16 ต.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลแขวงปทุมวันนัดฟังคำพิพากษาในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะและการจราจร ของ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (จำเลยที่ 1), “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ (จำเลยที่ 2), “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา (จำเลยที่ 3) และ ธานี สะสม (จำเลยที่ 4) จากกรณีชุมนุมปราศรัยเพื่อขับไล่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใน #ม็อบ25ตุลา63 บริเวณสี่แยกราชประสงค์
ศาลพิพากษาว่า จตุภัทร์มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะและการจราจร ลงโทษปรับ 10,000 บาท ส่วน อรรถพล, ณวรรษ และธานี มีความผิดฐานกีดขวางทางสาธารณะและการจราจร ลงโทษปรับคนละ 5,000 บาท
ภาพการชุมนุม #ม็อบ25ตุลา63 จากประชาไท
ย้อนไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2563 มีการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ เป็นการชุมนุมหลังจากที่จตุภัทร์ ได้รับการประกันตัวจากคดีชุมนุม #19กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร ในวันนั้นมีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ แดร็กควีน คณะราษแดนซ์ และมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเปิดปราศรัยเป็นเวทีย่อยอย่างหลากหลาย
ในคดีนี้นักกิจกรรมทั้งสี่ถูกตำรวจแจ้งข้อหาถึง 3 ครั้ง โดยเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2563 ทั้งสี่เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ลุมพินี ในข้อหา ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อมา สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) ส่งหนังสือลงวันที่ 21 ก.ค. 2564 ให้พนักงานสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติม โดยให้แจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาใหม่อีกครั้งในข้อหา ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10
จากนั้น พนักงานสอบสวนได้รับหนังสือจากสํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) ลงวันที่ 5 ก.ย. 2564 ให้แจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในข้อหา “ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มโดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ และไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนด โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย, ร่วมกันกระทําด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางทางสาธารณะและการจราจรจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร” ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 และ พ.ร.บ.จราจรฯ
ทั้งนี้ การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมใน 2 ครั้งหลัง ตำรวจได้เข้าไปแจ้งข้อหาแก่จตุภัทร์ถึง รพ.ราชทัณฑ์ และเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ต่อมาอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแขวงปทุมวันเมื่อวันที่ 20 และ 25 ต.ค. 2564 ทั้งสี่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและยืนยันที่จะสู้คดี ศาลได้นัดสืบพยานทั้งสิ้น 7 นัด ในระหว่างวันที่ 20, 27 ต.ค. 2565, 12 ม.ค., 15, 17 ก.พ., 26 มิ.ย. และ 27 ก.ค. 2566 ก่อนศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้
ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 4 คนมีความผิดฐานกีดขวางทางสาธารณะและการจราจร ส่วน“ไผ่ จตุภัทร์” มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วย
เวลาประมาณ 11.45 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 710 จำเลยทั้ง 4 คน เดินทางมาศาลพร้อมด้วยทนายความเพื่อฟังคำพิพากษา ด้านอรรถพลเดินทางมาจากจังหวัดขอนแก่น ซึ่งใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง เมื่อจำเลยมาครบทั้งสี่คนแล้ว สิริมา วิริยะโพธิ์ชัย ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจึงออกนั่งอ่านคำพิพากษา โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า
ก่อนเกิดเหตุ คือในวันที่ 24 ต.ค. 2563 จำเลยที่ 1 ไปร่วมชุมนุมที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และกล่าวเชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ในวันที่ 25 ต.ค. 2563 ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการชุมนุม ซึ่งต้องแจ้งการชุมนุมก่อนการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง แต่จากคำเบิกความของพยานโจทก์ ไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งการชุมนุม
