ในวันที่ 23 ก.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นัดฟังคำสั่งคดี “ละเมิดอำนาจศาล” ของนักกิจกรรม 4 คน ได้แก่ “สายน้ำ” นภสินธุ์ (สงวนนามสกุล), “แบม” อรวรรณ (สงวนนามสกุล), “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ “วอน” (นามสมมติ) จากการถูกกล่าวหาว่าได้ตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่ศาลที่พยายามจะนำตัววอนไปที่ห้องพิจารณาคดีเพื่อไต่สวนในคดีละเมิดอำนาจศาลอีกคดีหนึ่ง โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2566
เหตุในคดีนี้เกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2566 เวลาประมาณ 12.00 น. วอนถูกเชิญตัวกะทันหันให้ไปตามหมายจับในคดีละเมิดอำนาจศาลอีกคดีหนึ่งของศาลเยาวชนฯ จากกรณีถูกกล่าวหาว่าใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ “หยก” นักกิจกรรมเยาวชน ที่นั่งหันหลังให้ผู้พิพากษาในห้องพิจารณาคดี ขณะถูกนำตัวไปตรวจสอบการจับกุมในคดีมาตรา 112
ในการเชิญตัวดังกล่าว วอนเปิดเผยว่าเขาไม่ทราบรายละเอียดมาก่อน และไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ศาลนำตัวเขาเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ซึ่งภายหลังสายน้ำ แบม และตะวัน ก็ได้ตามขึ้นมาเพื่อพาเขาออกจากบริเวณอาคาร ของศาลและเดินทางกลับบ้าน
ต่อมาวันที่ 14 พ.ย. 2566 ศาลเยาวชนฯ ได้นัดพิจารณาคดีละเมิดอำนาจศาลกับนักกิจกรรมทั้ง 4 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่ศาล ในขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามจะนำตัววอนไปไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล ก่อนจะถูกเลื่อนการไต่สวนออกมาเป็นวันที่ 15 ม.ค. 2567 และ 17 มิ.ย. 2567
ในคดีนี้ ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยมีข้อต่อสู้ว่าไม่ได้ด่าทอเจ้าหน้าที่ศาล และไม่มีการสร้างความวุ่นวายตามที่ถูกกล่าวหา ส่วนผู้อำนวยการสำนักงานศาลเยาวชนฯ ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้ ได้นำคลิปกล้องวงจรปิดมาเป็นพยานหลักฐาน แต่ไม่มีการบันทึกเสียงเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถชี้ตัวได้ว่าใครคือคนที่ด่าทอเจ้าหน้าที่ศาลตามที่กล่าวหา
หัวหน้าส่วนงานบริการประชาชนฯ ของศาล ส่งคลิปกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐาน แต่ไม่มีเสียง และไม่ทราบว่าใครพูดอะไรบ้าง
คฑาวุธ ราศรีกิจ หัวหน้าส่วนงานบริการประชาชนและประชาสัมพันธ์ ของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางฯ เข้าเบิกความเกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2566 พยานรับประทานอาหารกลางวันอยู่ที่โรงอาหารศาลชั้น 1 โดยได้เห็น ‘วอน’ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ในคดีนี้ ซึ่งในขณะนั้นเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาในคดีละเมิดอำนาจศาลอีกคดีหนึ่ง คือคดีหมายเลข ลศ.2/2566 อยู่ก่อนด้วย
เหตุที่พยานจำได้เนื่องจากเคยเห็นภาพถ่ายของวอนในสำนวนคดีดังกล่าวมาก่อน จึงได้โทรศัพท์แจ้งให้กับนัฐวุฒิ นาคเกิด ซึ่งขณะนั้นเป็นรักษาการผู้อำนวยการศาล เพื่อสอบถามว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
นัฐวุฒิ ได้แจ้งกับพยานว่าให้โทรแจ้งกับเจ้าของสำนวนคดี ลศ.2/2566 ทราบ ซึ่งภายหลังเจ้าของสำนวนคดีนี้ได้บอกกับพยานว่าให้นำตัววอนไปที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 พยานจึงได้แจ้งให้กับนัฐวุฒิทราบอีกทีหนึ่ง เพื่อนำตัววอนไปที่ห้องพิจารณาคดีดังกล่าว
