เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2567 ช่วงเช้าทนายความได้เข้าเยี่ยม “บุ้ง” เนติพร (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ซึ่งอดน้ำ อดอาหาร เข้าวันที่ 12 ระหว่างถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 กรณีทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ รวมทั้งคดีละเมิดอำนาจศาล และถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2567
บุ้งถูกคุมขังครั้งนี้หลังศาลอาญากรุงเทพใต้สั่งถอนประกันในคดี 112 ดังกล่าว เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2567 รวมทั้งมีคำสั่งลงโทษจำคุก 1 เดือน ในวันเดียวกัน ในคดีละเมิดอำนาจศาล หลังจากฟังคำสั่งในทั้งสองคดี บุ้งตัดสินใจว่าจะไม่ยื่นประกันตัว ทำให้บุ้งถูกส่งตัวเข้าทัณฑสถานหญิงกลางในเย็นวันที่ 26 ม.ค. เป็นต้นมา ก่อนที่เธอตัดสินใจอดน้ำอดอาหาร (Dry Hunger Strike) ตั้งแต่เย็นวันที่ 27 ม.ค. เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และจะต้องไม่มีใครติดคุกเพราะเห็นต่างทางการเมืองอีก
จากการเข้าเยี่ยมของทนายความครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ บุ้งมีอาการน่ากังวลมากขึ้น มีอาการตับอักเสบมากกว่าเดิม บุ้งบอกว่า ปวดท้องมาก นอนไม่หลับ ในปากแห้งมาก จนลอกผิวหนังออกมาเป็นแผ่นเล็ก ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม บุ้งยังคงยืนยันเจตจำนงลักษณะเดิมว่า หากถึงแก่ชีวิต ขอให้นำศพไปไว้หน้าศาล และหากต้องเลือกศาลเพียงแห่งเดียว จะขอเลือก ‘ศาลอาญากรุงเทพใต้’
.
ย้อนดูสถานการณ์ “อดอาหารและน้ำ” ของบุ้ง เรียกร้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม หลังเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 2 ของการถูกคุมขัง
29 ม.ค. 2567 ทนายความได้เข้าเยี่ยมบุ้งที่ทัณฑสถานหญิงกลางเป็นครั้งแรก และทราบว่าบุ้งอดอาหารมาตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. โดยมื้อสุดท้ายบุ้งได้กินข้าวต้มหมูกับน้ำ 1 ขวด ในมื้อกลางวัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย
วันที่ 3 ของการอดน้ำ อดอาหาร บุ้งเล่าว่า มีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกหน้ามืด น้ำลายในปากแห้ง เหนียวหนืดคอ วิงเวียน และมีอาการปวดท้องหนักมากกว่าที่เคย โดยเริ่มแสบท้องตั้งแต่คืนที่ผ่านมา พร้อมกับปวดหัวด้วย มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ผิดสังเกตว่า บุ้งไม่ยอมกินข้าวและน้ำ จึงให้พี่คนงานที่เป็นนักโทษด้วยกันเข้ามาถามว่าทำไมไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ
จุดเริ่มต้นที่บุ้งเลือกที่จะอดอาหาร คือ รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ศาลไม่ยุติธรรม สิ่งที่บุ้งยอมแลกคืออย่างน้อยก็ให้เป็นตราประทับว่า ศาล ผู้พิพากษา และกระบวนการยุติธรรม ได้ฆ่าลูกหลานของตุลาการเสียเอง
“ไม่มีใครในประเทศนี้ปลอดภัยหรอก ถ้ากระบวนการยุติธรรมยังเป็นอย่างนี้ จะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนได้ยังไง บุ้งรู้ว่าครอบครัวเป็นห่วง บุ้งขอโทษที่ไม่เชื่อฟังอีกแล้ว แต่บุ้งรอไม่ได้ ทุกวินาทีในนี้ของบุ้งมันมีค่า บุ้งไม่ได้เข้ามาเล่น ๆ บุ้งแลกได้ คนที่ทำให้บุ้งเข้ามาในนี้ไม่ใช่ตัวบุ้งเองแต่เป็นศาล เป็นกระบวนการยุติธรรมที่ทำอย่างนี้กับบุ้ง”
ข้อเรียกร้องของบุ้ง คือ ขอให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และจะต้องไม่มีใครติดคุกเพราะเห็นต่างทางการเมืองอีก
.
