เขียนคำร้องผ่านกลไกพิเศษถึง UN ยังไงให้ได้เรื่องถึงหูนานาชาติ !

องค์การสหประชาชาติมีเสาหลัก 3 ประการ คือ การพัฒนา สิทธิมนุษยชน และสันติภาพและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งในบรรดา 3 เสาหลักกลไกลพิเศษแห่งสหประชาชาติ การยื่นคำร้องผ่านกลไกพิเศษจะอยู่ในส่วนงานของสิทธิมนุษยชน 

ทั้งนี้ องค์กรหลักของ UN จะประกอบไปด้วย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (Security Council – SC), สมัชชาใหญ่ (General Assembly – GA), คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Economic and Social Council – ECOSOC) และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (Human Rights Council – HRC)

 ซึ่งในการเขียนคำร้องส่งกลไกขององค์การสหประชาชาติ ผู้ร้องเรียนสามารถส่งคำร้องไปที่กลไกพิเศษ (Special Procedures) หรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ซึ่งสามารถออกความเห็นหรือหนังสือถึงรัฐบาลที่ถูกร้องเรียนว่าได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน

หลายคนคงสงสัยว่า เรื่องของสหประชาชาติจะเกี่ยวข้องยังไงในชีวิตประจำวันของเรา การยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาจำเป็นหรือไม่ อันที่จริงแล้ว การที่ประเทศไทยเข้าไปเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (human rights treaties) หลายฉบับทำให้ประเทศไทยมีพันธกรณีต้อง “เคารพ ปกป้อง และส่งเสริม” สิทธิมนุษยชนต่างๆ ภายใต้อนุสัญญาเหล่านี้

นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ในเวทีโลกของประเทศก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เนื่องจากสิทธิมนุษยชนเป็นคุณค่าที่นานาประเทศให้ความสำคัญและยึดถือในการบริหารจัดการประเทศ การมีปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ไม่ว่าจะได้มิติใด ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และการบริหารจัดการภายในของประเทศได้ อาทิเช่น การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ, เศรษฐกิจ, ความสัมพันธ์ทางด้านต่างๆ เป็นต้น

สมัชชาใหญ่ มีบทบาทอย่างมากใน 2 เรื่องใหญ่ ๆ คือการรับรองสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศสมาชิกให้การรับรองและเข้าให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคี และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนที่จัดตั้งขึ้นมาภายใต้สมัชชาใหญ่อีกทีหนึ่ง ซึ่งภายใต้คณะมนตรีฯ ก็คือทำรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน หรือที่รู้จักกันในนาม “UPR” และกลไกพิเศษ

แล้วอะไรบ้างล่ะ ที่ประเทศไทยมีส่วนร่วมกับทบาทของสมัชชาใหญ่ ถ้าเราพูดถึงตัวสนธิสัญญาของ UN ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน ยกตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. 2567 นี้ ประเทศไทยของเราได้ยื่นสัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance – ICPPED) เมื่อการลงนามเกิดขึ้น แปลว่าประเทศของเรามีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ โดยทำให้รัฐบาลต้องรับเอาอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการซ้อมทรมาน มาทำให้เกิดเป็นกฎหมายบังคับใช้ภายในประเทศ นั่นก็คือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

อีกกลไกหนึ่งภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน กับการรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review – UPR)  โดยปัจจุบันได้มีองค์กรที่ชื่อว่า UPR Info จัดทำเว็บไซต์ (https://upr.info/en) ในการรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนออกมาให้แต่ละประเทศได้ตรวจสอบและติดตามว่าเส้นเวลาในการส่งรายงาน UPR ครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และนอกจากนี้ยังสามารถดูข้อเสนอแนะ (recommendations)ของแต่ละประเทศที่เขาจะนำเอามาใส่ไว้ให้กับสถานการณ์ของประเทศไทยด้วยว่าเขาอยากให้เราสนใจแก้ปัญหา หรือจับตาสถานการณ์อะไรบ้าง ตลอดจนการตอบกลับของประเทศไทยที่มีต่อข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากประเทศอื่น ๆ ด้วย

ตัวอย่างเส้นเวลาการส่งรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
(https://upr.info/en/review/thailand)

อย่างไรก็ตามกลไก UPR เองก็มีข้อจำกัดในการเขียนรายงาน เนื่องจากกลไกดังกล่าวจะเกิดขึ้นให้มีการนำเสนอและรายงานได้เพียง 1 ครั้งในทุก ๆ  4 ปีครึ่ง เท่านั้น และกลไกนี้ก็มีปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผู้ให้ข้อเสนอแนะและประเทศที่ได้รับข้อเสนอแนะเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

