เลื่อนสืบพยานคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร อีกครั้ง ศาลชี้ไม่อยากให้การพิจารณาคดีล่าช้า แต่ยังไม่ออกหมายเรียกเอกสารสำคัญบางชิ้น

20 ก.ย. 2565 ศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์ ในคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 ที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง ต่อหลังจากเลื่อนการสืบมาแล้วหลายครั้ง จากเหตุที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้ฝ่ายจำเลยและหน่วยงานที่ครอบครองเอกสารไม่จัดส่งเอกสารให้

ที่ห้องพิจารณาคดี 701 เวลา 09.00 น. ก่อนเริ่มการพิจารณา เจ้าหน้าที่ตำรวจศาลจำนวน 6-7 นาย ได้มาเฝ้าดูแลความเรียบร้อยทั้งในและนอกห้องพิจารณา โดยในวันนี้มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเยอรมันนีและลักเซมเบิร์ก รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ Trial Watch และ Clooney Foundation for Justice เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ โดยมีเพื่อนและครอบครัวของจำเลยจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจด้วย

คดีนี้มีจำเลยเป็นนักกิจกรรมทั้งหมด 22 ราย ถูกฟ้องด้วยข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 7 คน คือ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์, อานนท์ นำภา, “หมอลำแบงค์” ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก และ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา อีก 15 คน ถูกฟ้องในข้อหาหลักตามมาตรา 116 โดยในวันนี้มีจำเลย 6 คน ไม่ได้เข้าร่วมการพิจารณา ได้แก่ “จัสติน” ชูเกียรติ แสงวงค์, “แอมมี่” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์, สิทธิทัศน์ จินดารัตน์, ณัชพัท อัคฮาด และอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ (ฟอร์ด เส้นทางสีแดง) ซึ่งศาลอนุญาตให้พิจารณาลับหลังจำเลยแล้ว รวมทั้ง จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ซึ่งป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่

.

ศาลยังไม่ยอมออกหมายเรียกประเด็นการเดินทางของ ร.10 ไปเยอรมนี แต่จะให้ดำเนินการพิจารณาไปก่อน เพื่อความรวดเร็ว 

เวลา 10.25 น. ศาลออกนั่งพิจารณา โดยให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ปากแรกที่ยังไม่ได้ถามค้าน คือ พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร รองผู้บังคับการ กองกำกับการตำรวจนครบาล 1 โดยศาลแจงว่า แม้ยังไม่ได้พยานเอกสาร แต่จะให้ทนายจำเลยถามค้านไปก่อน เพื่อไม่ให้กระบวนการพิจารณาคดีล่าช้า 

อย่างไรก็ตาม ทนายจำเลยได้ลุกขึ้นและแถลงยืนยันต่อศาลใจความโดยสรุปว่า พยานเอกสารดังกล่าวทนายจำเลยได้ยื่นร้องขอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่ได้ตามที่ขอ เนื่องจากต้องให้ศาลอาญาออกหมายเรียก หากไม่ได้เอกสารทนายจำเลยจะไม่สามารถทำการถามค้านพยานโจทก์ได้

นอกจากนี้ คำฟ้องของโจทก์ที่อ้างว่าการพูดปราศรัยของจำเลยเป็นการกล่าวเท็จ จำเลยจึงต้องพิสูจน์ความจริงดังกล่าว ซึ่งตามหลักพิจารณาทางกฎหมาย ผู้พิพากษาหรือตุลาการจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีโดยปราศจากอคติทั้งปวง พยานเอกสารการเดินทางของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงเสด็จประทับที่ประเทศเยอรมนี จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ทางจำเลยและทนายจำเลยไม่ได้มีเจตนาจะล่าช้าแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการพิสูจน์ความจริง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญที่จำเลยต้องได้รับ 

ด้านศาลชี้แจงว่า เกี่ยวกับคดีนี้พิจารณาจากพยานหลักฐานจากโจทก์เป็นหลัก ศาลจะมองแค่ว่าการวิจารณ์ดังกล่าวกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ไหม คนวิจารณ์ปรารถนาดีหรือไม่ รวมถึงหากข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์นำสืบไม่สม เป็นเพียงการกล่าวหาจำเลยลอย ๆ ศาลก็จะยกฟ้องตามระเบียบ 

.