นอกจากนี้การชุมนุมในช่วงเวลาดังกล่าวต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันโรค แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ขึ้นปราศรัยก็ไม่ได้แจ้งให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด อีกทั้งเมื่อจำเลยที่ 1-4 ขึ้นปราศรัยก็ไม่ได้มีการสวมใส่หน้ากากอนามัย และการชุมนุมไม่ได้มีการเว้นระยะห่าง จึงวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการชุมนุมและไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
ส่วนจำเลยที่ 2 – 4 ถึงแม้ว่าในวันที่ 24 ต.ค. 2563 จะไปชุมนุมที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และปรากฏตัวในที่ชุมนุมในวันที่ 25 ต.ค. 2563 ตามที่จำเลยที่ 1 นัดหมาย รวมถึงยังขึ้นปราศรัยด้วย แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2-4 พูดนัดหมายให้ไปชุมนุมในเวลาและสถานที่เช่นเดียวกับที่จำเลยที่ 1 กล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2-4 เป็นผู้จัดการชุมนุม
ส่วนในข้อหากีดขวางทางสาธารณะและกีดขวางการจราจร เห็นว่า ในเมื่อการชุมนุมไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1-4 ที่กีดขวางการจราจร เป็นการกระทำโดยไม่จำเป็นและไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร จำเลยที่ 1-4 ยังร่วมกันกระทำการที่เป็นการกีดขวางทางสาธารณะ จนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักและปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.จราจรฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปรับ 5,000 บาท และฐานร่วมกันกระทำการกีดขวางทางสาธารณะและการจราจร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกีดขวางทางสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ซึ่งมีโทษหนักที่สุด ปรับ 5,000 บาท รวมปรับ 10,000 บาท
ส่วนจำเลยที่ 2-4 มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 385 ปรับคนละ 5,000 บาท
กล่าวโดยสรุป จตุภัทร์ จำเลยที่ 1 ถูกลงโทษปรับ 10,000 บาท ส่วนอรรถพล, ณวรรษ และธานี ถูกลงโทษปรับคนละ 5,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 25,000 บาท
หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น จำเลยทั้งสี่คนได้ไปจ่ายค่าปรับด้วยตนเองทันที
เทียบคำพิพากษาคดี “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ – กีดขวางทางสาธารณะ” สืบเนื่องจาก #ม็อบ25ตุลา63
อย่างไรก็ตาม สำหรับ #ม็อบ25ตุลา63 ยังมี “มีมี่” เยาวชนนักกิจกรรมที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาเดียวกันกับจตุภัทร์, อรรถพล, ณวรรษ และธานี ซึ่งเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2565 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากมีมี่ไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุม จึงไม่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบแจ้งการชุมนุมหรือจัดมาตรการป้องกันโรคตามที่กำหนด และในข้อหากีดขวางทางสาธารณะและการจราจร เห็นว่าจำเลยไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุมจึงไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบการชุมนุมใด ๆ
ข้อหาที่ถูกดำเนินคดี | คดีเด็กและเยาวชน ‘มีมี่’ | คดีผู้ใหญ่ ‘ไผ่ – ครูใหญ่ – แอมป์ – ธานี’ |
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษา 22 ก.ย. 2565 | ศาลแขวงปทุมวันพิพากษา 16 ต.ค. 2566 | |
พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ | ยกฟ้อง | ลงโทษปรับ ‘ไผ่’ 5,000 บาท อีกสามคนยกฟ้อง |
พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ – กีดขวางการจราจร | ยกฟ้อง | มีความผิด ศาลลงโทษตาม ม.385 ปรับคนละ 5,000 บาท |
ม.385 – กีดขวางทางสาธารณะ | ยกฟ้อง | |
สรุป | ยกฟ้อง | ‘ไผ่’ มีความผิดทุกข้อกล่าวหาลงโทษปรับ 10,000 บาท ด้าน ‘ครูใหญ่ – แอมป์ – ธานี’ ลงโทษตาม ม.385 ปรับคนละ 5,000 บาท รวมแล้วในคดีนี้ถูกปรับทั้งสิ้น 25,000 บาท |
คำพิพากษากรณีชุมนุมที่สืบเนื่องมาจาก #ม็อบ25ตุลา63 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคดีเด็กและเยาวชนที่พิพากษาไปเมื่อปี 2565 และคดีผู้ใหญ่ที่ฟ้องในข้อหาลักษณะเดียวกัน เห็นได้ว่าศาลพิพากษาลงโทษคดีผู้ใหญ่แตกต่างออกไป ทั้งจากที่ศาลพิเคราะห์แล้วว่า ครูใหญ่, แอมป์ และธานี มิได้เป็นผู้จัดการชุมนุม ถึงแม้ว่าจะยกฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ก็พิพากษาลงโทษปรับเงินฐานกีดขวางทางสาธารณะและการจราจรจากการร่วมชุมนุมและปราศรัย ในขณะที่กรณีมีมี่ ศาลพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา ซึ่งรวมไปถึงข้อหากีดขวางทางสาธารณะและการจราจรด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง