(แก้ไขข้อมูลวันที่ 2 พ.ค. 2567)
1 พ.ค. 2567 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดเชียงรายนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีของ “บอส” ฉัตรมงคล วัลลีย์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบริษัทเอกชน วัย 29 ปี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เหตุจากถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้คอมเมนต์ข้อความมีเนื้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ในโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก “ศรีสุริโยไท” เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2564
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าจำเลยผิดตามฟ้อง โดยมองพยานหลักฐานในคดีต่างไปจากศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุก 3 ปี เนื่องจากเห็นว่าจำเลยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษหนึ่งในสี่ เหลือจำคุก 27 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
.
ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอว่าจำเลยกระทำผิด
สำหรับคดีนี้มี นัธทวัฒน์ ชลภักดี แอดมินเพจเฟซบุ๊กศรีสุริโยไท ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เอาไว้ และฉัตรมงคลต้องเดินทางไปต่อสู้คดีที่จังหวัดเชียงรายมากว่า 2 ปี เศษแล้ว
หลังการสืบพยานไประหว่างวันที่ 20–24 ธ.ค. 2565 พนักงานอัยการโจทก์นำสืบว่า เฟซบุ๊กที่มีชื่อเหมือนกับชื่อของจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความลงในเพจเฟซบุ๊กศรีสุริโยไท ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว นอกจากนั้นข้อความคอมเมนต์ที่กล่าวหาระบุเพียงคำว่า “ในหลวง” โดยไม่ได้ระบุว่าพระองค์ใด และในตัวโพสต์ของเพจศรีสุริโยไท ก็เป็นภาพที่คาดว่าน่าจะเป็นภาพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พร้อมข้อความขอให้เป็นกำลังใจให้ทางเพจต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ได้มีการระบุถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ใดแต่อย่างใด
ก่อนที่เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษายกฟ้องคดี โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานบุคคลและหลักฐานที่ยืนยันว่าจำเลยกระทำตามฟ้องจริง ที่โจทก์เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดมาจากตำรวจชุดสืบสวนที่นำชื่อเฟซบุ๊กที่ถูกกล่าวหา ไปค้นในทะเบียนราษฎร์ของจำเลย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับภาพในเฟซบุ๊ก เมื่อพิจารณาทางนำสืบของจำเลยที่ชี้ให้เห็นว่าหน้าเฟซบุ๊กมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย โดยไม่ต้องเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความตามฟ้อง
.
อัยการอุทธรณ์ต่อ ระบุหลักฐานเพียงพอ และจำเลยเคยทำผิดมาก่อน ทั้งที่ข้อเท็จจริงเคยถูกดำเนินคดีแต่จากการร่วมชุมนุม
ต่อมา ไพศาล ไชยวงษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 5 ได้ยื่นอุทธรณ์คดีนี้ โดยสรุปอ้างว่าจำเลยเคยมีประวัติการกระทำผิดเกี่ยวกับคดีความมั่นคงต่อราชอาณาจักรมาหลายครั้ง และเคยถูกรอการลงโทษจำคุกในคดีจากการชุมนุมช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563
ฝ่ายโจทก์พยายามยืนยันว่าภาพเฟซบุ๊กที่แคปหน้าจอมาเป็นพยานหลักฐานเป็นของจำเลย ไม่มีเหตุที่ผู้ใดสามารถนำภาพของจำเลยมาสร้างบัญชีเฟซบุ๊กในนามจำเลยได้ การมีชื่อเฟซบุ๊กตรงกับชื่อจำเลยหลายบัญชี ส่วนหนึ่งมาจากจำเลยรับว่าเคยสมัครไว้หลายครั้ง เนื่องจากบัญชีเดิมไม่สามารถเข้าได้ และจำเลยก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้บัญชีที่เข้าไม่ได้นั้นต้องถูกแก้ไขหรือลบไป
ขณะที่ฝ่ายจำเลยก็โต้แย้งอุทธรณ์ของโจทก์ โดยยืนยันว่าจากพยานหลักฐานของโจทก์มิได้พิสูจน์ยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าเฟซบุ๊กตามฟ้องนั้น จำเลยเป็นผู้นำเข้าข้อมูลดังกล่าว เพราะมิได้มีการสืบสวนในคดีเกี่ยวกับความผิดทางอิเล็กทรอนิกส์ เพียงแต่นำชื่อไปค้นในข้อมูลทะเบียนราษฎรเท่านั้น ไม่ได้ตรวจสอบยืนยันผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก เอกสารหลักฐานของโจทก์ยังมิน่าเชื่อถือ เป็นการพิมพ์โดยไม่ปรากฏ URL
ทั้งพยานผู้กล่าวหายังให้การถึงข้อเท็จจริงในประเด็นการไปติดตามตัวผู้โพสต์ข้อความ ในชั้นสอบสวนและในชั้นศาล ที่แตกต่างกัน อันส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพยานปากดังกล่าว ทั้งพยานโจทก์ต่างก็เบิกความว่าบัญชีเฟซบุ๊ก สามารถนำรูปของผู้อื่นมาเป็นโปรไฟล์ได้ และพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กที่อ้างว่ามีชื่อเหมือนกับจำเลยหลายบัญชีดังล่าว
ทั้งนี้ โดยข้อเท็จจริง ฉัตรมงคลไม่เคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับความมั่นคงมาก่อน ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ-ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ในคดีคนอยากเลือกตั้งช่วงปี 2561 จำนวน 2 คดี และคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-ทำให้เสียทรัพย์ ในการชุมนุม #ตามหานาย หน้า ม.พัน 4 เมื่อปี 2563 จำนวน 1 คดี โดยคดีหลังนี้แม้ศาลอาญาให้รอการลงโทษจำคุก แต่ก็ยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา
.
