กลไกพิเศษ UN ได้รับคำร้องเรียน 9 นักกิจกรรมชาวมุสลิมถูกดำเนินคดีอาญาจัดกิจกรรมมลายูรายา 2022 จ.ปัตตานี

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (Civil Society Assembly For Peace: CAP), มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม (Muslim Attorney Centre Foundation: MAC) และกลุ่มด้วยใจ ยื่นคำร้องเรียน (communication) ต่อกลไกพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติ หรือ UN Special Procedures  เพื่อรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินคดีนักกิจกรรมชาวมุสลิมจากการจัดกิจกรรมมลายูรายาในปี 2565 (Melayu Raya 2022)

โดยองค์กรข้างต้น ได้ส่งคำร้องไปทั้งหมด 6 กลไกพิเศษของ UN ได้แก่

  1. ผู้รายงานพิเศษเรื่องการต่อต้านการก่อการร้ายและสิทธิมนุษยชน (Special Rapporteur on Counter-Terrorism and Human Rights)
  2. ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก (Special Rapporteur on the Freedom of Opinion and Expression)
  3. ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการรวมกลุ่ม (Special Rapporteur on the Freedom of Peaceful Assembly and of Association)
  4. ผู้รายงานพิเศษเรื่องสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Special Rapporteur on the Situation of Human Rights Defenders)
  5. ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพทางศาสนาและทางความคิด (Special Rapporteur on Freedom of Religion or Belief)
  6. ผู้รายงานพิเศษเรื่องชนกลุ่มน้อย (Special Rapporteur on Minority Issues)

เครดิตภาพจาก Wartani

ก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ เดิมทีในปี 2557 การจัดกิจกรรมการแต่งชุดมลายู ในวันฮารีรายอ (วันเฉลิมฉลองศาสนาอิสลาม) ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนา ได้มีการจัดกันมาก่อนแล้วในกลุ่มเล็กๆ ภายใต้ชื่อกลุ่ม สายบุรีลุคเกอร์ (Saiburi Looker) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ฟื้นฟูการแต่งกายตามวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น รวมถึงเปิดโอกาสให้กับกลุ่มเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มีพื้นที่สาธารณะในการแสดงออกทางวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ และรณรงค์ให้กลุ่มเยาวชนในรุ่นต่อไปได้รับรู้และเข้าใจถึงความเป็นมาในอดีต รวมทั้งวัฒนธรรม ประเพณีที่สวยงามของบรรพบุรุษ 

ช่วงเริ่มต้นของการจัดกิจกรรมนี้จะเน้นสื่อสารการรณรงค์สวมใส่ชุดมลายู-มุสลิม ผ่านช่องทางสื่อในโซเชียลมีเดียเป็นหลัก แม้จะยังไม่เป็นที่นิยมจากคนในพื้นที่มากนัก แต่ก่อให้เกิดความตื่นตัว และกระแสการรับรู้ต่อสาธารณะได้พอสมควร

จนกระทั่งในปี 2559 – 2562 สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (Civil Society Assembly For Peace: CAP) เล็งเห็นว่าความเป็นมาและรากเหง้าของประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นประเด็นสำคัญบนใจกลางของความขัดแย้งมายาวนาน แต่ในอดีตที่ผ่านมามักจะประสบปัญหากับภาครัฐในเรื่องการใช้เสรีภาพในการแสดงออกในพื้นที่ ดังนั้น การจัดกิจกรรมสนับสนุนในประเด็นทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ในท้องถิ่น จึงเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมเพื่อให้คนในพื้นที่เห็นคุณค่าและให้ความสำคัญ และจำต้องลดทอนความรู้สึกหวาดระแวงของประชาชนในพื้นที่ต่อภาครัฐ เพราะการใช้สิทธิในเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนสามารถแสดงออกได้โดยไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย และรัฐควรที่จะส่งเสริม สนับสนุนและฟื้นฟู อย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า รัฐเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างแท้จริง