 นอกจากนี้ ข้อเสนอแนะผ่านกลไก UPR ต่อประเทศไทยก็ไม่ได้มมีผลผูกมัดว่าประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตาม เนื่องจากข้อเสนอแนะดังกล่าวเองก็ไม่ได้มีพันธกรณีที่เป็นกฎหมายแต่อย่างใด

กลไกพิเศษเป็นกลไกที่ใช้ง่ายและรวดเร็วที่สุดรูปแบบหนึ่งที่ผู้ร้องเรียนซึ่งต้องการความเร่งด่วนในการขอความช่วยเหลือต่อสหประชาชาติจะสามารถทำได้ทันที คือการส่งคำร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอิสระ (Independent Experts) ของ UN ในด้านต่าง ๆ ที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนได้แต่งตั้งเข้ามาผ่านการเสนอชื่อจากคณะทำงานของสหประชาชาติที่เฟ้นหาตัวผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศ  พวกเขาเหล่านี้จะทำงานโดยเป็นอิสระจาก UN กล่าวคือ สหประชาชาติจะไม่สามารถควบคุมประเด็นการสื่อสารของผู้รายงานพิเศษได้

แล้วกลไกพิเศษรับร้องเรียนเรื่องอะไรบ้าง? กลไกนี้ครอบคลุมประเด็นทางสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง เช่น

  • ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก (Special Rapporteur on the Freedom of Opinion and Expression)
  • ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการรวมกลุ่ม (Special Rapporteur on the Freedom of Peaceful Assembly and of Association)
  • ผู้รายงานพิเศษเรื่องสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Special Rapporteur on the Situation of Human Rights Defenders)
  • ผู้รานยงานพิเศษเรื่องเสรีภาพทางศาสนาและทางความคิด (Special Rapporteur on the Freedom of Religion and Belief)
  • คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ (Working Group on Arbitrary Detention)
  • คณะทำงานเรื่องธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (Working Group on Business and Human Rights)

ปัจจุบัน รายชื่อและอีเมลของผู้รายงานพิเศษ สามารถค้นหาได้ผ่านทางเว็บไซต์ ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights – OHCHR)

 ตัวอย่างหน้าเว็บไซต์และรายละเอียดของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ 
(https://spinternet.ohchr.org/ViewAllCountryMandates.aspx?Type=™)
  •    ขั้นตอนก่อนเขียนคำร้อง / การประเมินสถานการณ์ก่อนเขียนคำร้อง
    การประเมินความเสี่ยงและความพร้อมของผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องรู้ตัวบุคคลผู้เสียหายทั้งชื่อ – นามสกุลจริง รายละเอียดการถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งต้องตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนว่าบุคคลดังกล่าวมีการถูกละเมิดสิทธิในด้านได้บ้าง โดยสามารถประเมินได้ ดังนี้

    1. ความยินยอมของผู้เสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน (Consent) สร้างแบบฟอร์มคำยินยอมให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ หากไม่มีความยินยอมจากผู้ถูกละเมิดสิทธิ การส่งคำร้องจะไม่สามารถทำได้

    2.ความยินยอมของการเผยแพร่ชื่อในแถลงข่าวทางสื่อสาธารณะ ผู้เสียหายจะต้องแสดงความยินยอมในแบบฟอร์มของ UN

    3.หากผู้ร้องเรียนหรือผู้เสียหายไม่สามารถดำเนินการเขียนคำร้องได้ด้วยตนเอง สามารถหาพันธมิตรหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องมาช่วยเขียนได้ โดยประเมินจากความสนใจและความเชี่ยวชาญขององค์กรนั้น ๆ ในบางกรณี การมีหลายองค์กรลงชื่อส่งคำร้องด้วยกันสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือของคำร้องที่เราจะส่งไปในกลไกพิเศษได้ด้วย

    4.การส่งคำร้องในกลไกพิเศษ จะต้องพิจารณาและประเมินความเสี่ยงของผู้เสียหาย ตลอดจนความรีบร้อนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนแค่ไหนที่จะใช้กลไกนี้ ควรมีการพูดคุยและประเมิณความเสี่ยงไปพร้อมกับผู้เสียหาย โดยคำถามหลักคือ การส่งคำร้องจะสร้างผลดีหรือผลเสียให้กับผู้เสียหายมากกว่ากัน


  • ขั้นตอนการเขียนคำร้อง
    –         รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวเนื่องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    1. เอกสารความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล ควรใช้ข้อมูลปฐมภูมิ ได้แก่ เอกสารทางคดี, การสัมภาษณ์ผู้เสียหายโดยตรง ไม่ควรใช้ ข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิง คำร้องที่อ้างอิงเฉพาะแหล่งข่าวสาธารณะจะไม่ได้รับการพิจารณาโดยกลไกพิเศษ2. ผู้ร้องเรียนต้องมีฐานข้อมูลที่เข้มแข็ง กล่าวคือ การเขียนคำร้องต้องมีข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างครบถ้วน หากเป็นไปได้ ควรมีสถิติการละเมิดสิทธิที่อ้างอิงได้ เช่น ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, The Patani หรือองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับเคสที่ใกล้เคียงกับผู้เสียหาย

