วันที่ 19 ก.ย. 2566 ทนายความได้เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเยี่ยม 2 ผู้ต้องขัง ได้แก่ “แบงค์” ณัฐพล และ “เก่ง” พลพล ผู้ถูกคุมขังในคดีที่ถูกกล่าวหาร่วมเผารถยนต์ตำรวจ สน.ดินแดง หลังเหตุการณ์ชุมนุม #ราษฎรเดินไล่ตู่ หรือ #ม็อบ11มิถุนา2565
ทั้งสองคนถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค. 2566 หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุกณัฐพล 3 ปี ขณะที่พลพล ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 4 เดือน โดยศาลยกฟ้องในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ ปัจจุบันพวกเขาถูกคุมขังมาแล้ว 21 วัน
.
“แบงค์” ณัฐพล: ขอยุติการรับยาจิตเวช เพราะเบลอ-ควบคุมตัวเองไม่ได้
แบงค์มีน้ำเสียงสดใสตอนพบกัน เขาเล่าว่าเมื่อวานเจอตะวัน และเพื่อนหลาย ๆ คน ที่สำคัญเจอแฟนมาเยี่ยม ทำให้ตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้น เพราะเขากังวลถึงความเป็นอยู่ของลูกกับแฟนมาก
แบงค์เล่าว่าหมอได้ให้ยาตัวเก่าตั้งแต่คราวที่แล้ว พอกินยาก็มีอาการเบลอ ทำให้วันที่แฟนมาหาแฟนไม่สบายใจ แต่ตอนนี้แบงค์ได้เขียนคำร้องขอยกเลิกการรับยาแล้ว
แบงค์บอกว่าตอนนี้รู้สึกโอเคดี โดยเพิ่งต่อยมวยเสร็จ สำหรับสุขภาพเขาบอกว่าตอนนี้น้ำหนักลดลงไปประมาณ 6 กิโลกรัม จาก 100 กว่าโล เพราะรู้สึกไม่ค่อยอยากอาหาร “ช่วงนี้กินข้าวได้นิดเดียว”
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ แบงค์บอกว่า สำหรับความเป็นอยู่ในเรือนจำ สำหรับเขาถือว่าโอเค ไม่ได้ถูกรังแกหรือถูกบังคับ
.
“เก่ง” พลพล: มีอาการเหม่อลอย ไม่อยากพูดคุย
เก่งนั่งรอรับโทรศัพท์ในห้องเยี่ยมญาติ วันนี้เขาใส่เสื้อแขนสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีดำ ห้อยป้ายสีแดง สำหรับผู้ต้องขังที่ต้องออกมาพบญาติ สังเกตว่าเขามีท่าทีไม่สดใสเช่นเดิม แววตาดูกังวล รอยใต้ตาคล้ำ เหม่อลอย เงียบ ๆ ดูไม่ค่อยอยากพูด ไม่เหมือนทุกครั้งที่เข้าเยี่ยม
“ข้างนอกเป็นไงบ้างพี่ เงียบ ๆ กันอยู่หรอ” เป็นคำถามแรกที่ถาม ทนายตอบไปว่าตอนนี้กิจกรรมทางการเมืองยังไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีการชุมนุม มีเรื่องรัฐบาลแถลงนโยบายเศรษฐกิจ นายกฯ ลงพื้นที่ต่างจังหวัด และการแก้รัฐธรรมนูญที่ยังไม่มีความชัดเจน
เก่งบอกเล่าถึงสุขภาพของเขาว่า “ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ สะดุ้งตื่นกลางดึก คิดมาก หลายเรื่อง อาการไม่ค่อยดี ไม่ค่อยอยากคุยกับใคร อยากอยู่เงียบ ๆ บางทีก็มีอาการนอยด์ ๆ บางวันก็ดาวน์ลงไปเฉย ๆ ไม่มีสาเหตุ”
อย่างไรก็ตามสภาพร่างกายยังปกติดี ไม่ปวดท้อง ปวดหัว เขาบอกว่าที่เป็นหวัดเมื่อสัปดาห์ก่อน อาการดีขึ้น แต่ตอนนี้มีน้ำมูกนิดหน่อย “กินยาที่หมอให้มาก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร”
เขาบอกว่าช่วงนี้ ฝนมักตกตอนเย็น ๆ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แต่ตอนร้อนก็ร้อนมาก และตอนนี้ เขาช่วยเป็นผู้ช่วยเดินเอกสารภายในแดนอยู่
“ตอนเช้ามีให้ออกกำลังกาย ยืนเคารพธงชาติ สวดมนต์ กิจวัตรวนอยู่ประมาณนี้ วันจันทร์ – ศุกร์ ก็ไม่มีอะไรมาก มีเตะบอลกันบ้าง แต่เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมามีเล่นดนตรี ตอนนี้ในแดน 4 ที่เก่งอยู่ มีคน 500 คน ห้องที่เก่งอยู่ 45 คน อัดแน่นกัน เวลาปูผ้านอนปูได้แค่เท่าที่ตัวเองนอน
“ผมนอนตรงกลาง รายล้อมด้วยเท้าใครบ้างไม่รู้ที่ชี้มา ที่แน่ ๆ มีเท้าไอ้อาร์ม (“อาร์ม” วัชรพล) ชี้มาจ่อหน้าทุกเช้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เก่งถึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย
สำหรับเรื่องอาหารการกิน เก่งยังไม่กินข้าวเรือนจำ ส่วนใหญ่กินอาการกับเก็ทหรือที่บรรดาญาติ ๆ ฝากเข้ามา ถ้าวันไหนไม่มีจะกินมาม่าแทน
เมื่อถามถึงการได้พบเจอคนในครอบครัวมาเยี่ยมแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือไม่ เก่งเล่าว่า “ได้คุยกับพ่อก็โอเคขึ้น แต่ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกผิดกับครอบครัว เพราะพ่อต้องลำบากหาเงินคนเดียว ตอนนี้รายจ่ายที่บ้านสูงขึ้น แต่รายรับยังเท่าเดิม พ่อก็มีบ่น ๆ งานไม่ค่อยมีเข้ามา ตอนนี้ที่บ้านไม่มีงาน ไม่มีงานก็ไม่มีเงินเข้าบ้าน
เก่งยังคงสนใจเรื่องการประกันตัวและสอบถามถึงสถานการณ์ทางคดี ความเป็นไปได้ที่จะได้ประกันตัวออกไป เมื่อพูดถึงเรื่องข้อมูลที่จะใช้ในการประกันตัว แววตาเก่งพอมีความสดใสอยู่บ้าง
เมื่อถามทิ้งท้ายถึงประเด็นที่อยากฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ เก่งหัวเราะหึหึ บอกว่า
“อย่างน้อยอยากให้พวกผมได้ไปสู้คดีข้างนอก อยู่ข้างใน ก็ได้แต่รอ อยู่ในนี้โอกาสจะสู้ก็ไม่มีเลย รอไปรอมามีแต่ผิดหวัง ถ้ายังเห็นว่าเป็นคนอยู่ ก็อยากให้ได้โอกาสที่จะสู้คดีข้างนอก” เก่งย้ำ