฐานข้อมูลคดี
คดี 112 “ไผ่-ครูใหญ่-ไมค์” หลังปราศรัยหวังให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หน้า สภ.ภูเขียว