ต่อมา พยานได้เดินทางไปพูดคุยกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี ลศ.2/2566 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 และก็ได้รับแจ้งว่าวอน หรือผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ในคดีนี้ได้มารออยู่ที่บริเวณหน้าห้องแล้ว โดยวอนได้มีเพื่อนมาด้วยกันอีก 1 – 2 คน เมื่อพยานได้พบกับวอน ก็ได้แจ้งกับผู้ถูกกล่าวหาว่าเขาถูกดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาล และให้ดูว่าภาพถ่ายใบหน้าที่อยู่ในสำนวนคดีดังกล่าวนั้นเป็นบุคคลเดียวกันกับตัวเองหรือไม่ ซึ่งในขณะนั้นวอนก็ได้ยอมรับว่าคือบุคคลเดียวกันจริง
อย่างไรก็ตาม พยานเบิกความว่า วอนไม่ยอมเข้าห้องพิจารณาคดีที่ 6 และมีกลุ่มเพื่อนของผู้ถูกกล่าวหาได้ขึ้นมาบริเวณชั้น 2 ของอาคารศาล ส่งเสียงโวยวายและไม่ยอมให้วอนเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ซึ่งพยานจำไม่ได้แล้วว่าข้อความที่กลุ่มเพื่อนของผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 พูดกันว่าอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ ศาลได้ให้พยานเปิดคลิปวิดีโอที่อ้างส่งมาเป็นพยานหลักฐานด้วย แต่ปรากฏว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวไม่มีเสียง และไม่สามารถดูออกได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 คน ได้พูดหรือโวยวายตามที่ถูกกล่าวหาอย่างไรบ้าง
แต่พยานเบิกความต่อไปว่า ในขณะที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่บริเวณชั้น 2 มีตัวของพยานอยู่ในที่เกิดเหตุ และมีนัฐวุฒิ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลอยู่ด้วย โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุความวุ่นวายมีอยู่รวมกันประมาณ 10 กว่าคน
หลังจากนั้น เมื่อวอนไม่ยอมเข้าห้องพิจารณาคดี ตัวของผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดก็ได้เดินออกไปจากอาคารศาล โดยลงไปที่บริเวณหน้าโรงอาหารชั้น 1 และได้มีการตะโกนพูดเสียงดัง แต่พยานไม่ทราบว่าผู้ถูกกล่าวหาตะโกนว่าอะไรบ้าง เนื่องจากในขณะนั้นพยานกำลังโทรศัพท์รายงานให้กับเลขานุการศาลฯ ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ และผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดจะเดินทางไปที่ไหนต่อพยานไม่ทราบ เนื่องจากต้องแยกตัวออกไปรายงานให้กับเจ้าของสำนวนคดี และเลขานุการศาลทราบ
ทนายผู้ถูกกล่าวหาไม่ถาม
ผู้กล่าวหา เบิกความผู้ถูกกล่าวหา 3 ราย สลับกันด่าทอเจ้าหน้าที่ แม้จำไม่ได้ว่าใครพูดว่าอะไรบ้าง
นัฐวุฒิ นาคเกิด รักษาการผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เบิกความเกี่ยวกับคดีนี้ พยานได้รับแจ้งจากคฑาวุธว่า วอน หรือผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ได้อยู่บริเวณโรงอาหารของศาล จึงได้ให้คฑาวุธแจ้งกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี ลศ.2/2566 ทราบว่าเจอผู้ถูกกล่าวหาคนดังกล่าว และเมื่อพยานได้ทราบเรื่อง ก็ได้เดินไปยังบริเวณที่ได้รับรายงาน เพื่อไปตรวจสอบด้วยตัวเองว่าเป็นวอนจริงหรือไม่
ในขณะนั้น ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ได้เดินเข้ามาที่บริเวณจุดตรวจตรงหน้าอาคารศาล โดยไม่ได้นำบัตรประชาชนมาด้วย แต่เห็นว่าวอนต้องการจะผ่านเข้าไปห้องน้ำ จึงอนุญาตให้เข้าไปในอาคารได้ และหลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาก็ได้เดินกลับออกไปจากอาคารศาล