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษา ลงโทษจำคุก 3 ปี ลดเหลือ 27 เดือน
วันนี้ ฉัตรมงคลเดินทางจากจังหวัดปทุมธานี มาถึงเชียงรายในช่วงเช้า ตามนัดฟังคำพิพากษาของศาล โดยมีทนายความเดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษา
ที่ห้องพิจารณาที่ 7 ศาลอ่านคำพิพากษา โดยสรุปเห็นว่าการมีคำวินิจฉัยว่า จำเลยโพสต์ข้อความลงในระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่ เป็นการยากในการหาประจักษ์พยานหลักฐาน และการนำเข้าข้อมูลสู่คอมพิวเตอร์สามารถทำได้โดยง่าย ซึ่งจะต้องใช้พยานแวดล้อม และการใช้บริการเฟซบุ๊กนั้นเป็นการทราบดีกันว่าจะต้องมีการระบุข้อมูลของบุคคลหนึ่งเข้าไปสมัครเพื่อเข้าใช้บริการ โดยบุคคลหนึ่งอาจมีมากกว่า 1 บัญชี โดยมี URL และ ID ในทำนองเดียวกันกับบ้านเลขที่และเลขบัตรประจำตัวประชาชน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเข้าใช้บริการได้
โจทก์นำสืบโดยมีผู้กล่าวหา ซึ่งเห็นว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อเดียวกันกับจำเลยเข้ามาโพสต์ข้อความใต้ภาพดังกล่าว เมื่อเข้าไปค้นข้อมูลพบว่าฉัตรมงคลอยู่อาศัยที่กรุงเทพมหานคร มีการโพสต์รูปภาพที่ตรงกับจำเลยในคดีนี้ มีการลงรูปจำนวนมากเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
พยานโจทก์ที่เป็นสองแอดมินผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊กเบิกความไม่มีความขัดแย้งกัน ไม่มีข้อพิรุธ และไม่รู้จักกับจำเลยมาก่อน คำเบิกความสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ส่วนโจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจ เข้าไปค้นข้อมูลในเฟซบุ๊ก พบข้อมูลส่วนตัวของจำเลย พยานเบิกความไปตามรายงานสืบสวนซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวของจำเลยยากจะปลอมแปลง โดยจำเลยไม่ได้ถามค้านว่าเอกสารดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริงอย่างไร แต่นำสืบว่าจำเลยเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์
เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาและสอบคำให้การจำเลยในชั้นสอบสวน จำเลยให้การเพียงแค่จะให้การเพิ่มเติมภายใน 30 วัน แต่ไม่ได้ให้การเพิ่มเติมดังกล่าว
พนักงานสอบสวนได้สอบถามไปยังหน่วยงานตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หน่วยงานแจ้งว่าไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากสำนักงานเฟซบุ๊กอยู่ต่างประเทศ และในชั้นสอบสวนคำให้การของจำเลย ระบุพบว่ามีบัญชีเฟซบุ๊กจำนวน 7 บัญชี เป็นชื่อของตนเองทั้งหมด และจำเลยได้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ทำให้มีข้อพิรุธสงสัย รูปคดีก็ไม่มีเหตุให้เชื่อว่าพยานโจทก์คิดสร้าง URL ขึ้นมา เมื่อจำเลยไม่ใช่นักการเมืองหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงที่น่าจะมีผู้ใดมากลั่นแกล้ง พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้
แม้ว่าจำเลยนำพยานมาเบิกความเรื่องการเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่จำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้ว่ามีการนำข้อมูลของจำเลยไปใช้ หรือถูกแฮกระบบอย่างไร คำเบิกความของจำเลยจึงมีน้ำหนักรับฟังได้น้อย เจือสมกับคำเบิกความของโจทก์และข้อพิรุธของจำเลย
ส่วนข้อความที่โพสต์ มีพยานซึ่งพนักงานสอบสวนขอให้ตีความเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ทนายความ รวมจำนวน 3 ปาก ซึ่งเป็นผู้มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ ตีความข้อความดังกล่าวว่า “ในหลวง” หมายถึงรัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์
