บันทึกการต่อสู้คดี 112 ของ “ณัฐชนน”: เมื่อคนปราศรัยใน ‘หนังสือปกแดง’ โดน ม.116 แต่คนนั่งหน้ารถบรรทุกหนังสือโดน ม.112

ในวันที่ 8 พ.ย. 2566 เวลา 10.00 น. ศาลจังหวัดธัญบุรีมีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในคดี ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ ณัฐชนน ไพโรจน์ บัณฑิตคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จากกรณี “หนังสือปกแดง” หรือ “หนังสือปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” 

เกี่ยวกับคดีนี้มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 ก่อนการชุมนุม #19กันยาทวงอํานาจคืนราษฎร ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจาก สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้เดินทางไปที่บ้านของสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และตรวจยึดหนังสือปกแดง ซึ่งเป็นหนังสือบันทึกคำปราศรัยวิจารณ์พระราชอำนาจจากเวที #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 จำนวนเกือบ 50,000 เล่ม ซึ่งอยู่ในรถเตรียมนำไปแจกในงานชุมนุมดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า จะนำหนังสือไปตรวจสอบว่า มีเนื้อหาล้มล้างการปกครองหรือไม่ โดยไม่ได้แสดงหมายค้น ต่อมา พนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง ได้ออกหมายเรียกให้ณัฐชนนเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ มาตรา 8

ภาพการตรวจยึดหนังสือจาก Posttoday

อัยการฟ้องณัฐชนน ร่วมกันผลิตหนังสือปกแดงกว่าสี่หมื่นเล่ม ระบุ 15 ข้อความ และ 10 ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2565 ณัฐพงษ์ วายุพัฒน์ พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรีได้ยื่นฟ้องณัฐชนนต่อศาลจังหวัดธัญบุรี ในฐานความผิด หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ เพียงข้อหาเดียว โดยบรรยายฟ้องมีใจความสำคัญว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 จําเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ ด้วยการร่วมกันผลิตหนังสือ ชื่อ “ฟ้ามืดเมื่อมีได้ ก็ฟ้าใหม่ย่อมคงมี ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา 10 ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์” จํานวน 45,080 เล่ม 

โดยอัยการได้หยิบยกข้อความที่อยู่ในหนังสือจำนวน 15 ข้อความ และข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ระบุว่า เข้าข่ายองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 โดยข้อความที่ถูกฟ้องทั้ง 15 ข้อความมีดังนี้

อัยการระบุว่า หนังสือดังกล่าวมีถ้อยคําที่เป็นการใส่ความกษัตริย์ ทําให้ประชาชนทั่วไปที่ได้อ่านเข้าใจว่ารัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 รับรองให้มีการรัฐประหาร เพื่อทําลายระบอบประชาธิปไตย และแทรกแซงการเมือง ทั้งยังมีเนื้อหามุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ซึ่งถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์

ย้อนอ่านข่าวสั่งฟ้องในคดีนี้ >> ฟ้อง ม.112 “ณัฐชนน” นศ.มธ. กรณีพิมพ์หนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า” รวมคำปราศรัยแกนนำ “ราษฎร” อ้างมีถ้อยคำใส่ความ รัชกาลที่ 9, รัชกาลที่ 10

ทั้งนี้ สำหรับหนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” หรือหนังสือปกแดง เป็นหนังสือถอดเทปคำปราศรัยของแกนนำ 4 ราย ได้แก่ อานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ในการชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และคำปราศรัยของ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ในการชุมนุม #จัดม็อบไล่แม่งเลย ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2563

ภาพรวมการสืบพยาน: พยานโจทก์อ้าง จำเลยครอบครองหนังสือปกแดง มีเนื้อหามุ่งหมายล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ด้านณัฐชนนยืนยัน ไม่ได้พิมพ์-เผยแพร่ ทั้งไม่ได้พูดข้อความที่ปรากฏในหนังสือ 

ศาลนัดสืบพยานทั้งสองฝ่ายรวม 4 นัด โดยสืบพยานโจทก์ระหว่างวันที่ 19-21 ก.ค. 2566 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 22 ก.ย. 2566 ทั้งนี้ อัยการนำพยานโจทก์เข้าสืบทั้งสิ้น 9 ปาก ได้แก่ ตำรวจผู้กล่าวหา, ตำรวจสืบสวน-สอบสวน, พยานความเห็น, อธิบดีกรมศิลปากร, ผู้ขับรถบรรทุกหนังสือ และประชาชนทั่วไป ส่วนทนายจำเลยได้นำพยานจำเลยเข้าสืบ 1 ปาก คือ ณัฐชนนผู้เป็นจำเลย ก่อนนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 8 พ.ย. 2566

โจทก์นำสืบว่า จำเลยเป็นสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และเป็นผู้ครอบครองหนังสือปกแดงจากการที่นั่งบนรถบรรทุกที่ขนหนังสือ โดยในหนังสือระบุในคำนำว่า ‘กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม’ เห็นว่าหนังสือมีเนื้อหาที่ดูหมิ่นกษัตริย์ มีจุดมุ่งหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มล้างสถาบันกษัตริย์

ด้านจำเลยต่อสู้ว่า ถึงแม้จะเป็นสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ แต่ไม่ได้เป็นผู้จัดพิมพ์และเผยแพร่หนังสือ รวมทั้งข้อความในหนังสือ หรือข้อความตามคำฟ้องที่มาจากการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ก็ไม่ได้มีคำพูดของจำเลย ผู้ที่ปราศรัยในวันนั้นก็ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีมาตรา 116 ไม่ใช่มาตรา 112 นอกจากนี้ในวันเกิดเหตุที่มีการตรวจยึดหนังสือไม่ได้มีเพียงจำเลยคนเดียวที่อยู่บนรถบรรทุก โดยในวันนั้นมี ชนินทร์ วงษ์ศรี ที่ถูกพาตัวไป สภ.คลองหลวง และแจ้งข้อหามาตรา 116 ส่วนคนอื่นนอกจากนั้น ก็ไม่ได้ถูกแจ้งความดำเนินคดีแต่อย่างใด 

บันทึกการสืบพยานโจทก์

ตำรวจผู้กล่าวหาเบิกความ หนังสือปกแดงเป็นการใส่ความกษัตริย์ ทำให้สถาบันกษัตริย์เสียหาย ไม่ทราบใครจัดทำ แต่กล่าวโทษจำเลยเนื่องจากนั่งอยู่บนรถขนหนังสือ 

พันตำรวจตรีสิรภพ บัวหลวง สารวัตรสืบสวน สภ.คลองหลวง ผู้กล่าวหา เบิกความว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 เวลา 10.00 น. มีการประสานงานมาจาก พลตำรวจตรีสุภธีร์ บุญครอง ผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 และพลเอกวิศิษฐ์ มะอักษร ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 หลังจากพยานตรวจสอบข้อมูล พบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน และพบว่าจะมีนักศึกษาขนย้ายอุปกรณ์ที่ผิดกฎหมายไปเข้าร่วมชุมนุม จากนั้น ผู้กำกับ สภ.คลองหลวง จึงประสานงานกับฝ่ายปกครอง อ.คลองหลวง และเดินทางไปที่หมู่บ้านนวลตอง

เมื่อเดินทางไปถึง มีทีมสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 อยู่ก่อนแล้วที่บริเวณหน้าหมู่บ้าน กำลังตรวจค้นภายในรถทั้งสองคัน โดยรถบรรทุกคันแรกมีจำเลยอยู่กับกลุ่มเพื่อน ส่วนอีกคันหนึ่งน่าจะมีประมาณ 7-8 คน

จากการตรวจค้นพบว่า รถคันแรกมีห่อกระดาษสีน้ำตาลที่ภายในบรรจุหนังสือจำนวน 80 เล่ม มีทั้งหมด 563 ห่อ และมีหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในห่อกระดาษสีน้ำตาลอีก 40 เล่ม จึงนำมาตรวจสอบ พบว่าเป็นหนังสือปกสีแดง มีข้อความเขียนที่หน้าปกว่า “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์” ความยาวประมาณ 20-30 หน้า ซึ่งเป็นถ้อยคำปราศรัยเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563  