“สมยศ” แถลงต่อศาล หากศาลไม่ออกหมายเรียก ย่อมสร้างความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม การที่ในหลวงจะประทับอยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสีย ด้านศาลแจงว่า ไม่เคยรับปากว่าจะออกหมายเรียกให้ในกรณีดังกล่าว 

ต่อมา สมยศลุกขึ้นแถลงต่อศาลว่า ในนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลได้ตกลงว่าจะออกหมายเรียกเกี่ยวกับเอกสารการเดินทางของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงเสด็จประทับที่ประเทศเยอรมนีให้ หากศาลไม่สามารถออกให้ได้ ก็สงสัยว่าศาลจะอำนวยความยุติธรรมได้อย่างไร ที่สำคัญพยานเอกสารดังกล่าวจะช่วยให้สังคมไทยรับรู้ความจริง การที่ประมุขของรัฐจะอยู่ที่ไหน ไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสีย แต่การที่ศาลไม่ออกหมายเรียกจะสร้างความเสียหายให้กระบวนการยุติธรรม 

ในประเด็นนี้ ศาลชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2565 มีการเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาเนื่องจากมีการโยกย้ายตามวาระ โดยขณะที่มีการรับปากว่าจะออกหมายเรียกพยานเอกสารตามที่จำเลยแถลงนั้น ศาลยังไม่ได้มาเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีนี้ เพราะฉะนั้น ศาลไม่ทราบเรื่องการออกหมายเรียกดังกล่าว หากเป็นสิ่งที่ศาลเคยรับปากไว้ ศาลก็จะทำตามข้อเรียกร้องของจำเลย

ทนายจำเลยแถลงว่า ทีมทนายจำเลยปรึกษากันแล้ว เห็นถึงความสำคัญของพยานเอกสารดังกล่าว จึงขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานเอกสาร ซึ่งเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และขอให้อธิบดีศาลมานั่งร่วมพิจารณาคดีนี้ด้วยเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและความโปร่งใส รวมถึงกล่าวย้ำว่ากระบวนการจะไม่ล่าช้าถึงขนาดนี้ หากได้รับพยานเอกสารมาตั้งแต่แรก 

ด้าน “ชินวัตร” ได้ลุกขึ้นขออนุญาตแถลงต่อศาล แต่ทางศาลไม่อนุญาต พร้อมย้ำเสียงดังว่า ‘ที่นี่เป็นห้องพิจารณา’ ก่อนศาลจะให้พยานโจทก์ทำการสาบานตนก่อนการเบิกความ ในระหว่างนั้น “พริษฐ์” ได้พยายามลุกขึ้นแถลงต่อศาลเช่นกัน โดยเดินไปยังด้านหน้าห้องพิจารณา แต่มีเจ้าหน้าที่ศาล 2-3 นาย คอยห้ามไว้ ด้านศาลแจ้งว่า ‘ขอให้พยานสาบานตนให้เสร็จก่อน และขอให้จำเลยกลับไปนั่งที่เดิม’  

.

ทีมทนายฯ-จำเลย ยืนยันให้เลื่อนคดีจนกว่าศาลจะออกหมายเรียกเอกสารพยานสำคัญ เพื่อความยุติธรรม 

หลังพยานโจทก์กล่าวสาบานตนเสร็จสิ้น ทนายจำเลยได้ขอเลื่อนการถามค้านพยานโจทก์ปากนี้ เนื่องจากผู้อำนวยการศาลแพ่งยังไม่มอบเอกสารตามที่ศาลอาญาได้ออกหมายเรียกไป แม้ศาลจะกล่าวว่าให้สืบประเด็นอื่น ๆ ไปก่อน หากได้พยานเอกสารแล้วค่อยถามย้อนหลัง 

อย่างไรก็ตาม ทนายจำเลยยืนยันว่า พยานปากนี้เป็นผู้กล่าวหา ทนายจำเลยจึงมีประเด็นสืบเรื่องเดียวคือ การเดินทางของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงเสด็จประทับที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเอกสารเกี่ยวกับการเดินทางดังกล่าวศาลยังไม่ได้ออกหมายเรียกให้

ด้าน “พริษฐ์” แถลงต่อศาลว่า สถาบันตุลาการจะต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง เพื่อความยุติธรรม หากให้เปรียบเทียบการที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารบางชิ้นให้ตามที่ฝ่ายจำเลยขอ คงจะเปรียบได้กับการต่อสู้บนเวทีมวยที่ฝ่ายโจทก์สวมเครื่องป้องกันเต็มที่ ส่วนฝ่ายจำเลยขึ้นชกตัวเปล่า การดำเนินกระบวนการยุติธรรมของศาลจะเป็นไปอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมหรือไม่ 

