วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 13.00 น. ที่สน.ทุ่งมหาเมฆ 4 ผู้ได้รับหมายเรียกเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์”, มาตรา 116 “ยุยงปลุกปั่น” และมาตรา 4 ของพ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ
ผู้ได้รับหมายเรียกครั้งนี้ ได้แก่ รวิสรา เอกสกุล, สุธินี จ่างพิพัฒนวกิจ, “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ และแอน (นามสมมติ) ทุกคนยกเว้นอรรถพลไม่เคยได้รับหมายเรียกมาตรา 116 มาก่อน ส่วนอรรถพลเคยเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 63
>> ตร.แจ้งข้อหาม.116 “ครูใหญ่” เหตุปราศรัยหน้าสถานทูตเยอรมัน ขอกษัตริย์อยู่ใต้รธน.
เหตุของคดีนี้มาจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 63 ที่บริเวณหน้าสถานทูตเยอรมนีเพื่อขอให้รัฐบาลเยอรมนีตรวจสอบการใช้อำนาจของกษัตริย์ไทยในอาณาเขตของประเทศเยอรมนี ในวันนั้น มีประชาชนเข้าไปยื่นหนังสือและอ่านแถลงการณ์ภาษาไทย อังกฤษ และเยอรมัน ซึ่งเป็นที่มาของพฤติการณ์หลักเพื่อดำเนินคดีนี้ในเวลาต่อมา
ก่อนทั้ง 4 คนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา เวลาประมาณ 12.30 น. มีนิสิต ศิษย์เก่า และอาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กว่า 30 คน มารอให้กำลังใจที่หน้าสน.ทุ่งมหาเมฆ ทั้งยังมีการชูป้ายรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา 112 และขอให้ #ช่วยน้องเรา เนื่องจากมีนิสิตและศิษย์เก่าจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ถูกดำเนินคดีจากการอ่านแถลงการณ์หน้าสถานทูตเยอรมนีและมารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้
ประมาณ 13.00 น. อรรถพลเดินทางมาถึงสน.ทุ่งมหาเมฆ โดยสวมหมวกไดโนเสาร์สีส้ม ประกาศว่าวันนี้รับทราบ “ข้อกล่าวหาไดโนเสาร์” หรือข้อหามาตรา 112 และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ก่อนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาและสอบคำให้การ
พ.ต.ท.ประจำ หนุนนาค รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สน.ทุ่งมหาเมฆ และพ.ต.ท.อาวุธ แก้วมณี สารวัตร (สอบสวน) สน.ทุ่งมหาเมฆ พนักงานสอบสวนแจ้ง 3 ข้อหาแก่ประชาชนทั้ง 4 คน ไดแก่
- มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ”
- มาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ยุยงปลุกปั่น”
- มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493
ทั้ง 3 ข้อหานี้เป็นข้อหาเดียวกันกับที่พนักงานสอบสวนแจ้งประชาชนและนักศึกษาทั้ง 9 คนที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในกรณีเดียวกันเมื่อวานนี้ ส่วนพฤติการณ์คดีนั้นมีเนื้อหาเหมือนกับบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาประชาชนอีก 9 คนทุกประการ โดยมีใจความ ดังนี้
“เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนของแถลงการณ์เป็นการใส่ความพระมหากษัตริย์ ทำให้พระองค์เสื่อมพระเกียรติและมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ว่ากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ ดังนั้นข้อความปรากฎในแถลงการณ์ถือว่าเป็นการจาบจ้วงล่วงเกิน ปลุกเร้าให้ผู้ชุมนุมและประชาชนที่ผ่านไปมา มีความรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งหวังให้ประชาชนฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิดกฎหมายของแผ่นดินที่บัญญัติไว้เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จนเป็นเหตุให้ประชาชนแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย ก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นในประเทศ และอาจก่อให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนในแถบนั้นจนถึงขั้นก่อความไม่สงบได้”
>> แจ้งข้อหา ม. 112 ปชช.-น.ศ.-นักกิจกรรม 9 ราย ผู้อ่านแถลงการณ์หน้าสถานทูตเยอรมนี
ระหว่างการสอบคำให้การ อาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันจะก่อให้เกิดความยุยงปลุกปั่นได้อย่างไรในเมื่อผู้รับสารนั้นเป็นคนไทย พร้อมเสริมว่าการรับรู้ของผู้รับสารหรือผู้ฟังแถลงการณ์อาจมีความแตกต่างกันออกไป ทั้งยังทวงถามว่าสามารถเชื่อคำแปลที่พนักงานสอบสวนแปลแถลงการณ์จากภาษาเยอรมันเป็นไทยได้หรือไม่
หลังพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ทั้ง 4 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือภายใน 30 วัน ด้านพนักงานสอบสวนนัดหมายส่งสำนวนให้อัยการวันที่ 7 ม.ค. 64 เช่นเดียวกับกลุ่มประชาชนที่เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาไปเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 63
การสอบสวนเสร็จสิ้นเวลา 15.30 น. ซึ่งประชาชนยังคงจับกลุ่มให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีบริเวณหน้าสน.ทุ่งมหาเมฆอย่างเนืองแน่น และเมื่อประชาชนทั้ง 4 คนเดินออกมาจากห้องสอบสวน ประชาชนปรบมือให้กำลังใจและตะโกน “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” ในภาษาไทยและภาษาเยอรมัน
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีผู้ถูกดำเนินจากกรณีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีทั้งสิ้น 13 คน แบ่งเป็นนักศึกษาทั้งหมด 5 คน ทั้งยังมีประชาชนที่ไม่เคยออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี
ทั้งนี้ ยังต้องจับตาว่าแนวทางการดำเนินคดีมาตรา 112 ในช่วงเวลานี้จะเป็นอย่างไร แม้ศาลจะไม่ได้อนุมัติหมายจับตามที่พนักงานสอบสวนร้องขอ แต่ยังต้องจับตาการดำเนินคดีในชั้นอัยการและชั้นศาลต่อไป