ฟ้อง ม.112-116 “ครูใหญ่-ไผ่-ไมค์” ปราศรัยหน้า สภ.ภูเขียว เรียกร้องสถาบันกษัตริย์ปรับตัว ก่อนครูใหญ่ได้ประกันตัว

28 ม.ค. 2565 ‘ครูใหญ่’ อรรถพล บัวพัฒน์ เดินทางไปสำนักงานอัยการจังหวัดภูเขียว จ.ชัยภูมิ ในนัดรายงานตัวเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล หลังอัยการมีคำสั่งฟ้อง ‘ไผ่’ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, อรรถพล บัวพัฒน์ และ ‘ไมค์’ ภาณุพงศ์ จาดนอก ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาด้วยการใช้เครื่องขยายเสียงฯ จากการชุมนุม #ราษฎรออนทัวร์ ของกลุ่ม “ราษฎร” บริเวณหน้าโรงเรียนภูเขียวและหน้า สภ.ภูเขียว เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 

>>หนัก!! ตำรวจดำเนินคดีผู้ชุมนุมแทบทุกราย ไม่เว้นนักเรียน-เยาวชน 15 ปี หลังชุมนุมหน้า สภ.ภูเขียว เรียกร้องตำรวจขอโทษ 

เวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการแจ้งให้อรรถพลและทนายความไปที่ศาลเพื่อยื่นฟ้อง และทำเรื่องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อไป

จิตรปรีดี สกุลเสาวภาค พนักงานอัยการจังหวัดภูเขียว บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 จําเลยทั้งสามกับพวกซึ่งได้แยกดําเนินคดีต่างหากแล้ว ได้ร่วมกันจัดเวทีปราศรัยและเล่นดนตรีผ่านเครื่องขยายเสียง บริเวณหน้าโรงเรียนภูเขียว จากนั้นเคลื่อนขบวนนําผู้ชุมนุมดังกล่าวไปหน้าสถานีตํารวจภูธรภูเขียว โดยผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่รักษาระยะห่าง และไม่มีกระบวนการคัดกรองตามมาตรการควบคุมโรค ในเขตพื้นที่เฝ้าระวังสูงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ 

คำฟ้องระบุต่อเนื่องว่า จตุภัทร์ อรรถพล และภาณุพงศ์ ได้ใช้เครื่องขยายเสียงปราศรัยบนเวทีแก่ผู้เข้าร่วมชุมนุม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 

สำหรับข้อหาตามมาตรา 112 อัยการฟ้องว่า จําเลยที่ 1 (จตุภัทร์) หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ด้วยการขึ้นกล่าวปราศรัยว่า “ปัญหาของสังคมไทยที่ยาวนานก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ กษัตริย์ไทยนี้รวยที่สุด แต่ประชาชนจนที่สุด ในยาม วิกฤตกษัตริย์ไม่เคยมาเยียวยา ไม่เคยมาดูแลประชาชน” 

และ “ตั้งแต่รัชกาลที่ 10 ขึ้นบัลลังค์มา… ปัญหารัฐธรรมนูญ 2560 ที่ต้องฟังเสียงประชามติของประชาชนก็ไม่ได้เกิดขึ้น หลังจากประชามติเดือนสิงหาคม 2559 ผ่านพ้นแล้ว พระมหากษัตริย์คนใหม่ แก้กฎหมายทั้งที่ไม่ผ่านประชามติ นี้แหละครับคือเหตุผลหนึ่ง ที่เราต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้มันอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ…” 

จําเลยที่ 2 (อรรถพล) ขึ้นกล่าวปราศรัยว่า “ต้องไม่เอานโยบายรัฐบาลไปผูกขาดสัมปทานโรงงานปูนแถวสระบุรี ระเบิดภูเขาหายไปเป็นลูก ถ้าไม่ใช่กษัตรย์จะใช่ใคร ต้องจำกัดงบประมาณของกษัตริย์” 