พยานเห็นว่า นักศึกษาที่อยู่กับรถเป็นผู้กระทำผิด แต่ในวันนั้นไม่สามารถควบคุมตัวจำเลยได้ เนื่องจากมีกลุ่มนักศึกษาประมาณ 10-15 คน เข้ามาขัดขวาง พยานได้ตรวจยึดหนังสือจากรถคันแรกไปทั้งสิ้น 45,080 เล่ม ส่วนรถอีกคันไม่พบหนังสือ และในวันนั้นจำเลยได้เข้ามาแสดงตนว่าเป็นเจ้าของหนังสือ

หลังจากนั้นพยานได้ตรวจสอบและอ่านหนังสือดังกล่าว พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคำปราศรัย และมีการกล่าวถึงการรัฐประหารว่าเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งมีข้อความที่เป็นการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของรัชกาลที่ 9 สื่อให้เห็นว่า กษัตริย์ล้มล้างประชาธิปไตย เป็นการใส่ความด้านเดียวและโจมตีกษัตริย์ ทำให้สถาบันกษัตริย์เสียหายโดยที่ไม่มีข้อมูลรับรอง 

ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า เป็นเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 จัดโดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ​ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีจำเลยเป็นสมาชิกอยู่ด้วย วันดังกล่าวมีหลายคนขึ้นกล่าวคำปราศรัย ถึงแม้หนังสือปกแดงจะไม่มีคำปราศรัยของจำเลย แต่พยานมีหน้าที่สังเกตการณ์การชุมนุม พบว่าจำเลยเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเป็นผู้ดูแลการ์ดรักษาความปลอดภัย

หลังจากวันที่ 10 ส.ค. 2563 ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้พยานเฝ้าติดตามพฤติกรรมของจำเลย และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล อย่างต่อเนื่อง พยานพบว่ามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ตลอด และเข้าร่วมชุมนุมในที่อื่น ๆ ด้วย

พยานทราบว่า จำเลยอาศัยอยู่กับเพื่อนในบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ของหมู่บ้านนวลตอง แต่พยานไม่ทราบว่า วันเกิดเหตุจำเลยออกมาจากบ้านหลังนั้นหรือไม่ แต่ตำรวจสืบสวน ภาค 1 ยืนยันว่า จำเลยออกมาจากบ้านหลังนั้น

พยานไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้จัดทำหนังสือ เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายสอบสวน ในหนังสือระบุว่า ผู้จัดทำคือ “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” แต่ไม่ได้ระบุเป็นชื่อบุคคล โดยหน้าปกระบุชื่อผู้ปราศรัยทั้งสี่คน แต่พยานทราบว่า จำเลยอยู่ในรถ เป็นผู้ครอบครองหนังสือ พยานจึงกล่าวหาจำเลยในข้อหาตามมาตรา 112

พ.ต.ต.สิรภพ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในปี 2563 พยานเป็นผู้ติดตามกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ อย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ทราบจำนวนสมาชิกและโครงสร้างของกลุ่ม และในวันที่ 10 ส.ค. 2563 จำเลยได้เข้าร่วมการชุมนุม มีผู้ชุมนุมประมาณ 2-3 พันคน

ในวันเกิดเหตุ ตำรวจชุดแรกจะไปถึงที่เกิดเหตุเมื่อใดพยานไม่ทราบ แต่พยานไปถึงเวลา 10.20 น. ขณะนั้นมีตำรวจภูธรภาค 1, ตำรวจ สภ.คลองหลวง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรวมแล้ว 30 นาย ในระหว่างการตรวจค้น มีการบันทึกวิดีโอแต่ไม่ครบทั้งหมด พยานไม่เห็นว่า มีกล้องวงจรปิดติดตั้งในหมู่บ้านและบริเวณที่ตรวจค้น รวมถึงไม่มีภาพจำเลยขณะนั่งอยู่หน้ารถเช่นกัน

หนังสือปกแดงส่วนใหญ่บรรจุอยู่ในหีบห่อ มีเพียงบางส่วนที่วางไว้ด้านนอก พยานไม่ทราบถึงโรงพิมพ์และผู้ที่จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้

ขณะที่มีการตรวจยึดหนังสือ ผู้ที่โต้แย้งกับเจ้าหน้าที่คือ ชนินทร์ วงษ์ศรี พยานทราบด้วยว่า ในวันนั้นมีการควบคุมตัวชนินทร์ แต่ไม่ทราบว่า เขาถูกตั้งข้อกล่าวหามาตรา 116 นอกจากนี้ พยานเป็นผู้กล่าวหาและเป็นชุดสืบสวนในคดีการชุมนุมวันที่ 10 ส.ค. 2563 ซึ่งผู้ที่ปราศรัยในวันดังกล่าวถูกดำเนินคดีมาตรา 116 โดยที่ไม่มีผู้ใดถูกดำเนินคดีมาตรา 112

พยานไม่มีความเห็นว่า หากทนายจำเลยเป็นผู้ครอบครองหนังสือเล่มนี้ จะถูกแจ้งความดำเนินคดีตามมาตรา 112 หรือไม่ 

พยานไม่ทราบว่า สถาบันกษัตริย์ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่อดีตพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ตาม พยานรับว่า ตอนที่จัดทำหนังสือเล่มนี้ รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตแล้ว

ในข้อความที่  13 ไม่ได้เอ่ยพระนามของรัชกาลที่ 10 ส่วนในข้อความที่ 15 ซึ่งกล่าวถึงกบฏยังเติร์กนั้น​ พยานทราบเรื่องดังกล่าวจากสื่อโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ทราบถึงรายละเอียด

ตั้งแต่รัชกาลที่10 ขึ้นครองราชย์ยังไม่มีการทำรัฐประหาร ซึ่งข้อความ “ต้องไม่เซ็นรับรองการรัฐประหาร หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น” ในข้อความที่ 13 เป็นการพูดถึงอนาคตและยังไม่ทราบว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนข้อความตามคำฟ้องทั้งหมดจะเป็นจริงหรือไม่ อย่างไร พยานไม่ยืนยัน ทั้งนี้ ก่อนจะมีการกล่าวหาให้ดำเนินคดีจำเลย พยานได้ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นก่อน แต่ไม่ทราบชื่อ 

จำเลยจะใช้เลขบัญชีของธนาคารใด และติดต่อว่าจ้างรถบรรทุกทั้งสองคันอย่างไร พยานไม่ทราบ เพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน

พยานไม่ได้เป็นผู้จัดทำบันทึกการตรวจยึดและบันทึกการจับกุม และในบันทึกการตรวจยึดก็ไม่ได้ระบุว่า จำเลยเป็นเจ้าของหนังสือ หรือว่าได้หนังสือมาจากจำเลย

อย่างไรก็ตาม พ.ต.ต.สิรภพ ตอบอัยการถามติงว่า พยานเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จับกุม และมีรูปภาพจำเลยปรากฏอยู่ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดหนังสือ

.