ส่วนที่โจทก์ขอให้บวกโทษนั้น เห็นว่าไม่ปรากฏว่าคดีที่ขอให้บวกโทษนั้นเกิดขึ้นก่อนหรือหลังคดีนี้ จึงเห็นควรไม่บวกโทษคดีดังกล่าว (โจทก์เพิ่งระบุในคำอุทธรณ์ ขอให้บวกโทษต่อจากคดีชุมนุม #ตามหานาย หน้า ม.พัน 4 ที่จำเลยถูกศาลอาญารอการลงโทษไว้ โดยคดีดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด แต่โจทก์ไม่ได้ขอไว้ในท้ายฟ้องตั้งแต่ต้น)
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด ตามมาตรา 112 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงเหลือโทษจำคุก 27 เดือน
เนื่องด้วยเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
หลังอ่านคำพิพากษา ฉัตรมงคลได้ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปห้องขังของศาล ทนายความได้ยื่นขอประกันตัวระหว่างฎีกา
จนเวลาประมาณ 11.45 น. ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอประกันตัวไปให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ทำให้วันนี้ฉัตรมงคลต้องถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำกลางเชียงราย
.
ศาลฎีกาให้ประกันตัว เห็นว่าศาลชั้นต้นยกฟ้อง ไม่เคยหลบหนี
ต่อมาเวลา 16.28 น. ศาลฎีกามีคำสั่งมายังศาลจังหวัดเชียงราย อนุญาตให้ประกันตัว “บอส ฉัตรมงคล” ในระหว่างฎีกา โดยให้วางหลักทรัพย์ 2 แสนบาท
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดและศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จำเลยเคยได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวและไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างฎีกา
แต่เนื่องจากหลังทนายความมาฟังคำสั่ง ศาลได้ปิดทำการพอดี ทำให้ไม่สามารถวางหลักทรัพย์และทำสัญญาประกันได้ทัน ทั้งฉัตรมงคลได้ถูกส่งตัวไปยังเรือนจำแล้ว ต้องมาทำเรื่องประกันตัวในวันต่อไป
วันที่ 2 พ.ค. 2567 ทนายความได้ทำเรื่องขอประกันตัวฉัตรมงคล โดยได้รับความช่วยเหลือหลักทรัพย์ประกันจากกองทุนราษฎรประสงค์ และฉัตรมงคลจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในช่วงเย็น
.
สำหรับ “บอส” ฉัตรมงคล มีภูมิลำเนาอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร และทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี เขาเคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาธิปไตยศึกษา ที่นำโดย “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ในช่วงยุค คสช. และเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งในช่วงปี 2561 ต่อมาเขาลดการเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองลง และเน้นประกอบอาชีพเพื่อหารายได้และดูแลครอบครัว
การถูกกล่าวหาในคดีนี้ตลอด 2 ปี 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้บอสต้องเดินทางไปจังหวัดเชียงรายเพื่อต่อสู้ไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งแล้ว ประกอบกับบอสมีรายได้ไม่มากนัก ทำให้การต่อสู้คดีมีอุปสรรคอย่างมาก โดยเขาได้รับความช่วยเหลือเรื่องค่าเดินทางจากกองทุนดา ตอร์ปิโด แต่ก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ด้วยตนเอง
.
ย้อนอ่าน ชีวิต–จิตใจของ “บอส ฉัตรมงคล” หนุ่ม รปภ. ผู้เผชิญหน้าคดี ม.112
ย้อนอ่านประมวลการต่อสู้คดี ประมวลการต่อสู้คดี ม.112 ของ “บอส ฉัตรมงคล” ที่เชียงราย เจ้าตัวยันไม่ใช่คนคอมเมนต์เฟซบุ๊กถึงในหลวง
.