วันที่ 4: อยากอาเจียนตลอดเวลา เจ็บหน้าอกช่วงบน แต่ยังยืนยันไม่ประกันตัว
ทนายเข้าเยี่ยมในวันต่อมา คือ วันที่ 30 ม.ค. 2567 บุ้งเดินมาโดยต้องมีเพื่อนผู้ต้องขังคอยช่วยพยุง โดยรวมน้ำหนักตัวบุ้งลดลง 6 กิโลกรัม ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาลเข้มมาก
บุ้งเล่าว่า ตอนลุกจากที่นอนหรือลุกจากที่นั่งในตาจะมีภาพซ่า ๆ รู้สึกวิ้ง ๆ ปวดท้องแบบแสบและบีบเป็นระยะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ อยากอาเจียนตลอดเวลา อาการอีกอย่างคือคอแห้งมาก น้ำลายเหนียว ขมปาก ริมฝีปากเป็นขุยแห้งหมด เจ็บหน้าอกช่วงบน ตอนหายใจเข้าลึกจะรู้สึกเจ็บแปล๊บ
เจ้าหน้าที่ได้ให้บุ้งเซ็นเอกสารว่า บุ้งอดอาหารของบุ้งเอง ราชทัณฑ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ และปฏิเสธการรักษา เอกสารมีช่องให้ติ๊กว่าปฎิเสธอะไรบ้าง ซึ่งบุ้งปฏิเสธเรื่องไม่ให้ปั๊มหัวใจ และไม่ให้สอดท่อต่าง ๆ เข้าร่างกาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องรักษา
บุ้งบอกว่า ห่วงหยกมาก แต่ว่าคิดว่าหยกจะดูแลรักษาตัวเองได้ และขอโทษครอบครัว ถ้าบุ้งตายอยากให้บอกกับที่บ้านว่า บุ้งโอเค บุ้งไม่ได้เสียใจ ถ้ามันจะต้องไปเป็นจุดนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดบุ้งได้เหมือนกัน ไม่อยากให้ที่บ้านโทษตัวเอง คนสมควรจะโทษก็มีแค่ศาล จะโทษก็โทษกระบวนการยุติธรรมที่มันเป็นแบบนี้
บุ้งกล่าวอีกว่า บุ้งเป็นคนมาจากหน่อเนื้อเชื้อไขของเขาเอง เติบโตวิ่งเล่นในบริเวณศาล แต่ “ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่องและเชื่อฟังโดยไร้ความคิดเห็น ถ้าหากว่ามีประชาชนโกรธ ก้าวร้าว ก็ขอให้รู้ไว้ด้วยว่ากระบวนการยุติธรรมมันไม่ยุติธรรมกับเขา”
บุ้งยังยืนยันเช่นเดิมว่าอดน้ำอดอาหารไม่ประกันตัว “ถ้าตายขอให้เอาศพไปทำอะไรก็ได้ที่เป็นการประจานว่าผู้พิพากษาไทยและระบบตุลาการไทยเป็นยังไง และขอให้ประเทศแบบนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพราะไม่สมควร”
.
วันที่ 5: “บุ้งรู้สึกว่าร่างกายมันทรุดลงเร็วมาก ชั่วโมงต่อชั่วโมงเลย”
31 ม.ค. 2567 บุ้งนั่งรถเข็นมาจากสถานพยาบาลเพื่อพบทนาย ซึ่งการเดินจากตรงนั้นมาใช้เวลาประมาณแค่ 2 นาที แต่บุ้งก็ไม่สามารถเดินไหว มีเจ้าหน้าที่หลายคนไม่ว่าจะเป็นพยาบาลหรือเพื่อนผู้ต้องขังพยายามบอกให้บุ้งกินน้ำกินอาหาร แต่บุ้งก็บอกเขาไปว่าบุ้งจะไม่กินอะไรทั้งนั้นเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ยุติธรรมกับบุ้ง
ระหว่างที่นั่งคุยกับทนาย บุ้งสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้งเพื่อให้มีแรงก่อนพูด มีบางครั้งที่บุ้งฟุบนอนลงไปกับโต๊ะเพราะบุ้งนั่งไม่ไหว
บุ้งเล่าว่าหลังจากที่ทนายเยี่ยมเสร็จเมื่อวาน บุ้งก็เดินกลับไปที่แดน ไปถึงบุ้งก็หมดแรงพอล้มตัวลงนอนบุ้งก็หลับไปเลย รู้สึกตัวอีกทีก็คือเพื่อนผู้ต้องขังด้วยกันได้เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดและตะโกนเรียก บุ้งตื่นตื่น บุ้งไหวมั้ย บุ้งไม่รู้ว่าเพื่อนเรียกอยู่นานเท่าไหร่