ตำรวจสืบสวนระบุ ไม่ทราบใครจัดทำหนังสือปกแดง แต่จำเลยครอบครองเพราะนั่งอยู่หน้ารถขนหนังสือ คาดว่าเป็นเจ้าของ

พันตำรวจโทสามารถ เปาจีน รองผู้กำกับสืบสวน สภ.เมืองปทุมธานี ขณะเกิดเหตุเป็นสารวัตรสืบสวน สภ.คลองหลวง เบิกความว่า วันที่ 19 ก.ย. 2563 ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 1 มาขอความร่วมมือให้ไปตรวจสอบการขนย้ายของที่ผิดกฎหมายบริเวณหน้าหมู่บ้านนวลตอง พยานจึงเดินทางไปกับพันตำรวจตรีสิรภพ, กำลังตำรวจจาก สภ.คลองหลวง และตำรวจภูธรภาค 1 รวมทั้งฝ่ายปกครอง เมื่อไปถึงพบรถบรรทุกหกล้อ 2 คัน กำลังขับออกจากหมู่บ้านจึงเข้าตรวจสอบ

ในรถคันแรกพบหนังสือปกแดง ซึ่งมีจำเลยกับนักศึกษาผู้หญิง จำชื่อไม่ได้ นั่งอยู่กับคนขับ ส่วนคันที่สองพบเจอของที่ใช้ในการชุมนุม พยานเห็นว่าหนังสือปกแดงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จากการสอบถามคนขับรถได้ความว่า ถูกจ้างให้มาขนของ แต่ไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด รถบรรทุกดังกล่าวมาจากบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพราะยังออกมาไม่พ้นจากหมู่บ้าน คาดว่าน่าจะไปในกรุงเทพฯ เนื่องจากในวันนั้นมีการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ เป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 จำเลยเป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่ม พยานทราบว่า จำเลยและเพื่อนในกลุ่มพักอยู่ที่หมู่บ้านนวลตอง แต่ไม่ทราบรายละเอียด เพราะไม่เคยไป

ในเหตุการณ์ตรวจยึดหนังสือ ช่วงแรกมีจำเลยและนักศึกษาอีก 3-4 คน เข้ามาขัดขวางและไม่ให้ความร่วมมือ โดยจำเลยน่าจะเป็นผู้ที่ควบคุมนักศึกษาที่เข้ามาขัดขวาง ในวันดังกล่าวได้ตรวจยึดหนังสือไปทั้งสิ้น 45,080 เล่ม มีชื่อพยานลงชื่อในบันทึกการตรวจยึดด้วย เกี่ยวกับหนังสือปกแดง พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ แต่จำเลยเป็นผู้ครอบครองเพราะนั่งอยู่หน้ารถ จึงคาดว่าเป็นเจ้าของ

ต่อมา พ.ต.ท.สามารถ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไปถึงที่เกิดเหตุเวลา 10.00 น. แต่ไม่แน่ใจว่าตำรวจภูธรภาค 1 จะตรวจค้นไปก่อนแล้วหรือไม่ ขณะนั้นบริเวณที่เกิดเหตุมีนักศึกษา สื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่รวมทั้งหมดประมาณ 40-50 คน

เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนรวมถึงพยานช่วยกันถ่ายภาพขณะตรวจยึดหนังสือ โดยพยานเดินไปรอบ ๆ รถ ไม่ปรากฏในรายงานการสืบสวนว่า จำเลยนั่งอยู่บนรถ และจะมีผู้เชิญจำเลยลงมาหรือไม่ พยานไม่ทราบ

เกี่ยวกับบ้านพักที่จำเลยอาศัยอยู่ พยานไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พยานได้รับรายงานจากสายสืบว่า จำเลยอยู่ที่นั่น แต่พยานก็ไม่เคยไปที่บ้านหลังนั้น และไม่ได้เรียกเจ้าของบ้านมาสอบปากคำ

.

พนักงานสอบสวนอ้างเหตุ จำเลยเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และร่วมชุมนุม 10 สิงหา จึงแจ้งข้อหา 112 แม้แกนนำที่ปราศรัยถ้อยคำในหนังสือถูกฟ้องเพียง ม.116

ร้อยตำรวจเอกดล ชูเกลี้ยง พนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง เบิกความว่า พยานได้รับรายงานจากฝ่ายสืบสวนว่า มีการตรวจยึดหนังสือปกแดงจากกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้มีการทำบันทึกการตรวจยึด และลงบันทึกประจำวันไว้ด้วย

ผู้ที่เข้าแจ้งความสงสัยว่าจำเลยจะนำหนังสือดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อหาผิดตามมาตรา 112 ไปเผยแพร่ จึงได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการควบคุมตัวจำเลยไว้ ส่วนหนังสือปกแดงจะมีใครเป็นผู้ครอบครอง พยานไม่สามารถตอบได้

ในวันเกิดเหตุ พยานได้รับแจ้งว่า มีนักศึกษาพยายามนำหนังสือดังกล่าวใส่รถบรรทุกไปที่สนามหลวง โดยพบอุปกรณ์อื่น ๆ เป็นโต๊ะ เก้าอี้รวมอยู่กับกองหนังสือด้วย พร้อมทั้งพบจำเลยกับผู้หญิงไม่ทราบชื่อนั่งอยู่หน้ารถบรรทุกกับคนขับ พยานสอบปากคำคนขับรถบรรทุกจึงทราบว่า ได้รับการว่าจ้างจาก “บิว” และมีพยานหลักฐานเป็นภาพบทสนทนาตกลงว่าจ้างกันในแอปพลิเคชันไลน์

พยานเป็นผู้สอบปากคำพยานโจกท์ปากอื่น ๆ ในชั้นสอบสวนทั้งหมด และในการสอบสวนการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 เป็นเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และในหนังสือปกแดงก็เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับถ้อยคำปราศรัยในวันนั้น โดยเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 พยานแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 กับจำเลย

ทั้งนี้ ศาลได้ถาม ร.ต.อ.ดล ว่า จากการสอบสวนทั้งหมดหนังสือปกแดงมีเนื้อหาส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับจำเลย พยานตอบว่า มีชื่อจำเลยอยู่ในหนังสือด้วย แต่ศาลแย้งว่า ในหนังสือเล่มนี้ไม่ปรากฏชื่อจำเลย ซึ่งทำให้ศาลสงสัยและถามพยานต่อว่า พยานเบิกความว่า มีอีกคนนั่งอยู่หน้ารถบรรทุกกับจำเลยด้วย พยานได้แจ้งความบุคคลดังกล่าวด้วยหรือไม่ พยานตอบว่า ในคดีนี้มีการแจ้งข้อหามาตรา 112 กับจำเลยเพียงคนเดียว

ศาลจึงถามต่อไปว่า แล้วบุคคลที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ พยานไม่แจ้งข้อกล่าวหาในมาตรา 112 ด้วยหรือ ในเมื่อเขาเป็นผู้ปราศรัยถ้อยความนี้ด้วยตนเอง พยานตอบว่า เหตุที่แจ้งข้อหาจำเลยเพียงคนเดียวเพราะจำเลยเป็นสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และได้เข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 ส่วนแกนนำที่ปราศรัยถ้อยคำในหนังสือ พยานทราบว่า ได้มีการฟ้องมาตรา 116 ไปแล้ว แต่ไม่ได้ฟ้องมาตรา 112

ศาลถามต่ออีกว่า ที่พยานอธิบายเหตุที่แจ้งข้อหาจำเลยเพียงคนเดียว เพราะเป็นสมาชิกกลุ่มและเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าว แล้วแกนนำที่มีชื่อในหนังสือปกแดงฉบับนี้ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมในวันดังกล่าวหรืออย่างไร พยานไม่ได้ตอบคำถามนี้กับศาล 

ศาลจึงถามสรุปว่า ทำไมคนปราศรัยถึงโดนมาตรา 116 แต่คนนั่งหน้ารถบรรทุกถึงโดนมาตรา 112 พยานอธิบายเพียงว่า คดีมาตรา 116 เข้าใจว่าได้มีการพิจารณาที่ศาลนี้ แต่ยังไม่มีคำพิพากษาออกมา และพยานเป็นเพียงหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนสืบสวนเท่านั้น 

ร.ต.อ.ดล ตอบทนายจำเลยถามค้านต่อมาว่า การชุมนุมในวันที่ 10 ส.ค. 2563 เป็นการชุมนุมใหญ่ และเป็นคดีใหญ่ที่พยานเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวน คำปราศรัยทั้งหมดในหนังสือปกแดงก็เป็นถ้อยคำของแกนนำที่ขึ้นพูดในวันนั้น

ในคดีที่มีการฟ้องมาตรา 116 กับแกนนำที่ปราศรัยในหนังสือปกแดง ตั้งแต่ในชั้นตำรวจจนถึงอัยการจะมีการแจ้งมาตรา 112 หรือไม่ พยานไม่ทราบ เนื่องจากเป็นเพียงหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนเท่านั้น ไม่ใช่พนักงานสอบสวนหลักเหมือนคดีนี้ 