“สถาบันตุลาการจะต้องใช้อำนาจถูกต้อง เป็นธรรม ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ชื่อของท่านจะถูกกล่าวถึงอย่างไรในวิชากฎหมาย” พริษฐ์กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน “ชินวัตร” ได้ลุกขึ้นแถลงต่อศาลอีกว่า ตนรู้สึกเสียใจมาก เพราะศาลเคยบอกว่าจะให้ความเป็นธรรม แต่วันนี้กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่สามารถออกหมายเรียกพยานเอกสารมาให้ได้ 

ต่อมา “หมอลำแบงค์” ปติวัฒน์ ได้แถลงต่อศาลเช่นกันว่า หากเป็นไปได้อยากให้เปลี่ยนองค์คณะพิจารณา เพื่อให้ดีกับทั้งตัวศาลและทางฝั่งจำเลยด้วย

.

‘จตุภัทร์’ ประสงค์ฟังการพิจารณา แต่ป่วยหนักไม่สามารถมาศาลได้ ศาลอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณา เพราะคดีมีอัตราโทษสูง ประกอบกับยังไม่ได้พยานเอกสาร 

ช่วงบ่าย ศาลได้ออกนั่งพิจารณาอีกครั้ง โดยระหว่างพิจารณาคดี ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องตั้งข้อรังเกียจผู้พิพากษา เนื่องจากศาลจะให้การสืบพยานดำเนินต่อไป แม้ไม่มีเอกสารพยานในการถามค้าน เพื่อให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนสักระยะ

อย่างไรก็ตาม ศาลได้ชี้แจงว่า ถึงจะตั้งข้อรังเกียจต่อผู้พิพากษา แต่การพิจารณาคดีนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในวันพรุ่งนี้ตามนัดหมายเดิม 

ด้านทนายจำเลยจึงถอนคำร้องตั้งข้อรังเกียจผู้พิพากษาและแถลงใหม่ว่า พนักงานสอบสวนที่เป็นพยานโจกท์ปากนี้เป็นพยานสำคัญ แต่เนื่องจากยังไม่ได้รับเอกสารตามที่ศาลออกหมายเรียก จึงไม่สามารถถามค้านพยานปากนี้ได้ ขอเลื่อนไปถามค้านเมื่อได้รับเอกสารมาแล้ว นอกจากนี้ “จตุภัทร์” หนึ่งในจำเลยป่วยหนักเป็นไข้หวัดใหญ่ ไม่สามารถมาศาลตามนัด แต่ประสงค์จะฟังการพิจารณา 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญ มีอัตราโทษสูง จำเลยประสงค์ต่อสู้คดีแต่ยังติดตามเอกสารประกอบการถามค้านไม่ได้ และเป็นพยานสำคัญ จึงได้เห็นว่าเพื่อให้โอกาสจำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ประกอบกับฝ่ายโจทก์ไม่คัดค้าน จึงให้เลื่อนนัดสืบพยานออกไปเป็นวันที่ 21 ต.ค. 2565 เวลา 09.00 น. และให้ยกเลิกนัดสืบพยาน 21-23 ก.ย. 2565

คดีนี้ได้เริ่มนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกมาตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2564 นับเป็นเวลากว่า 9 เดือนแล้ว แต่ทนายจำเลยยังไม่สามารถเริ่มกระบวนการถามค้านพยานโจทก์ปากแรกได้ มีการเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากทางจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกเอกสารเพื่อจะใช้ในการถามค้าน แต่ศาลพิจารณาที่จะไม่ออกหมายเรียกให้ในบางรายการ ได้แก่ เอกสารการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยของรัชกาลที่ 10, รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณราชการส่วนพระองค์ ปีงบประมาณ 2560-2563 และรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปีงบประมาณ 2560-2564 ส่วนรายการที่ศาลพิจารณาออกหมายเรียกให้แล้ว ทางจำเลยก็ยังไม่ได้รับเอกสารดังกล่าวจากศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์แต่อย่างใด

ย้อนดูการเลื่อนนัดสืบพยาน: ทบทวนมหากาพย์การร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสารในคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร

.

X