“ช่วงเวลาไหนบุ้งก็จำไม่ได้ แต่บุ้งรู้สึกว่าบุ้งร้อนมาก ๆ ในตัวร้อนไปหมด บุ้งพยายามขอโคแพคกับเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่เอาพัดลมมาตั้งให้บุ้งแทนถึง 3 ตัว บุ้งก็ยังรู้สึกร้อนอยู่ยังงั้น จนต้องลุกไปอาบน้ำ บุ้งรู้สึกเหมือนคนจมน้ำ หัวใจบุ้งเต้นแรงมาก ๆ เต้นแรงเหมือนเวลาที่บุ้งต้องวิ่งทำงาน ทั้งที่ตอนนี้บุ้งไม่ได้ทำอะไรเลยแต่มันเต้นแรงตลอดเลย แต่บุ้งก็คอยบอกตัวเองว่าไหว”
บุ้งรู้สึกว่าร่างกายทรุดลงเร็วมาก ชั่วโมงต่อชั่วโมงเลย แต่ยังยืนยันว่าจะไม่ยื่นประกันตัวเอง แม้ตัวต้องตายก็ให้ประจานศาลไปอย่างนี้แหละ
“จะไม่ร้องขออะไร จะไม่ร้องขอไปรับการรักษาที่ไหน”
ช่วงสุดท้ายของการเยี่ยม บุ้งอ่อนแรงมาก หลังวางหูบุ้งนอนฟุบลงกับโต๊ะนานเกือบ 1 นาที เอามือกุมท้องตลอดเวลา ก่อนจะพยุงตัวเองขึ้น จากนั้นค่อย ๆ เกาะกำแพงเดินออกจากห้องไป
.
วันที่ 6: บุ้งดวงตาเลื่อนลอย ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดตลอดเวลา แต่ยังยืนยันหนักแน่น “ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม”
วันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการอดน้ำ อดอาหาร อาการของบุ้งไม่สู้ดีนัก บุ้งนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะรอทนายเหมือนทุกวัน ทนายเคาะกระจกเรียกบุ้ง บุ้งถึงค่อยพยุงตัวเองขึ้น เอื้อมมือรับโทรศัพท์ ใบหน้าบุ้งซีดขาวเห็นได้ชัด บุ้งบอกว่าวันนี้ไม่มีแรงเลยจริง ๆ น้ำหนักเหลือ 76 กิโลกรัม
บุ้งเล่าว่า เมื่อวานหลังจากเยี่ยมทนายเสร็จเดินพ้นห้องเยี่ยมบุ้งก็อาเจียนออกมามีลักษณะเป็นฟองสีขาว มีรสเหม็นเปรี้ยวและแสบคอมาก
เมื่อคืนบุ้งนอนไม่ค่อยหลับตื่นมาทุก ๆ 2 ชั่วโมง และต้องลุกขึ้นมานั่ง เนื่องจากมีอาการปวดท้องคล้ายกับกรดไหลย้อน ระหว่างที่คุยบุ้งดมยาดมและใช้ผ้าชุบน้ำที่ถือมาเช็ดที่หน้าและคอ ดวงตาเลื่อนลอย ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดตลอดเวลา หลายครั้งที่บุ้งหลับตาลงเพื่อเรียกสติ
บุ้งยังยืนยันหนักแน่นว่า ”ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม”
.
วันที่ 7: น้ำหนักบุ้งลดเหลือ 75 กก. ปัสสาวะแทบไม่ออกแล้ว นอนไม่ค่อยได้
2 ก.พ. 2567 บุ้งยังคงรักษาสัญญากับทนาย แม้ร่างกายจะทรุดไปเรื่อย ๆ ต้องให้เพื่อนผู้ต้องขังหิ้วปีกมา บุ้งบอกว่าถ้ายังมีชีวิตบุ้งจะลงมาพบทนาย มาพบหยกให้ได้ น้ำหนักบุ้งลดลงไปเหลือ 75 กิโลกรัม ปัสสาวะแทบไม่ออกแล้ว เมื่อวานอ้วกหลายรอบมาก รอบนี้เป็นสีส้ม กลางคืนนอนไม่ค่อยได้ ระหว่างที่คุยกันบุ้งมีอาการพะอืดพะอมคล้ายอยากอาเจียนอยู่ตลอด
บุ้งเล่าว่า หมอได้มาตรวจอาการบุ้ง บอกว่าบุ้งยังปกติ ค่าเลือดปกติ แต่บุ้งได้ยินหมอพูดว่า ตับอักเสบ ตัวแห้ง dehydrated พอบุ้งถาม หมอก็บอกว่าไม่เป็นไร บุ้งไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร หมอจะเข้ามาตรวจอีกทีก็วันจันทร์ (5 ก.พ.)