พยานไม่ทราบว่า หนังสือปกแดงถูกจัดพิมพ์โดยผู้ใด และจากการสอบสวนคนขับรถบรรทุกที่ขนย้ายหนังสือทราบว่า บนรถดังกล่าวไม่ได้มีเพียงจำเลยที่นั่งมาด้วย แต่ที่ท้ายรถมีนักศึกษาอีก 6-7 คน ซึ่งไม่ได้มีใครถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ในหนังสือเล่มดังกล่าวไม่มีส่วนใดที่เป็นคำปราศรัยของจำเลย ส่วนกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ จะมีกี่คนและมีโครงสร้างกลุ่มเป็นอย่างไร พยานไม่ทราบ 

จำเลยยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาตั้งแต่ในชั้นสอบสวนว่า ไม่ได้เป็นผู้ผลิตหรือครอบครองหนังสือปกแดง และพยานก็ไม่ได้สอบปากคำหรือสอบสวนเพื่อหาว่าใครเป็นผู้จัดพิมพ์

เมื่ออัยการถามติงในประเด็นนี้ พยานตอบว่า เนื่องจากทราบว่าหนังสือเล่มดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ และจำเลยก็เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มอยู่แล้ว จึงไม่ได้สอบสวนหาข้อเท็จจริงในส่วนดังกล่าวต่อ 

ศาลถามพยานอีกว่า เหตุใดชนินทร์จึงไม่ถูกดำเนินคดีร่วมกับจำเลยในคดีนี้ด้วย พยานตอบว่า สำหรับชนินทร์ ถูกดำเนินคดีในมาตรา 116 แต่พยานไม่ทราบในรายละเอียด

.

ตำรวจสืบสวนคดีชุมนุม 10 สิงหา เบิกความเห็นว่า เนื้อหาคำปราศรัยในหนังสือปกแดงมีลักษณะหมิ่นเหม่ – ผู้จัดพิมพ์มุ่งเผยแพร่คำปราศรัยให้คนที่ไม่ได้ร่วมชุมนุม แต่รับว่า ไม่มีการเอ่ยชื่อ รัชกาลที่ 10 ในหนังสือ

พันตำรวจโทคชา ศรชัย ตำรวจกองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 เบิกความว่า พยานได้รับมอบหมายให้มาเป็นหัวหน้าตำรวจสันติบาล จังหวัดปทุมธานี และเป็นผู้สืบสวนคดีจากเหตุชุมนุม 10 ส.ค. 2563

ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า 10 สิงหา คือการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ส่วนแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ เป็นกลุ่มที่นักศึกษาจัดตั้งขึ้นจากพรรคโดมปฏิวัติกับแนวร่วมในมหาวิทยาลัย พยานได้รับคำสั่งให้มาสืบสวนติดตามและสังเกตการณ์ชุมนุม โดยในวันที่ 10 ส.ค. 2563 พยานแต่งกายนอกเครื่องแบบเข้าไปฟังและบันทึกวิดีโอผู้ที่ขึ้นปราศรัย และถอดเทปคำปราศรัยเพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา 

คนที่ขึ้นปราศรัยในวันดังกล่าว พยานจับตาดู อานนท์ นำภา, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และณัฐชนน ไพโรจน์ เป็นพิเศษ โดยณัฐชนนเป็นแกนนำของนักศึกษาที่จัดกิจกรรมในวันนั้น 

การจัดกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อขับไล่รัฐบาล และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จากที่พยานฟังคำปราศรัยก็ทำให้เข้าใจว่า สถาบันกษัตริย์อาจมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและเหตุการณ์ผู้ลี้ภัย

พยานเคยเห็นหนังสือปกแดง เนื้อหาในหนังสือบางส่วนมาจากการปราศรัย ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนประมาณ 5% เมื่อเทียบกับคำถอดเทปของพยาน โดยมีการกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ในลักษณะที่หมิ่นเหม่ อย่างในข้อความที่ 9 ตามฟ้อง พยานเป็นว่า เป็นการพยายามพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ว่า ส่งทหารมาจัดการผู้ลี้ภัย ส่วนจุดมุ่งหมายของผู้ที่จัดพิมพ์ก็เพื่อนำคำปราศรัยดังกล่าวมาเผยแพร่ให้กับคนที่ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมในวันนั้น

พ.ต.ท.คชา ตอบทนายจำเลยถามค้านในเวลาต่อมาว่า ที่พยานเบิกความว่า คำปราศรัยที่ปรากฏในหนังสือกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ในลักษณะที่หมิ่นเหม่นั้น พยานไม่เคยให้การในชั้นสอบสวนมาก่อน ส่วนที่พยานเบิกความถึงคำปราศรัยเรื่องผู้ลี้ภัย จำเลยก็ไม่ได้เป็นผู้กล่าวคำปราศรัยดังกล่าว และเรื่องวันเฉลิมถูกอุ้มหายในกัมพูชา พยานเคยเห็นจากข่าวเท่านั้น แต่ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าหายจริงหรือไม่

ทนายความถามว่า คำว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ประกอบด้วยอะไรบ้าง พยานตอบว่า ก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ อดีตกษัตริย์ อดีตพระราชินี และอดีตราชวงศ์ จะเป็นส่วนประกอบของสถาบันกษัตริย์หรือไม่ พยานไม่ทราบ และในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีการเอ่ยพระนามของรัชกาลที่ 10 

พยานตอบทนายจำเลยโดยยืนยันว่า รัชกาลที่ 10 ประทับอยู่ที่เยอรมัน และมีขบวนเสด็จไปอยู่ที่เยอรมันด้วย เดินทางโดยเครื่องบินซึ่งใช้งบประมาณแผ่นดิน พยานทราบข้อมูลจากข่าวและคนทั่วไปก็น่าจะทราบ ส่วนจะไปอยู่นานหรือไม่ หรือจะมีพระบรมวงศานุวงศ์เดินทางไปด้วยหรือไม่ พยานไม่ทราบ 

ในวันเกิดเหตุ พยานไม่ได้ร่วมตรวจยึดหนังสือและไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ไม่ทราบด้วยว่า หนังสือดัง กล่าวถูกพิมพ์ขึ้นที่ใด และใครเป็นผู้จัดพิมพ์ ทั้งนี้ ถ้าหนังสือดังกล่าวไปอยู่กับใคร และบุคคลนั้นไม่ใช่ผู้พิมพ์หรือผู้เผยแพร่ จะมีความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ พยานไม่ทราบข้อกฎหมาย 

.

“อานนท์” ให้ความเห็น หนังสือปกแดงระบุถึง ร.9 – ร.10 ให้เห็นว่า ไม่ดี – อยู่เหนือกฎหมาย ทำให้ประชาชนเกลียดชัง ผู้จัดพิมพ์มุ่งล้มล้างสถาบันกษัตริย์ แต่ไม่ทราบว่า มีการประกาศให้เป็นหนังสือต้องห้ามหรือไม่

อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ เบิกความว่า เกี่ยวข้องในคดีนี้เนื่องจากตำรวจต้องการความเห็นของพยานเกี่ยวกับหนังสือที่ยึดมาสี่หมื่นกว่าเล่มว่า เข้าข่ายหมิ่นสถาบันกษัตริย์หรือไม่ พยานจึงเข้าพบพนักงานสอบสวนและให้ความเห็นในแต่ละข้อความ 

ข้อความที่ 1 พยานเห็นว่า เป็นการดูหมิ่น พาดพิงว่า มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งพลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร เป็นการพาดพิงถึงรัชกาลที่ 9 ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสถาบันกษัตริย์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งไม่จริง

ข้อความที่ 2 พยานเห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาทและข้อความเป็นเท็จ เพราะไม่มีหลักฐานว่าประเทศไทยกลับไปปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการกล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เรื่องทรัพย์สินของกษัตริย์และการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่เป็นความจริง เป็นการกล่าวหาทำให้คนเข้าใจผิดได้

ข้อความที่ 3 พยานเห็นว่า เป็นการกล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองทั้งที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจน กษัตริย์ใช้อำนาจผ่านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ 