หลังจากนั้นทางสมัชชาฯ CAP จึงได้เริ่มจัดกิจกรรม ผ่านการเชิญชวนให้คนในชุมชนร่วมกันรณรงค์ใส่ชุดมลายูในวันเฉลิมฉลองอีฏิลฟิตรี (วันสิ้นสุดช่วงเทศกาลถือศีลอด เดือนรอมฎอน) และอีฏิลอัดฮา (วันริเริ่มประกอบพิธีฮัจญ์) และนัดพบปะตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปและพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างกัน อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างปี 2563 ถึง 2564 ได้เกิดวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) จึงทำให้ทางสมัชชาฯ CAP ไม่สามารถที่จะจัดกิจกรรมได้เช่นเดียวกับปีที่ผ่าน ๆ มา แต่ยังมีการใช้สื่อในโซเชียลมีเดียถ่ายทอดเผยแพร่วัฒนธรรมการแต่งกายได้เฉพาะอยู่ในที่พักอาศัย 

เครดิตภาพจาก Wartani

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2565 สมัชชาฯ CAP ได้มีการจัดกิจกรรม Melayu Raya 2022 ณ หาดวาสุกรี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี หลังได้ว่างเว้นการจัดกิจกรรมมาแล้วกว่า 2 ปี ผ่านชื่อโครงการ “ส่งเสริมและฟื้นฟูการแต่งกายชุดมลายูตามวัฒนธรรม จารีต ประเพณีและความเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่นในพื้นที่ชายแดนใต้” และมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ

  1. เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ฟื้นฟูการแต่งกายตามวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. เพื่อเปิดโอกาสให้กับกลุ่มเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มีพื้นที่สาธารณะในการแสดงออกทางวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์
  3. เพื่อรณรงค์และหนุนเสริมบรรยากาศกระบวนการสร้างสันติภาพในพื้นที่

ในช่วงเช้าเป็นกิจกรรมรวมตัวแต่งกายชุดมลายู-มุสลิมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานส่วนมากแล้วเป็นเยาวชน จากนั้นผู้เข้าร่วมกิจกรรมทยอยเดินทางมารวมตัวที่หาดวากสุกรีเมื่อเวลา 14.00 น. 

ภายในงานนอกจากมีกิจกรรมรวมกลุ่มในการแต่งกายชุดมลายู-มุสลิมแล้ว ยังมีการโบกธงประจำหมู่บ้าน การแสดงสัญลักษณ์ “Save Palestine” การละหมาดอัซรี และการแสดงบนเวที เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ และร้องเพลงบนเวที ซึ่งเป็นกิจกรรมในเชิงสันทนาการ และเพื่อความสนุกสนานให้กับผู้มาร่วมงาน ทั้งนี้กิจกรรมเป็นไปในลักษณะของการรวมกลุ่มโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ และมีจุดประสงค์เพื่อแสดงออกทางอัตลักษณ์วัฒนธรรมมลายู-มุสลิมเท่านั้น

 

(ซ้าย) ภาพภายในงานมลายูรายา 2022 (Melayu Raya 2022) ได้มีการแสดงธงสัญลักษณ์ “Save Palestine”

(ขวา) ภาพกิจกรรมการละเล่นดนตรีและร้องเพลงภาษามลายูของกลุ่มเยาวชนและผู้เข้าร่วมกิจกรรม

เครดิตภาพจาก The Motive

(ซ้าย) การแสดงธงสัญลักษณ์ประจำหมู่บ้านของผู้เข้าร่วมกิจกรรม

เครดิตภาพจาก The  Motive

พิธีละหมาดริมหาดวาสุกรี จ.ปัตตานี

เครดิตภาพจาก The Motive

ก่อนที่จะมีการจัดกิจกรรม Melayu Raya 2022 ทางสมัชชาฯ CAP ได้แจ้งและได้มีการจัดการประชุมปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ไม่ว่าฝ่ายความมั่นคงอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค 4 สน.) รวมถึงหน่วยงานเทศบาลตำบลตะลุบัน ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลในพื้นที่