ต่อมามีประชาชน หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของศาล พยานจำไม่ได้แล้ว ได้เข้ามาแจ้งกับพยานตรงจุดตรวจว่ามีคนลืมของไว้ในห้องน้ำ พยานจึงได้ให้ตำรวจศาลไปแจ้งกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ว่าได้ทำของหล่นไว้ในห้องน้ำหรือไม่ เนื่องจากพยานเห็นว่าวอนออกมาจากห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย
ต่อมา คฑาวุธ ได้โทรกลับมาหาพยาน โดยบอกว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี ลศ.2/2566 ต้องการเชิญตัววอนไปที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 ซึ่งพยานได้ให้ตำรวจศาลคนเดิมไปแจ้งกับวอน โดยให้นำตัวขึ้นมาที่ชั้น 2 ซึ่งพยานเห็นว่ามีเพื่อนของผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ติดตามมาด้วยอีก 5 – 6 คน โดยในขณะนั้นพยานก็ได้พบกับวอนและผู้ถูกกล่าวหาคนอื่น ๆ ด้วย
แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 หรือสายน้ำ ได้เดินเข้ามาด้วยและพูดกับพยานว่า ไหนว่าจะให้มาเอาของหาย โดยจะขอรอพบทนายความก่อน ซึ่งคฑาวุธก็ได้แจ้งว่าให้วอนสามารถรอพบทนายความได้
หลังจากที่มีการแจ้งให้รอพบทนายความก่อนได้ พยานเบิกความว่า สายน้ำ แบม และตะวัน ได้ส่งเสียงดัง โวยวายขึ้นมา ส่วนวอนที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งในขณะที่มีการส่งเสียงโวยวาย มีข้อความทำนองว่าหลอกมาทำไม และจะไม่ขอเข้าห้องพิจารณาคดี หลังจากนั้นทั้งหมดก็ได้เดินออกไปจากอาคารศาลที่บริเวณชั้น 1
เมื่อกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาได้รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณอาคารชั้น 1 แล้ว พยานเบิกความกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ถูกกล่าวหาก็ได้มีการตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำต่าง ๆ โดยเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นจากสายน้ำ แบม และตะวัน สลับกันพูดออกมา
พยานไม่รู้ใครจะพูดอะไรบ้าง แต่เสียงหลัก ๆ จะมีทั้งเสียงผู้หญิงและเสียงผู้ชาย โดยคิดว่าในขณะนั้นวอน หรือผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ไม่ได้ตะโกนหรือพูดอะไรออกมา
หลังจากนั้น ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดได้เดินออกจากโรงอาหารชั้น 1 และเมื่อได้เดินกลับมาที่ห้องน้ำชั้น 1 ตามที่ได้รับแจ้งว่ามีคนลืมของเอาไว้ตามคำเบิกความของพยานข้างต้น ก็ได้พากันเดินออกจากอาคารศาลไป และพยานก็ได้เรียกตำรวจศาล และคฑาวุธมาสอบถามข้อเท็จจริง พร้อมได้จัดทำเป็นบันทึกข้อความลงวันที่ 30 มี.ค. 2566 เสนอต่ออธิบดีศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
ทนายซักถาม
ทนายผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และ 2 ถามต่อพยานว่ากลุ่มของผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดมีกี่คน พยานได้ตอบว่ามีประมาณ 6 – 7 คน โดยแบ่งเป็นชายและหญิง ทนายจึงถามต่อว่าที่เบิกความว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 – 3 ได้ตะโกนสลับกัน แต่ละคนพูดว่าอย่างไรบ้าง พยานตอบว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 – 3 ได้ตะโกนสลับกันจริง แต่ใครจะตะโกนด่าประโยคไหนบ้าง พยานไม่รู้ และจำไม่ได้แล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาด้วยกันนอกจากผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดนี้แล้วจะตะโกนด่าด้วยหรือไม่ พยานก็ไม่แน่ใจ