ข้อความที่ 4 เป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนไทยได้ ทำให้คนเกิดความเกลียดชัง 

ข้อความที่ 5 เป็นการกล่าวหาว่ากษัตริย์เข้ามายุ่งเกี่ยวการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้คนเกิดความเกลียดชัง

ข้อความที่ 6 พยานเห็นว่า การกล่าวหาว่ากษัตริย์อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยโดยประชาชนไม่สามารถแตะได้ก็เป็นความเท็จ เพราะว่าอันที่จริงแล้วกษัตริย์ก็วิจารณ์ได้ โดยพูดข้อเท็จจริงอย่างสุภาพและไม่ก้าวล่วงหรือดูหมิ่น

ข้อความที่ 7 พยานเห็นว่า การพูดให้กลับประเทศไทยเป็นการก้าวล่วงเรื่องส่วนตัว ส่วนเรื่องภาษีก็ไม่เป็นความจริง เพราะอยู่ต่างประเทศหรือไม่ การทำพระราชกรณียกิจก็ไม่ได้ใช้ภาษีประเทศ จึงเป็นการดูหมิ่น

ข้อความที่ 8 พยานเห็นว่า เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 กษัตริย์อยู่ในที่เคารพสูงสุด ข้อความนี้เป็นการดูหมิ่นว่ากษัตริย์เป็นไพร่ 

ในข้อความที่ 9 ที่พูดเรื่องวันเฉลิม เป็นการกล่าวหาว่ากษัตริย์โหดเหี้ยม สั่งฆ่าประชาชน แต่ไม่มีหลักฐาน เป็นแค่ทฤษฎีสมคบคิด ทำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชัง 

ข้อความที่ 11-12 พยานเห็นว่าการเรียกร้องให้กษัตริย์อยู่เหนือการเมืองไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีหลักฐานว่าท่านมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรืออยู่เหนือกฎหมาย เป็นการก้าวล่วงกษัตริย์ 

ข้อความที่ 13 พยานเห็นว่า เป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ คณะรัฐประหารตัดสินใจโดยที่กษัตริย์ไม่รับรู้มาก่อน และไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

ข้อความที่ 14 พยานเห็นว่า เป็นการกล่าวหาว่ากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ไม่น่าศรัทธา การกล่าวหาด้วยข้อความดังกล่าวทำให้ประชาชนดูหมิ่น เหยียดหยามสถาบันกษัตริย์ 

ข้อความที่ 15 พยานเห็นว่า เป็นการกล่าวหาว่าสถาบันกษัตริย์ร่วมสมคบคิด จะทำรัฐประหารได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งไม่เป็นความจริง 

และข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ได้มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564 ว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 49 ให้เลิกการกระทำดังกล่าวทันที 

พยานเห็นว่า จุดมุ่งหมายของผู้จัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเป็นปฏิปักษ์ ต่อต้าน และล้มล้างสถาบันกษัตริย์ จากที่พยานอ่าน หนังสือระบุถึงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ให้เห็นว่า ไม่ดี โหดร้าย ทารุณ เห็นแก่อำนาจ เหนือกฎหมาย ทำให้เกิดความเกลียดชังได้

จากนั้น อานนท์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรมในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ กฎหมาย หรือสังคม นอกจากนั้นแล้วการศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก และงานวิจัยของพยานก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์

หนังสือของพยานเรื่อง “สถาบันกษัตริย์ ความจริงที่ถูกบิดเบือน” ตีพิมพ์เมื่อปี 2565 ขณะที่พยานไปให้การในคดีนี้ก็ยังไม่ได้เผยแพร่หนังสือเล่มนี้ออกมา รวมทั้งเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวก็ไม่ได้มีการอ้างอิงข้อมูลตามหลักบรรณานุกรม

พยานเคยไปเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีมาตรา 112 ของทิวากร วิถีตน จากการใส่เสื้อสกรีนข้อความ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” ซึ่งศาลขอนแก่นพิพากษายกฟ้อง พยานมีความเห็นไม่ตรงกับศาล แต่ยอมรับในคำพิพากษาดังกล่าว นอกจากนี้ พยานเคยไปเบิกความเป็นพยานโจทก์ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ว่า การเรียกชื่อกษัตริย์โดยใช้ชื่อเล่นโดยไม่เคารพ เป็นการผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 จึงทำให้มีความผิดตามมาตรา 112 ด้วย

พยานทราบว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 มาตรา 6 บัญญัติไว้ว่ากษัตริย์จะถูกฟ้องร้องได้ แต่เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งเป็นฉบับเดียวเท่านั้นที่ระบุเช่นนี้ 

ส่วนในปี 2560 ที่มีการออก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บัญญัติให้ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น พยานเห็นว่า ไม่ผิดแต่อย่างใด เพราะกรรมสิทธิ์อยู่ที่เดิม 

เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ที่ผ่านการทำประชามติแล้ว พยานเห็นว่า สามารถแก้ไขได้ผ่านกลไกรัฐสภาโดยไม่ต้องทำประชามติใหม่ แต่พยานไม่เคยทราบว่า ในหลวงรับสั่งให้แก้รัฐธรรมนูญฉบับที่มีการทำประชามติแล้ว ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการบัญญัติให้กษัตริย์แก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่นั้น พยานก็ไม่ทราบ เนื่องจากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญ

กรณีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 16 บัญญัติเรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กรณีกษัตริย์ไม่อยู่ในประเทศว่าจะมีการแต่งตั้งหรือไม่ก็ได้นั้น พยานเห็นว่า ทำได้ เนื่องจากยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

นอกจากนี้ กษัตริย์เป็นจอมทัพไทยตามรัฐธรรมนูญ จึงมีการโอนกำลังพลส่วนหนึ่งเข้ามาเป็นกำลังพลส่วนพระองค์ เพราะมิเช่นนั้นก็จะกล่าวว่ากษัตริย์แทรกแซง

พยานทราบว่า ที่ในหลวงเสด็จไปเยอรมันซึ่งอาจจะมีข้าราชบริพารไปด้วย เป็นการใช้ทรัยพ์ส่วนพระองค์ ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน อีกทั้งทราบว่า หน่วยงานข้าราชการในพระองค์ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาษีทุกปี แต่ไม่เคยเห็นการจัดสรรงบประมาณเป็นค่าพาหนะในการเดินทางของสถาบันกษัตริย์ ส่วนข้าราชบริพารที่เดินทางไปด้วย เท่าที่พยานทราบก็ไม่ได้ใช้ภาษีของประชาชน

พยานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะกรรมาธิการงบประมาณฯ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงบประมาณ แต่พยานเป็นประชาชนก็สามารถหาความรู้ได้

พยานไม่เคยอ่านกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่พยานให้ความเห็นต่อข้อความตามฟ้องนั้น พยานยึดตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เท่านั้น 

ข้อความตามฟ้องเรื่องข้อเสนอการแก้ปัญหาการขยายอำนาจของกษัตริย์นั้น พยานไม่ทราบว่า ปัจจุบันมีการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ให้กษัตริย์มีอำนาจแต่งตั้งพระสังฆราช ซึ่งแต่เดิมเป็นอำนาจของมหาเถรสมาคม  

ข้อความ “กษัตริย์ต้องไม่เซ็นรับรองการรัฐประหาร หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น” พยานเข้าใจว่า เป็นการพูดถึงอดีต

เกี่ยวกับข้อความตามฟ้องที่กล่าวถึงเรื่องกบฏยังเติร์กนั้น ขณะนั้นพยานอายุ 4 ขวบ ได้อ่านเพียงประวัติศาสตร์ จึงไม่ทราบว่าคนยึดอำนาจได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 9 หรือไม่ 

การรัฐประหารและการล้มล้างการปกครองจะมีความผิดตามมาตรา 113 หรือไม่ พยานไม่ทราบ บางครั้งพยานก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอย่างไร ไม่ทราบ ซึ่งการให้กษัตริย์เซ็นเป็นการบังคับไปโดยปริยาย เพราะไม่ได้มีการบอกล่วงหน้าก่อน 

การครอบครองหนังสือที่ผิดกฎหมายน่าจะผิดมาตรา 112 แต่มีการประกาศให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือต้องห้ามหรือไม่ พยานไม่ทราบ ทั้งนี้ พยานเห็นคนหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์แล้วรับไม่ได้ จึงเคยไปร่วมกับพรรคไทยภักดีขอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 ให้ขยายความคุ้มครองครอบคลุมถึงอดีตกษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ 

ทั้งนี้ อานนท์ตอบอัยการถามติงด้วยว่า ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ เป็นของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ แต่จำเลยอยู่ในกลุ่มดังกล่าวหรือไม่ พยานไม่มั่นใจ

.