หลังจากการจัดกิจกรรมในวันที่ 4 พ.ค. 2565 ทางสื่อบางสำนักได้นำเสนอข่าววิพากษ์วิจารณ์ว่าการจัดงานของสมัชชาฯ CAP เป็นการปลุกระดมจากกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน และมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงพลังในการต่อต้านรัฐ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร และมีการประชุมเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในวันที่ 15 ก.ย. 2565 โดยมีบรรดาตัวแทนกลุ่มกิจกรรมร่วมพูดคุยหาทางออก เพื่อรองรับการจัดกิจกรรมในปีถัด ๆ ไป และชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานด้านวัฒนธรรมและความเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่น

เครดิตภาพ Wartani

ต่อมาวันที่ 14 ธ.ค. 2566 ผู้จัดงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรม Melayu Raya 2022 จำนวน 9 คน ได้รับหมายเรียกจากตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี เพื่อให้ไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 9 ม.ค. 2567 โดยหมายเรียกทั้ง 9 ได้ระบุข้อหาตามมาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) มาตรา 209 (อั้งยี่) และมาตรา 210 (ซ่องโจร) แห่งประมวลกฎหมายอาญา

วันที่ 9 ม.ค. 2567 ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 9 พร้อมทนายความ ญาติ ผู้สังเกตการณ์ รวมถึงองค์กรภาคประชาสังคม เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรปัตตานี ซึ่งใช้สถานีตำรวจภูธรสายบุรี จังหวัดปัตตานีเป็นสถานที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) มาตรา 209 (อั้งยี่) และมาตรา 210 (ซ่องโจร) แห่งประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งนี้ หลังรับทราบข้อกล่าวหา ผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ได้ให้การปฏิเสธ ต่อมาได้ส่งคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมเอกสารประกอบให้กับพนักงานสอบสวนในวันที่ 12 มี.ค. 2567

ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนระบุกล่าวหาว่า “ผู้ต้องหากับพวกได้มีการกล่าวถ้อยคำบนเวทีอันมีลักษณะยุยงปลุกปั่นและปลุกระดมว่ามีศัตรูมาทำลายชาติมลายูปาตานี ทำให้เสียเอกราช เยาวชนต้องรวมตัวกันทำให้หมดไปซึ่งการถูกกดขี่ข่มเหง การกล่าวถ้อยคำว่าวันรายอที่ 3 เป็นวันเยาวชนแห่งชาติปาตานี กิจกรรมร้องเพลงปลุกใจมีเนื้อหาทำนองให้เยาวชนร่วมกันปฏิวัติกอบกู้เอกราชปาตานี”

เครดิตภาพจาก The Motive

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ที่ถูกดำเนินคดีทั้ง 9 นั้นถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการกระทำที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการปราศรัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของพื้นที่ปาตานีของมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิและฮาซัน ยามะดีบุ การให้คำสัตย์ปฏิญาณต่อพระเจ้าในฐานะชาวมลายู-มุสลิมที่นำโดยอานัส ดือเระ  หรือแม้กระทั่งร้องเพลงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่ปาตานีที่นำร้องโดยซูกิปลี กาแม

คำร้องที่ส่งไปที่กลไกพิเศษ UN ได้ตั้งข้อสังเกตว่า บางคำถามที่พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนมีความไม่ชัดเจนว่ามีเกี่ยวข้องกับคดีหรือฐานความผิดในคดีนี้อย่างไร เช่น 

  • มีการติดธงชาติไทยในงานมลายูรายา 2022 หรือไม่
  • ก่อนเริ่มงานมีการร้องเพลงชาติไทยหรือเพลงที่สื่อถึงความรักชาติไทยหรือไม่
  • ผู้ต้องหาทราบหรือไม่ว่า ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แบ่งแยกไม่ได้ ผู้ต้องหามีความคิดเห็นอย่างไร

ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2567 พนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาต่อพนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี และมีความเห็นว่าควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 9 คน และพนักงานอัยการจึงนัดให้จำเลยไปรายงานตัวในวันที่ 28 ส.ค. 2567