บุ้งเล่าอีกว่า เมื่อวานขณะที่บุ้งนอนหลับตาพักผ่อนอยู่ ผู้คุมได้พยายามเอาน้ำหวานใส่ไซริงค์มาหยดที่ปากบุ้ง แต่บุ้งรู้สึกตัวจึงเม้มปากไว้ บุ้งไม่ทันเห็นว่าใคร เพราะลืมตามามันก็พร่ามัว บุ้งคิดว่าผู้คุมคงพยายามจะช่วยบุ้ง เขาคงไม่รู้ว่าการทำแบบนี้มันอันตรายถึงชีวิตบุ้งได้
“บุ้งจะใช้ชีวิตบุ้งที่มีอยู่ประจานความไม่ยุติธรรมของศาล บุ้งยืนยันว่า ‘ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม’ สิ่งที่ศาลทำกับบุ้ง ศาลจะต้องชดใช้”
อย่างไรก็ตาม ทนายกับบุ้งใช้เวลาคุยกันน้อยลงทุกวัน เนื่องจากสภาพร่างกายของบุ้ง
.
วันที่ 10: กระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีเม็ดเลือดขาวปน แต่บุ้งปฏิเสธกินยา
5 ก.พ. 2567 บุ้งนอนฟุบที่โต๊ะรอทนายมาพบเช่นเดิม ทนายต้องเคาะกระจกเรียกสักพักบุ้งถึงจะลุกมารับสาย ทนายสอบถามถึงข่าวในโซเชียลที่ว่าบุ้งออกไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว บุ้งเล่าว่า เจ้าหน้าที่พาบุ้งไปตรวจที่โรงพยาบาลเมื่อเย็นวันศุกร์ แล้วก็พากลับ ไม่ได้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ตอนที่ไปโรงพยาบาลหมอจะเจาะเข็มให้น้ำเกลือแต่บุ้งขอไม่รับ ผลตรวจมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงถึง 160 ค่าเลือดปกติ ค่าน้ำตาล 81 และค่าของเสียในไตประมาณ 30
บุ้งบอกหมอว่า มีอาการปวดท้องสองข้าง หมอเลยขอตรวจฉี่ ฉี่บุ้งมีส้มแดงเข้มและขุ่น หมอบอกว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีเม็ดเลือดขาวปนออกมาด้วย หมอให้ยาฆ่าเชื้อพร้อมถามว่าจะกินยามั้ย บุ้งตอบว่า ไม่ หมอเลยบอกอีกว่า “ถ้าไม่กินยา อาการต่อไปที่จะตามมาคือ ติดเชื้อในกระแสเลือดนะ” บุ้งก็ถามกลับไปว่า “ติดเชื้อในกระแสเลือดนี่ตายไวมั้ยคะ” หมอบอกว่าไม่ได้ตายง่ายขนาดนั้นหรอก
หมอให้ยาฆ่าเชื้อ และยาไว้สำหรับเคี้ยวลดอาการกรดไหลย้อน แต่บุ้งปฏิเสธที่จะกิน บุ้งบอกว่า ถ้าบุ้งจะตายก็ไม่เป็นไร มันก็จะได้ประจานศาล ประจานกระบวนการยุติธรรม ประจานคุกไทยว่า ที่นี่ไม่ได้เห็นนักโทษ ไม่ได้เห็นผู้ต้องขังเป็นคน กระบวนการที่บอกว่าให้รับโทษในนี้เพื่อให้คนกลับตัวเป็นคนดีอะไรแบบนี้มันไม่จริงหรอก
.