“กิตติพงศ์” ให้ความเห็น คำปราศรัยในหนังสือปกแดงเข้าข่ายผิด 112 เนื่องจากทำให้ ร.10 เสื่อมเสีย แต่ยืนยันว่า หากมีหนังสือในครอบครอง ก็ไม่ได้ถือว่าผิด 112

ผศ.กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เบิกความว่า พยานมีประสบการณ์เขียนหนังสือเกี่ยวกับการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริยในรัฐธรรมนูญและมาตรา 112 และเขียนบทความถึงการไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ 10 ข้อในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ

พยานทราบว่า หนังสือปกแดงจัดทำขึ้นโดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ เนื้อหาเป็นคำปราศรัยจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ซึ่งการชุมนุมวันดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อประกาศข้อเสนอทางการเมือง 10 ข้อ เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

เมื่อพิจารณาถ้อยคำปราศรัยในหนังสือแล้วเห็นว่า เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เนื่องจากทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสีย เนื้อหาตั้งแต่หน้าที่ 3 เป็นต้นไป เป็นการหมิ่นประมาท มีการกล่าวหาว่า รัชกาลที่ 10 ทรงใช้เงินภาษีประชาชนไปใช้จ่ายส่วนพระองค์ แต่ในความจริงแล้วพยานเห็นว่าตั้งแต่ปี 2475 กษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีอำนาจเหนือประชาชนอย่างที่ถูกกล่าวหา

พยานเห็นว่า ข้อความที่ 9 ตามฟ้อง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า รัชกาลที่ 10 เป็นผู้สั่ง ทำให้พระองค์เสียหาย ซึ่งไม่มีหลักฐานที่เป็นความจริง เป็นการพยายามปลุกปั่นกลุ่มผู้ชุมนุมกันเองมากกว่า และข้อความที่ 12 ก็ไม่เป็นความจริง เพราะพระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ

เกี่ยวกับข้อเรียกร้องทั้ง 10 ข้อ ในข้อเรียกร้องที่ 1 ให้ยกเลิกมาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญ พยานเห็นว่า มาตรา 6 ตราขึ้นเพื่อปกป้องและคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ จึงไม่เห็นด้วยที่เรียกร้องให้ยกเลิก เพื่อให้ใครมาพิจารณาความผิดของกษัตริย์ได้ ส่วนข้อเสนอข้ออื่นก็เห็นว่า กระทบต่อรัชกาลที่ 10 เช่นกัน และศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยข้อเรียกร้องดังกล่าวแล้วว่า ไม่สามารถทำได้ เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข

พยานเห็นว่า ที่บ้านเมืองมีปัญหาทางการเมืองอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นปัญหาที่มาจากกษัตริย์ แต่เป็นปัญหาจากการคอรัปชั่นของนักการเมือง ซึ่งสถาบันกษัตริย์มีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ ในหลาย ๆ ครั้งก็นำพาประเทศฝ่าฟันวิกฤตทางการเมืองไปได้

ในการตอบทนายจำเลยถามค้าน กิตติพงศ์ยืนยันว่า หากใครมีหนังสือปกแดงในครอบครอง ก็ไม่ได้ถือว่าเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 112 และพยานไม่ทราบว่าหนังสือเล่มดังกล่าวใครเป็นผู้ผลิต

พยานจบนิติศาสตร์ เอกกฎหมายมหาชน และทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับกฎหมายปกครอง ไม่ได้มีผลงานวิชาการ ผลงานตีพิมพ์ในระดับนานาชาติ รวมถึงไม่ได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ อีกทั้งพยานไม่ได้ขึ้นบัญชีเป็นผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานศาลยุติธรรม

พยานได้รับการติดต่อให้ไปเป็นพยานโจทก์ในคดีมาตรา 112 มาแล้วกว่า 50 คดี และมีความเห็นว่า หลายคดีมีความผิดไปแล้วกว่า 90% แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีมานี้ ศาลชั้นต้นก็เคยพิพากษายกฟ้องคดีมาตรา 112 หลายคดี โดยวินิจฉัยว่า การหมิ่นประมาทกษัตริย์องค์ปัจจุบันเท่านั้นจึงจะเข้าองค์ประกอบความผิด 

ในประวัติศาสตร์คณะราษฎรก็เคยเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 โดยให้มีการพิจารณาความผิดขององค์พระมหากษัตริย์ได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร แต่มีการบังคับใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และใช้เพียงไม่กี่เดือน ซึ่งข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 6 นั้น ก็เป็นการเรียกร้องให้กลับไปใช้ในรูปแบบเดียวกับที่คณะราษฎรเคยประกาศใช้ อีกทั้งข้อเสนอทั้ง 10 ข้อ ก็ไม่ได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแต่อย่างใด 

ในประเด็นที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า รัชกาลที่ 10 ทรงมีรับสั่งให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ที่ผ่านประชามติแล้วนั้น พยานกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานอื่นนอกจากนี้

ในรัฐธรรมนูญ​ พ.ศ.2560 มาตรา 16 ที่มีการแก้ไขจากร่างรัฐธรรมนูญให้กษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการพระองค์หรือไม่ก็ได้นั้น พยานกล่าวว่า มีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่ไม่มีหลักฐานว่า รัชกาลที่ 10 เป็นผู้สั่งให้แก้โดยพระองค์เอง ส่วนระบอบการปกครองใดที่อนุญาตให้กษัตริย์มีกองกำลังส่วนพระองค์ พยานไม่สามารถตอบได้

พยานยอมรับว่า มีการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จริง แต่เป็นการแก้ไขโดยผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่ใช่รัชกาลที่ 10 สั่งให้แก้แล้วจะแก้ได้ทันที แต่ยอมรับว่าในสมัยรัชกาลที่ 9 ไม่เคยมีการแก้ไข ซึ่งพยานเห็นว่า ฉบับปัจจุบันก็คงเหมาะสมแล้ว เพราะหากมีการแก้ไขก็แสดงว่ามีความจำเป็น

พยานทราบเรื่องการประทับที่ต่างประเทศของรัชกาลที่ 10 จากข่าว และเห็นว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะใช้เงินภาษีประชาชนมาใช้จ่ายเป็นค่าเดินทางหรือไม่ พยานไม่ทราบ เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน และสภาจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการเดินทางของกษัตริย์เป็นเงินเท่าใด พยานก็ไม่ทราบ 

.