จําเลยที่ 3 (ภาณุพงศ์) ขึ้นกล่าวปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์และการศึกษาไทยว่า การสอนให้เด็กนักเรียนเทิดทูนกษัตริย์ที่… (คำวิจารณ์) ถือเป็นการหลอกลวง 

คำฟ้องระบุว่า ข้อความที่ทั้ง 3 คนปราศรัยนั้น เป็นความเท็จ เป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง โดยจําเลยทั้งสามมีเจตนาทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ 

ครูใหญ่ อรรถพล

โดยขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” 

นอกจากนี้คำฟ้องยังกล่าวว่า จําเลยทั้งสามกับพวกได้กล่าวคําปราศรัยบนเวที และไลฟ์สดทางเฟซบุ๊ก ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ มีสาระสําคัญโจมตีการทํางานของรัฐบาล เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระทําการจาบจ้วง หมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ซึ่งมิใช่เป็นการกระทําภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต โดยมีเจตนาบิดเบือนใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ และบิดเบือนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 

และจําเลยทั้งสามกับพวกยังติดป้ายผ้าหน้าสถานีตํารวจภูธรภูเขียว มีข้อความว่า “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” “ผูกขาดวัคซีนหาซีนให้เจ้า” “ประยุทธ์ออกไป” “ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” อันเป็นการปลุกปั่น ยุยง ประชาชนให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เคลือบแคลงสงสัยในพระมหากษัตริย์ และการบริหารงานของรัฐบาล ถึงขนาดที่จะไปชุมนุมกดดันให้นายกฯ ลาออก และขู่เข็ญหรือบังคับพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้ประชาชน อันจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร เป็นเหตุให้ประชาชนที่ได้รับฟังคําปราศรัยดังกล่าว ตะโกน โห่ร้อง ปรบมือสนับสนุน อันเป็นการทําให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน 

ท้ายคำฟ้อง อัยการไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย โดยให้อยู่ในดุลพินิจของศาล แต่ขอให้เพิ่มโทษจตุภัทร์กึ่งหนึ่ง อ้างเหตุว่าจตุภัทร์เคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจําคุก 2 ปี 6 เดือน ในความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ในคดีของศาลจังหวัดขอนแก่น โดยพ้นโทษยังไม่ถึง 3 ปี ได้กลับมากระทําผิดในคดีนี้ซึ่งเป็นฐานความผิดเดียวกันอีก และขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยทั้งสามในคดีนี้ต่อจากคดีอื่นๆ ทั้งยังขอให้ริบป้ายผ้า 7 ผืน ซึ่งตำรวจยึดไว้เป็นของกลางด้วย

อัยการยังแนบคำปราศรัยของทั้ง 3 คน ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถอดเทปมาท้ายคำฟ้องด้วย 

เมื่อไปถึงห้องพิจารณาคดี ผู้พิพากษากล่าวย้ำกับอรรถพลว่า คดีนี้อัยการยื่นฟ้องแล้ว ก่อนอ่านและอธิบายคำฟ้องให้ฟัง จากนั้นกล่าวว่า ถ้าอยากได้รับการปล่อยตัวก็ให้ทนายไปยื่นประกันตัวมา และให้ตำรวจควบคุมตัวอรรถพลไปไว้ที่ห้องควบคุมใต้ถุนศาล  

ต่อมา พัฒนะ ศรีใหญ่ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดีโดยใช้ตำแหน่งของ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เป็นหลักประกัน ระบุเหตุผลว่า เป็นหลักประกันที่มีจํานวนสูงและมีความน่าเชื่อถือว่า จําเลยจะไม่หลบหนีหรือไปก่อภยันตรายประการอื่น อีกทั้งจําเลยมีภูมิลําเนาที่แน่นอน มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง กล่าวคือทําอาชีพเป็นติวเตอร์สอนหนังสือ และไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี  