ทนายจึงถามต่อว่า พยานทราบหรือไม่ว่าทำไมกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาถึงเดินทางมาที่ศาลเยาวชนฯ ในวันดังกล่าว พยานตอบว่าไม่ทราบ แต่เคยเห็นหน้าแบมมาก่อน ส่วนสายน้ำจะเดินทางมาศาลด้วยเหตุอะไร พยานไม่ทราบ แม้จะทราบในภายหลังว่าสายน้ำเดินทางมาตามนัดหมายของคดีตัวเอง โดยมีแบมและวอนได้เดินทางมาให้กำลังใจสายน้ำอีกทีหนึ่ง
ทนายผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และ 4 ซักถามต่อพยานว่า พยานรู้จักกลุ่มผู้ถูกกล่าวหานี้มาก่อนแล้วหรือไม่ โดยพยานตอบว่าได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั่วไป จึงได้รู้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นใคร
ตำรวจศาลเบิกความ ได้รับแจ้งให้เชิญตัว “วอน” ไปที่ห้องพิจารณาคดี แต่จำไม่ได้แล้วว่าใครจะด่าทอเจ้าหน้าที่ศาลบ้าง
พยานผู้ถูกกล่าวหาอีกปากชื่อ รสสุคนธ์ น้อยรังษี รับราชการเป็นตำรวจศาล ขณะเกิดเหตุในคดีนี้ประจำการอยู่ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางฯ
ในวันที่ 30 มี.ค. 2566 เวลา 12.00 น. พยานได้รับแจ้งเหตุจากนัฐวุฒิ ซึ่งขณะนั้นเป็นรักษาการผู้อำนวยการศาลฯ ว่าให้ไปเชิญตัวผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 มาที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 จึงได้ไปตามตัววอนที่อยู่บริเวณชั้น 1 ของศาลขึ้นมาที่อาคารศาลชั้น 2
ในตอนที่พยานไปตามตัววอน ได้พบเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้อาคาร โดยมีเพื่อน ๆ นั่งร่วมอยู่ด้วยกัน แต่เนื่องจากพยานจำใบหน้าของวอนได้ จึงได้เดินเข้าไปเชิญผู้ถูกกล่าวหาได้ถูกคน
ทั้งนี้ศาลถามต่อว่า พยานเป็นตำรวจศาลได้เข้าไปเห็นสำนวนคดีได้อย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าวอนคือบุคคลเดียวกันกับในสำนวนคดีดังกล่าว พยานจึงได้อธิบายว่า คฑาวุธได้เป็นคนส่งภาพใบหน้าของวอนให้กับพยานทางกลุ่มไลน์ของศาล ซึ่งจะมีการถ่ายภาพบุคคลต่าง ๆ ไว้ พยานจึงจำได้ว่ากลุ่มของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้มีใครบ้าง
เมื่อพยานได้พูดคุยกับวอน ก็ได้บอกเขาว่าลืมของไว้ด้านในของอาคารหรือไม่ แต่วอนทำท่าทีไม่แน่ใจ พยานจึงได้แจ้งให้เขาไปตรวจสอบดูก่อน หลังจากนั้นก็ได้นำตัววอนขึ้นมาที่อาคารชั้น 2 ของศาล และนำตัวมาที่หน้าห้องพิจารณาคดีที่ 6
การเบิกความของพยานดูน่าสงสัย ในส่วนของการเชิญตัวผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ให้เข้ามาบริเวณอาคารศาลชั้น 2 ศาลจึงได้ซักถามพยานใหม่ โดยขอให้พยานเบิกความให้ชัดเจนกว่านี้ พยานจึงได้เบิกความใหม่ว่า การรับแจ้งเหตุของพยานเกิดขึ้นในช่วงเที่ยงวัน และได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากคฑาวุธให้ไปเชิญตัววอนขึ้นมาที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 แต่ก่อนหน้านี้พยานได้รับแจ้งจากนัฐวุฒิว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ลืมของไว้ในห้องน้ำ แต่ไม่ได้แจ้งว่าที่ไหน แต่ภายหลังนัฐวุฒิโทรมาบอกว่าให้นำตัววอนไปที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 เช่นเดียวกับคฑาวุธ