อธิบดีกรมศิลปากรเบิกความ เข้าแจ้งความเรื่องหนังสือไม่มีเลข ISBN ตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้ให้การว่า เนื้อหาเหมาะสมหรือไม่

พนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เบิกความว่า ขณะพยานเป็นรองอธิบดี ได้รับแจ้งเหตุทางโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ให้พยานไปที่ สภ.คลองหลวง เนื่องจากมีหนังสือที่มีข้อความไม่เหมาะสม และไม่มีเลข ISBN หรือเลขกำกับหนังสือ ซึ่งจะระบุชื่อผู้พิมพ์หรือผู้โฆษณา ที่หอสมุดแห่งชาติจะเป็นผู้ออกเลขนี้ให้ พยานจึงไปที่ สภ.คลองหลวง ทันที และได้แจ้งความตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ ไว้ตามหน้าที่

จากการตรวจสอบหนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุโรงพิมพ์ แต่จะมีชื่อที่อยู่ของผู้โฆษณาหรือไม่ และใครเป็นผู้จัดทำ พยานไม่ทราบ พยานไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาในหนังสือโดยละเอียด แต่เข้าใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ส่วนเนื้อหาจะเหมาะสมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล 

แม้พยานอ่านหนังสือดังกล่าวแล้วและเห็นว่าเนื้อหาไม่เหมาะสม พยานก็ไม่ได้ให้การกับพนักงานสอบสวนในประเด็นดังกล่าวไว้ พยานมีหน้าที่เพียงแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของพยานเท่านั้น 

พยานไม่ทราบว่า ใครเป็นคนพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าว เพราะปรากฏเพียงชื่อกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ซึ่งคำว่า ‘กลุ่ม’ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นบุคคลใด ซึ่งเมื่อไม่ปรากฏชื่อผู้พิมพ์พยานก็แจ้งความไว้ เพราะไม่ถูกกฎหมาย

พนมบุตรตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า วันที่ 19 ก.ย. 2563 เป็นวันหยุด ขณะเกิดเหตุพยานอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ตำรวจที่แจ้งเหตุได้บอกเล่าพฤติการณ์การจับกุมให้พยานฟัง พยานเห็นว่า ไม่มีเหตุที่จะไม่เชื่อ

โดยหลักการแล้ว แม้หนังสือจะมีการจดแจ้งการพิมพ์ตามกฎหมาย ก็จะต้องเอาผิดกับผู้ที่เผยแพร่เท่านั้น ไม่ใช่ผู้ที่ครอบครองหนังสือ 

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือที่ ผบ.ตร. ประกาศห้ามนำเข้า และไม่ได้อยู่ในรายชื่อหนังสือต้องห้าม ส่วนใครจะเป็นผู้สั่งพิมพ์ หรือพิมพ์ที่ใดนั้น พยานไม่ทราบ และจะมีการเผยแพร่อย่างไร พยานก็ไม่ทราบ

.

คนขับรถบรรทุกหนังสือปกแดงระบุ ไม่ทราบว่าใครว่าจ้าง เหตุไม่ได้รับงานเอง ส่วนจำเลยไม่ได้ขนหนังสือขึ้นรถ ทั้งบนรถยังมีคนอื่นนอกจากจำเลยด้วย

อมรรัตน์ พระสุมี คนขับรถบรรทุกหนังสือปกแดง เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานมีอาชีพรับจ้างทั่วไป โดยใช้รถยี่ห้อ HINO สีขาว พยานไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้ว่าจ้างขนหนังสือในวันเกิดเหตุ และมีค่าจ้างเท่าไหร่ เนื่องจากลูกพี่ลูกน้องของพยานเป็นผู้รับงาน 

พยานได้รับมอบหมายให้ไปรับของจากหมู่บ้านนวลตอง ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นำไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พยานไม่ทราบว่า ที่จุดหมายจะมีการชุมนุมของผู้ใด และไม่ทราบว่า ของที่ขนย้ายเป็นสิ่งใด

เมื่อพยานไปถึงจุดรับงาน เป็นหมู่บ้านทาวเฮาส์ 2 ชั้น มีคนอยู่ในบ้านหลายคน แต่พยานไม่ได้นับจำนวน จากนั้นมีการขนของซึ่งเป็นหีบห่อสีน้ำตาล ไม่ทราบว่ามีจำนวนกี่ห่อ ขึ้นรถบรรทุกของพยานก่อน ส่วนรถอีกคันหนึ่งมีการขนถังขยะสีเขียวและสีเหลืองขึ้นไป เมื่อขนของเสร็จ มีผู้ชายและผู้หญิงขึ้นรถไปกับพยาน โดยที่ผู้หญิงนั่งตรงกลาง และจำเลยตามขึ้นมา จำเลยไม่ได้ถือสิ่งใดขึ้นรถมาด้วย ส่วนรถอีกคันมีใครขึ้นรถไปด้วยหรือไม่ พยานไม่ทราบ

ขณะพยานขับรถออกเพื่อไปยังจุดหมาย ยังไม่ทันออกจากหมู่บ้านก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบสกัดรถไว้ ตำรวจถามพยานว่า จะไปที่ไหน พยานก็ตอบว่า ไปสนามหลวง จากนั้นจำเลยและผู้หญิงก็ลงไปเจรจากับตำรวจ สักพักก็มีรถกระบะมาขนถ่ายของไป และตำรวจก็เปิดทางให้ไปสนามหลวงตามเดิม

พยานถึงสนามหลวงประมาณบ่ายโมง ซึ่งในรถขณะนั้นเหลือเพียงถังขยะ จากนั้นพยานก็เดินทางกลับมาบ้านที่ อ.คลองหลวง และได้ไปให้การกับพนักงานสอบสวน ซึ่งพยานเคยให้การว่า นอกจากจำเลย มีคนชื่อว่า “บิว” นั่งอยู่บนรถอีกคนด้วย

อมรรัตน์ตอบทนายจำเลยถามค้านด้วยว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขนหนังสือขึ้นรถ และนอกจากมีคนนั่งด้านหน้ารถของพยาน 2 คนแล้ว ยังมีคนนั่งด้านหลังอีกประมาณ 6 คน ซึ่งคนที่นั่งด้านหน้าก็เพื่อบอกทางไปยังจุดหมาย

เหตุการณ์ที่ตำรวจมาถึงและคนที่อยู่หน้ารถลงไปเจรจากันอย่างไร พยานไม่ทราบ ส่วนรถกระบะที่มารับหนังสือจากรถบรรทุกเป็นรถตำรวจ หลังจากขนย้ายเสร็จแล้ว จำเลยก็นั่งรถไปจุดหมายกับพยานต่อ

.

ประชาชนทั่วไปให้ความเห็น หนังสือปกแดงมุ่งหมายล้มล้างการปกครอง แต่พยานไม่ได้อ่านทั้งหมด อ่านเพียงเนื้อหาบางส่วนที่มีการเน้นข้อความไว้แล้ว 

ศรัญญา วัลลิสุพรรณ แม่บ้าน เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานอยู่ที่บ้าน และเคยเห็นหนังสือปกแดงตามสื่อโซเชียลมีเดียว่าเป็นการกล่าวหากษัตริย์ ภายหลังเกิดเหตุตำรวจมาขอให้เป็นพยานและได้ไปให้การไว้เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2563 

พยานเห็นว่า จุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้ต้องการล้มล้างการปกครอง เนื้อหาในหนังสือส่วนใหญ่จะกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ พยานจับใจความได้ว่า กษัตริย์แทรกแซงการเมือง กษัตริย์เซ็นรับรองรัฐประหาร พยานจำได้เท่านี้ แต่จะอยู่หน้าใด พยานจำไม่ได้ เนื่องจากได้อ่านมานานแล้ว

ต่อมา พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่ทราบว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 คืออะไร แม้ในชั้นสอบสวนพยานได้เคยให้การถึงมาตราดังกล่าวไว้ ส่วนข้อเรียกร้อง 10 ข้อ พยานก็จำไม่ได้ แต่เคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว

พยานรู้จักกับตำรวจ สภ.คลองหลวง จึงได้รับการติดต่อให้มาเป็นพยานในคดีนี้ ซึ่งในขณะให้การ พยานพูดไม่เป็นขั้นเป็นตอน แต่ตำรวจนำไปเรียบเรียงเป็นบันทึกคำให้การเอง

พยานจำไม่ได้ว่า ข้อความในหนังสือที่ตำรวจนำมาให้ดูและให้ความเห็นเป็นเรื่องใดบ้าง และไม่ทราบว่า ข้อความเหล่านั้นเป็นคำปราศรัยของผู้ใด ใครเป็นผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มดังกล่าว รวมถึงไม่ทราบว่า จำเลยเป็นใคร พยานเพิ่งเคยอ่านเนื้อหาในหนังสือที่ สภ.คลองหลวง โดยอ่านเพียงบางส่วนที่มีการเน้นข้อความสำคัญไว้ ซึ่งใครเป็นคนเน้นข้อความไว้ พยานก็ไม่ทราบ