วันชุมนุม 1 ก.พ. 2564 หน้าสภ.ภูเขียว

ก่อนที่เวลา 14.20 น. ศาลจังหวัดภูเขียวจะมีคำสั่งให้ประกันครูใหญ่ อรรถพล โดยใช้ตำแหน่ง ส.ส.ตามที่ยื่นคำร้อง หากผิดสัญญาประกันให้ปรับ 200,000 บาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกับที่ถูกฟ้องนี้อีก และในวันที่ 2 ก.พ. 2565 ศาลนัดให้ครูใหญ่ไปที่ศาลอีกครั้ง เนื่องจากจะเบิกตัวจตุภัทร์และภาณุพงศ์ซึ่งถูกขังอยู่ในคดีอื่น ผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่ออ่านและอธิบายคำฟ้องให้ทั้งสองฟัง พร้อมทั้งยืนยันตัวว่า จตุภัทร์และภาณุพงศ์เป็นบุคคลที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องหรือไม่ 

ภายหลังได้รับการปล่อยตัว ครูใหญ่กล่าวถึงคดีนี้ว่า เขาถูกฟ้องอย่างไม่สมเหตุสมผล เพียงเพราะต้องการปราศรัยให้สถาบันกษัตริย์ปรับตัวเข้ากับสังคมไทยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามที่ถูกฟ้อง นอกจากนี้ การชุมนุมในวันดังกล่าว เขาไปเข้าร่วมแค่ในช่วงเย็นที่หน้า สภ.ภูเขียว ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมที่หน้าโรงเรียนภูเขียวตามที่ทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการกล่าวอ้างในสำนวน 

ทั้งนี้ในส่วนคำปราศรัยของอรรถพลที่ถูกหยิบยกมาฟ้อง มีข้อสังเกตว่า อัยการบรรยายในคำฟ้องว่า “ต้องกำจัดงบประมาณของกษัตริย์” แต่ในเอกสารถอดเทปคำปราศรัยที่แนบมาท้ายคำฟ้อง ระบุข้อความในส่วนนั้นว่า “ต้องจำกัดงบประมาณของกษัตริย์” ซึ่งมีความหมายแตกต่างกันอย่างมาก โดยถ้อยคำในคำฟ้องมีความหมายในทางเป็นโทษต่อจำเลยที่ถูกฟ้อง

สำหรับการชุมนุมหน้า สภ.ภูเขียว เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 กลุ่ม “ราษฎร” จัดการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจ สภ.ภูเขียว ขอโทษ กรณีไปคุกคามนักเรียนที่บ้าน จากการลงชื่อสมัครเข้าร่วมค่าย “ราษฎรออนทัวร์” ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 หลังการชุมนุม นอกจากผู้ชุมนุมจะไม่ได้รับการตอบสนองข้อเรียกร้องจากตำรวจ สภ.ภูเขียว แล้ว ยังถูกดำเนินคดีรวม 26 ราย โดยเป็นเยาวชนอายุ 15 ปี 1 ราย และ 18 ปี อีก 1 ราย 

ในส่วนของนักกิจกรรมอีก 23 ราย ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ คดียังอยู่ในการพิจารณาของอัยการ โดย 11 ราย อัยการมีคำสั่งฟ้องแล้ว และนัดรายงานตัวเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดภูเขียวในวันที่ 10 ก.พ. 2565

.

ดูฐานข้อมูลคดี

คดี 112 “ไผ่-ครูใหญ่-ไมค์” หลังปราศรัยหวังให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หน้า สภ.ภูเขียว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

ไผ่-ครูใหญ่ โดน ‘112’ หลังปราศรัยหวังให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในการชุมนุม #ราษฎรออนทัวร์ หน้า สภ.ภูเขียว

แจ้ง 112 “ไมค์” คดีที่ 9 หลังปราศรัยหน้า สภ.ภูเขียว วิจารณ์การสอนเรื่องกษัตริย์ในโรงเรียน

X