วันที่ 11: บุ้งถูกพาเข้า รพ.ราชทัณฑ์ หลังมีอาการตับอักเสบ มีไข้ หมอระบุ อาจมีไตวายเฉียบพลันใน 3-4 วันข้างหน้า
6 ก.พ. 2567 ช่วงเช้าทนายเข้าเยี่ยมบุ้งได้ประมาณ 10 กว่านาทีเท่านั้น เพราะบุ้งเพลียมาก จึงส่งกลับ มีเพื่อนผู้ต้องขังมาช่วยพยุง 2-3 คน
บุ้งเล่าอาการว่า เดินเองไม่ได้แล้ว ฉี่สีแดงส้ม แต่ฉี่ออกน้อยมากๆ นอนราบไม่ได้เพราะกรดไหลย้อน ผอ.แจ้งว่าบุ้งเป็นตับอักเสบ
ทางเรือนจำแจ้งทนายว่า จะพาบุ้งไปหาหมอหลังจากทนายเข้าเยี่ยมในช่วงเช้าเสร็จ
ช่วงบ่าย ทนายจึงเข้าเยี่ยมผ่านไลน์ เนื่องจากบุ้งต้องกักตัวที่โรงพยาบาล บุ้งมาพบทนายในชุดโรงพยาบาลสีขาวมีเพื่อนผู้ต้องขังพยุงมา เมื่อมานั่งที่หน้าจอก็ฟุบลงกับโต๊ะ การคุยเป็นไปด้วยความลำบาก เสียงขาดหาย บุ้งต้องใช้แรงอย่างมากในการพูดคุย
บุ้งเล่าว่า หลังจากเยี่ยมทนายเสร็จในตอนเช้า เจ้าหน้าที่ก็พาบุ้งมาที่โรงพยาบาล เพราะบุ้งมีไข้ขึ้น 38 องศา เจ้าหน้าที่ต้องเอาผ้ามาเช็ดตามตัว เอาแผ่นมาแปะ และเอายาลดไข้มาให้กิน แต่บุ้งไม่กิน
หมอเอาเอกสารปฏิเสธการรักษา ปฏิเสธการกู้ชีพ ปฏิเสธการปั๊มหัวใจมาให้บุ้งเซ็น แต่หมอบอกว่ายังไม่ต้องเซ็นตอนนี้ เอากลับไปคิดดูก่อนก็ได้ หมอพูดกับบุ้งอีกว่า น้องต้องเข้าใจนะว่า 3-4 วันข้างหน้า น้องอาจจะไตวายเฉียบพลัน และอวัยวะอื่น ๆ ก็จะวายไปด้วย แล้วน้องก็จะไม่มีสติแล้วนะ น้องรับความเสี่ยงได้ใช่ไหม บุ้งไม่ได้ตอบอะไรเพราะไม่มีแรง
“บุ้งคิดในใจว่า ตะวัน แบม ยังไหวเลย บุ้งก็ต้องไหวสิ”
“ไม่ต้องกลัวบุ้งตาย แต่ให้กลัวว่าจะไม่มีความยุติธรรมในสังคมไทยดีกว่า”
.
วันที่ 12: อาการตับอักเสบมีมากขึ้น รอผลตรวจเลือด ยังยืนยันเจตจำนง ขอแลกชีวิตเรียกร้องความยุติธรรม
7 ก.พ. 2567 จากการเข้าเยี่ยมของทนายความครั้งล่าสุด บุ้งมีอาการน่ากังวลมากขึ้น อาการตับอักเสบมีมากกว่าเดิม แพทย์ได้ทำการเจาะเลือดไปตรวจว่าภาวะอักเสบเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ อยู่ระหว่างรอผลตรวจ
บุ้งบอกว่า ปวดท้องมาก นอนไม่หลับ ในปากแห้งมาก จนลอกผิวหนังออกมาเป็นแผ่นเล็ก ๆ ได้ บุ้งรู้สึกว่าไม่ไหวจึงใช้น้ำกลั้วในปากและบ้วนออกมาเพื่อให้ปากยังคงชุ่มชื้น แต่ไม่ได้กลืนน้ำที่ใช้กลั้วนั้นแต่อย่างใด
บุ้งยังคงยืนยันเจตจำนงลักษณะเดิมว่า หากถึงแก่ชีวิต ขอให้นำศพไปไว้หน้าศาล และหากต้องเลือกศาลเพียงแห่งเดียว จะขอเลือก ‘ศาลอาญากรุงเทพใต้’
โดยรวมบุ้งพูดน้อยกว่าฟังเรื่องความเป็นไปข้างนอก ก่อนจากกันบุ้งขอบคุณเพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยม และขอบคุณคนที่ฝากความเป็นห่วงเข้ามา