พอนำตัววอนส่งให้กับคฑาวุธและนัฐวุฒิแล้ว พยานก็จำไม่ได้แล้วว่าทั้งสามคนคุยเรื่องอะไรกันบ้าง แต่ในขณะนั้นกลุ่มเพื่อนของวอน ก็ได้ติดตามมาและส่งเสียงโวยวาย พยานจับใจความสำคัญของข้อความที่กลุ่มเพื่อนของวอนทักท้วงได้เพียงว่า ‘หลอกขึ้นมาทำไม ไม่เห็นมีอะไรเลย’
หลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดก็ได้เดินลงไปจากอาคารศาลชั้น 2 และมีการส่งเสียงด่าทอใส่เจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้น ซึ่งเป็นข้อความเดียวกันกับที่นัฐวุฒิเบิกความไว้ข้างต้น แต่ใครจะเป็นคนพูดประโยคดังกล่าวบ้างพยานก็จำไม่ได้
เมื่อสิ้นสุดการตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่ศาล กลุ่มของผู้ถูกกล่าวหาก็เดินทางออกจากศาลเยาวชนไป โดยพยานก็ได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
ทนายผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และ 2 ซักถาม
ทนายถามว่าในขณะเกิดเหตุพยานได้สวมใส่ชุดยูนิฟอร์มของตำรวจศาลใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่
ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ขึ้นเบิกความชี้ว่าไม่มีใครด่าทอเจ้าหน้าที่ตามที่ถูกกล่าวหา
“สายน้ำ” นภสินธุ์, “แบม” อรวรรณ, “ตะวัน” ทานตะวัน และ “วอน” ได้อ้างตัวเองเป็นพยานขึ้นเบิกความ ทั้งหมดให้การสอดคล้องกันว่า ในวันที่ 30 มี.ค. 2566 สายน้ำ หรือผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้มีนัดหมายในคดีความอื่นของตัวเองที่ศาลเยาวชนฯ จึงได้เดินทางมาที่ศาลแห่งนี้ โดยมีกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 – 4 ติดตามมาเพื่อให้กำลังใจด้วย
หลังจากที่สายน้ำฟังคำพิพากษาในคดีอื่นของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว ก็กำลังจะเดินทางกลับพร้อมกับกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจศาลได้เข้ามาแจ้งกับวอน หรือผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ว่าเขาลืมของไว้ในอาคารศาล ทำให้วอนต้องกลับเข้าไปในตัวอาคารอีกครั้ง โดยมีสายน้ำรออยู่ที่ลานจอดรถ
แต่เมื่อสายน้ำและเพื่อนทั้งหมด ยืนรออยู่ได้ราว 5 นาที ก็สงสัยว่าทำไมถึงไปนาน จึงได้พากันเดินกลับขึ้นไปบนอาคารชั้น 2 ของศาล ภายหลังทราบว่าวอนไม่ได้มาเอาของ แต่กำลังถูกเชิญให้เข้าไปในห้องพิจารณาคดีด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบ
ทั้งหมดก็ได้พากันเดินทางกลับ แม้เจ้าหน้าที่ศาลจะทักท้วงว่าวอนลืมของไว้ แต่เนื่องจากเป็นของอะไรก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ ทุกคนเลยชักชวนกันเดินทางกลับบ้าน โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช้เวลาเพียง 3 – 4 นาที
ส่วนที่มีการส่งเสียงด่าทอเจ้าหน้าที่ศาลตามที่ถูกกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดให้การสอดคล้องกันว่าจำไม่ได้ และตัวของพยานแต่ละคนก็ไม่มีใครด่าทอเจ้าหน้าที่ตามที่ถูกกล่าวหาไว้
ส่วนวอนได้ให้การเพิ่มเติมว่าในตอนที่เดินขึ้นไปตามคำเชิญของเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล ก็ไม่ได้พูดตอบโต้อะไร และไม่ได้เข้าไปในห้องพิจารณาตามคำเชิญ เนื่องจากไม่มีทนายความอยู่ด้วย และไม่ทราบว่าเป็นการเรียกไปจากสาเหตุอะไร ตลอดจนในขณะนั้นกำลังตกใจ ทำให้รีบเดินออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ เนื่องจากกลัวอาการแพนิค ซึ่งเป็นโรคประจำตัวมาตั้งแต่สมัยเด็กกำเริบ