บันทึกการสืบพยานจำเลย

“ณัฐชนน” ยืนยัน ไม่ใช่ผู้ผลิตหนังสือปกแดง ในหนังสือ – ข้อความที่ถูกฟ้อง ก็ไม่มีคำปราศรัยของตน ทั้งข้อความไม่เข้าข่ายผิด 112 เป็นเพียงความเห็นต่อการพัฒนาประชาธิปไตย – ผู้ปราศรัยไม่โดน 112 

ณัฐชนน ไพโรจน์ จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเข้าเบิกความ ระบุว่า พยานเพิ่งจบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะเกิดเหตุพยานเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 โดยขณะเรียน พยานเป็นสมาชิกพรรคโดมปฏิวัติ และกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ด้วย พยานให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้พิมพ์และโฆษณาหนังสือ 

เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 มีชุมนุมที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการถอดเทปคำปราศรัยออกมาเป็นหนังสือปกสีแดง ข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์ ในหนังสือนั้นไม่มีคำปราศรัยของพยาน และข้อความที่ถูกฟ้องก็ไม่มีคำพูดของพยานเช่นกัน ส่วนผู้ที่กล่าวคำปราศรัยที่ปรากฏในหนังสือก็ไม่ได้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 โดยมีการดำเนินคดีในข้อหาอื่นเป็นคดีของศาลนี้ ซึ่งพยานก็ถูกดำเนินคดีด้วย

วันเกิดเหตุเพื่อนได้ชวนพยานไปทำกิจกรรมทางการเมืองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยเริ่มเดินทางออกจากหมู่บ้านนวลตอง ก่อนที่ตำรวจจะไปถึง พยานไม่ได้ขนของขึ้นรถเนื่องจากความพิการที่ขาขวา จึงยืนให้กำลังใจเพียงอย่างเดียว ของที่ขนขึ้นรถบรรทุกมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ เชือก ปากกา ไมค์ ถังขยะ และอีกหลายอย่าง รวมทั้งมีหนังสือเล่มแดงที่อยู่ในหีบห่อ ซึ่งพยานไม่ทราบมาก่อนว่ามีหนังสืออยู่ในหีบห่อนั้น พยานไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้ผลิตหนังสือ และพยานเองก็ไม่ได้เป็นผู้ผลิต

จากนั้นพยานขึ้นนั่งข้างหน้ารถเพื่อบอกทางแก่คนขับ มีผู้หญิงอีกคนนั่งด้านหน้าไปด้วยกัน แต่พยานจำไม่ได้ว่าเป็นใคร หลังจากที่รถขับมาได้ไม่ถึง 50 เมตร ก็พบตำรวจดักที่หน้าปากซอยอ้างว่า ของที่อยู่ในรถผิดกฎหมาย หลังจากนั้นตำรวจก็มีการเจรจากับทุกคน

รถบรรทุกที่อยู่ในเหตุการณ์มี 2 คัน มีคนที่อยู่ในเหตุการณ์รวมแล้วกว่า 10 คน ซึ่งหลายคนนั่งอยู่กับห่อหนังสือปกแดง แต่ไม่มีใครถูกดำเนินคดี หลังจากที่ตำรวจยึดหนังสือไปแล้ว ได้นำตัว ชนินทร์ วงษ์ศรี ไปกับตำรวจด้วย ส่วนพยานถูกปล่อยตัวและได้เดินทางไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตามเดิม

พยานกล่าวว่า ข้อความที่ถูกฟ้องนั้นไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 เพราะว่าเป็นการให้ความเห็นต่อการพัฒนาการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย และผู้ที่กล่าวคำปราศรัยดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112

พยานทราบว่า พยานโจทก์ปากอานนท์และกิตติพงศ์เคยออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะบ่อยครั้ง ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มพยาน เช่น การสนับสนุนการรัฐประหาร ทั้งสองเบิกความว่า ไม่ได้มีเหตุโกรธเคืองกับพยาน แต่คดีนี้เป็นคดีทางการเมือง และเท่าที่พยานทราบ พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ไปถามความเห็นจากพยานผู้เชี่ยวชาญคนอื่นนอกจากบุคคลทั้งสองอีก

จากนั้น ณัฐชนนตอบอัยการถามค้านว่า พยานไม่แน่ใจว่า การชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 มีกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ เป็นแกนนำหรือไม่ แต่พยานเป็นสมาชิกกลุ่มดังกล่าว และได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีในวันนั้นด้วย

พยานไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้จัดพิมพ์หนังสือ ซึ่งกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ไม่ได้เป็นผู้จัดพิมพ์ แต่คำลงท้ายและคำนำระบุชื่อ กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และในหนังสือนี้เป็นคำปราศรัยเมื่อวันที่ 10 ส.ค.​ 2563

ในวันเกิดเหตุ พยานอยู่ในเหตุการณ์ที่มีการตรวจยึดหนังสือ แต่ไม่มั่นใจว่า หนังสืออยู่บนรถคันที่พยานนั่งหรือไม่ นอกจากนี้ พยานไม่ทราบว่า ใครจ้างรถบรรทุกมา แต่ทราบว่า รถคันดังกล่าวจะไปที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 

พยานอาศัยอยู่กับเพื่อนที่หมู่บ้านนวลตอง ซึ่งเพื่อนที่เช่าบ้านร่วมกันจะเป็นสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ด้วยหรือไม่ พยานจำไม่ได้เพราะว่าผ่านมานานแล้ว และไม่มั่นใจว่า หนังสือปกแดงขนออกจากบ้านที่พยานอาศัยอยู่หรือไม่  

หนังสือปกแดงถูกตำรวจมาดักและตรวจยึดที่หน้าหมู่บ้านนวลตอง จากนั้นก็ถูกนำไปที่ สภ.คลองหลวง ซึ่งในวันนั้นพยานไม่ได้ไปด้วย พยานมาทราบในภายหลังว่า ภายในกระดาษห่อสีน้ำตาลเป็นหนังสือดังกล่าว ซึ่งในขณะตรวจยึดหนังสือ พยานเจรจากับตำรวจเพื่อไม่ให้ถูกยึด เพราะพยานเข้าใจว่า เป็นของประชาชน โดยที่ไม่คิดว่าจะเป็นหนังสือ

อุปกรณ์และหนังสือที่อยู่บนรถบรรทุกจะนำไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งมีการชุมนุมทางการเมือง หนังสือดังกล่าวพยานคาดว่า จะนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในที่ชุมนุม

ณัฐชนนตอบทนายจำเลยถามติงด้วยว่า พยานไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาเช่าบ้าน และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ทำสัญญาเช่า อีกทั้งในหมู่บ้านนวลตองก็มีบ้านอยู่หลายหลัง

พยานเป็นสมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ แต่ไม่ทราบว่า สมาชิกในกลุ่มมีกี่คน และไม่ได้รู้จักทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีมากกว่า 50 คน และแม้จะมีคำว่า แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ระบุอยู่ที่คำนำของหนังสือ แต่ไม่มีส่วนใดที่ระบุว่าเป็นผู้จัดพิมพ์ ซึ่งผู้ใดจะจัดพิมพ์โดยใส่ชื่อดังกล่าวไปก็เป็นได้ นอกจากนี้ หนังสือเล่มดังกล่าวยังไม่ได้มีการแจกจ่ายให้กับผู้ใดเนื่องจากถูกยึดไปก่อน แม้แต่พยานเองก็ยังไม่ได้เห็น

ฐานข้อมูลคดีนี้ 

คดี 112 “ณัฐชนน” พิมพ์หนังสือ “ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า” รวมคำปราศรัยข้อเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์

อ่านบทสัมภาษณ์ณัฐชนน

“เราไม่ได้เป็นอาชญากร เราแค่คิดไม่เหมือนรัฐ” คุยกับ ‘ณัฐชนน’ ก่อนพิพากษาคดี ‘112’ เหตุจากหนังสือ ‘ปรากฏการณ์สะท้านฟ้า’

X