    2.ผู้ร้องเรียนต้องมีฐานข้อมูลที่เข้มแข็ง กล่าวคือ การเขียนคำร้องต้องมีข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างครบถ้วน หากเป็นไปได้ ควรมีสถิติการละเมิดสิทธิที่อ้างอิงได้ เช่น ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, The Patani หรือองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับเคสที่ใกล้เคียงกับผู้เสียหาย

    –     กรอกแบบฟอร์มคำร้อง

    1. ใส่โลโก้องค์กร ใส่โลโก้ที่สนับสนุนการรายงานเคสที่เกิดขึ้น พร้อมอธิบายวัตถุประสงค์การทำงานขององค์กรแต่ละองค์กรอย่างสั้น

    2. เนื้อหาข้อเรียกร้อง ให้เขียน 2 เรื่อง คือ 1. อธิบายว่าผู้เสียหายคือใคร เกิดอะไรขึ้นกับผู้เสียหายบุคคลนั้น ๆ และ 2. ต้องการให้ทาง UN ทำอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยระบุอย่างชัดเจน เช่น ออกหนังสือถึงรัฐบาลไทยยุติการ ดำเนินคดี, คืนสิทธิประกันตัว เป็นต้น

    3. ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียหาย  คือ การอธิบายว่าบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิคือใคร ประวัติการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไร

    4. เหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชน คือ ให้อธิบายถึงเหตุการณ์ที่มีการละเมิดอย่างชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่น นายเอ ขึ้นเวทีปราศรัย โดยเขาได้กล่าวต่อหน้าสาธารณชนว่า… // ต่อมามีการถูกออกหมายเรียกให้ไปรายงานตัว…//และโดนแจ้งข้อกล่าวหา…  // และไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นพิจารณาคดี ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ที่… // แนะนำว่าให้เขียนให้อ่านง่ายที่สุด และกระชับ

    5. บริบทพื้นหลัง คือ อธิบายถึงปัญหาของข้อกฎหมาย หรือการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ใช้สถิติให้ผู้อ่านเห็นภาพโดยรวมของพื้นที่ที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อที่ทาง UN จะได้รับรู้สถานการณ์ และออกความเห็นต่อเคสให้ได้ครบถ้วนที่สุด

    6. กฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง คือ การใส่มาตรากฎหมายที่มีการใช้ดำเนินคดีกับผู้ถูกละเมิดสิทธิ สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่ามีการดำเนินคดีแบบนี้ในสถานการณ์เดียวกับเคสนี้มาแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่

    7. รายละเอียดในการติดต่อบุคคลหรือตัวแทนของบุคคล คือ เขียนชื่อผู้เสียหายและชื่อของผู้ที่เรียบเรียงคำร้อง พร้อมช่องทางการติดต่อผู้ที่เขียนคำร้อง เพราะอาจมีการติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม


  • ภาษาที่ใช้ในการเขียน
    1.เขียนเล่าเหตุการณ์แบบ 5W1H คือ ใคร (Who) ทำอะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไหร่ (When) ทำไม (Why) อย่างไร (How) และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับ

    2.อธิบายประเด็นในคำร้องนั้นคืออะไร มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับกลไก UN ที่เราใช้

  • การส่งคำร้องให้กับกลไกพิเศษ
    1.ปรึกษากับ OHCHR Bangkok ([email protected] )  ให้ช่วยประเมินว่าผู้รายงานพิเศษพร้อมดำเนินการเรื่องของเราได้หรือไม่ เพื่อให้เราประเมินจังหวะและช่วงเวลาการทำงานให้สอดคล้องกัน

    2. เลือกกลไกพิเศษที่เกี่ยวข้องกับคำร้องของเราว่าต้องการจะส่งให้ใคร แต่หากส่งหลายที่ อาจจะมีข้อเสีย คืออาจใช้เวลานานกว่าการใช้กลไกเดียว เพราะทุกกลไกจะต้องตรวจดูคำร้องของเราให้เสร็จก่อนส่งหนังสือถึงรัฐบาลไทย เพราะฉะนั้นผู้ร้องควรจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในการเลือกกลไก

    3.เข้าเว็บไซต์ของ UN ติดต่ออีเมล์ของผู้รายงานพิเศษที่เราต้องการติดต่อ และสำเนา (CC:) OHCHR Bangkok ([email protected]) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประจำประเทศไทยช่วยติดตามเรื่องให้อีกทางหนึ่ง

Download แบบฟอร์ม

X