ภาพการประชุมคณะกรรมการทหาร เครดิตภาพจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน, สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ,มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม และกลุ่มด้วยใจ เห็นว่าการดำเนินคดีต่อบุคคลดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการชุมนม และเสรีภาพทางศาสนาเพื่อให้มีการตรวจสอบโดยกลไกระหว่างประเทศ จึงส่งคำร้องเรียน เพื่อให้รัฐบาลไทยคำนึงและทบทวนตามข้อเรียกร้อง ดังนี้ 

  1. ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยุติการดำเนินคดีต่อบุคคลทั้ง 9 และ/หรือให้พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
  2. ให้รัฐบาลไทยยุติการดำเนินคดีภายใต้มาตรา 116 ต่อบุคคลที่ใช้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา ซึ่งได้รับการคุ้มครองภายใต้ข้อ 18 และ 27 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วนสิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR
  3. ให้รัฐบาลไทยมีการจัดการสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม และนำเจ้าหน้าที่ที่ได้กระทำความผิดมาเข้ากระบวนการยุติธรรม
  4. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณายกเลิกการบังคับใช้พ.ร.บ.กฎอัยการศึก และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกฎหมายพิเศษดังกล่าวได้ถูกบังคับใช้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาแล้วกว่า 20 ปีสำหรับพ.ร.บ.กฎอัยการศึก และกว่า 19 ปีสำหรับพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
  5. เรียกร้องให้รัฐบาลไทย รวมถึงทุกภาคส่วนในกระบวนการยุติธรรม คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและการแสดงความคิดเห็น ซึ่งได้รับการคุ้มครองภายใต้ข้อ 19 ของ ICCPR

รู้จักการใช้กลไกพิเศษขององค์การสหประชาชาติ (UN Special Procedures) 

กลไกพิเศษเป็นกลไกที่ใช้ง่ายและรวดเร็วที่สุดรูปแบบหนึ่งที่ผู้ร้องเรียนซึ่งต้องการความเร่งด่วนในการขอความช่วยเหลือต่อสหประชาชาติจะสามารถทำได้ทันที คือการส่งคำร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอิสระ (Independent Experts) ของ UN ในด้านต่าง ๆ ที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนได้แต่งตั้งเข้ามาผ่านการเสนอชื่อจากคณะทำงานของสหประชาชาติที่เฟ้นหาตัวผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศ  พวกเขาเหล่านี้จะทำงานโดยเป็นอิสระจาก UN กล่าวคือ สหประชาชาติจะไม่สามารถควบคุมประเด็นการสื่อสารของผู้รายงานพิเศษได้

กลไกพิเศษ (UN Special Procedures) เป็นกลไกติดตามสอดส่องและรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งในลักษณะสถานการณ์รายประเทศ หรือในรายประเด็น โดยบุคคลหรือคณะทำงานที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน กลไกพิเศษเหล่านี้ มีทั้งในรูปของผู้รายงานพิเศษ (Special Rapporteur) หรือคณะทำงาน (Working Group) ที่จะศึกษาติดตามปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเด็นที่อยู่ในการดูแล จัดทำรายงาน และข้อเสนอแนะต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน รวมทั้งยังสามารถรับข้อร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเด็นที่อยู่ในความดูแล โดยกลไกพิเศษจะกลั่นกรองข้อร้องเรียนต่าง ๆ หากเห็นว่ามีน้ำหนักก็จะส่งข้อร้องเรียนไปยังรัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับข้อมูลและคำชี้แจง ทั้งยังจะมีการเผยแพร่หนังสือของผู้รายงานพิเศษหรือคณะทำงาน และคำชี้แจงของรัฐต่อสาธารณะ ในเว็บไซต์ของสหประชาชาติอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม:
กระบวนการส่งคำร้องให้กลไกพิเศษ UN
ตร.สอบเพิ่มเติม 4 นักกิจกรรม คดีทหารกล่าวหา ม.116 เหตุอ่านประกาศคณะราษฎร ในกิจกรรมแห่ไม้ค้ำประชาธิปไตย

X