บันทึกเยี่ยม ณัฐพล-พลพล: ไม่เคยคิดหลบหนี – มีภาระต้องดูแลครอบครัว 

วันที่ 8 ก.ย. 2566 ทนายความได้เดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อเข้าเยี่ยม 2 ผู้ต้องขัง ได้แก่ “แบงค์” ณัฐพล และ “เก่ง” พลพล ผู้ถูกคุมขังในคดีที่ถูกกล่าวหาร่วมเผารถยนต์ตำรวจ สน.ดินแดง หลังเหตุการณ์ชุมนุม #ราษฎรเดินไล่ตู่ หรือ #ม็อบ11มิถุนา2565 หลังเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก ณัฐพล  3 ปี ขณะที่พลพล ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 4 เดือน โดยศาลยกฟ้องในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ ปัจจุบันพวกเขาถูกคุมขังมาแล้ว 10 วัน 

แบงค์ ณัฐพล: สภาพจิตใจย่ำแย่ ตอนนี้อยู่ได้เพราะจดหมายของแฟนที่เป็นกำลังใจ

วันนี้ทนายมาที่เรือนจำและได้นัดแนะกับแฟนของแบงค์เพื่อเข้าเยี่ยมแบงค์ด้วย แฟนของแบงค์เล่าว่าตั้งท้องได้ 3-4 เดือนแล้ว โดยวันพุธที่ผ่านมาเธอมาเยี่ยมแบงค์ แต่ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้เพราะ เจ้าหน้าที่เรือนจำแจ้งว่า ไม่มีสิทธิเข้าเยี่ยม โดยกล่าวเกี่ยวกับ ‘มิจฉาชีพ’ ทำให้เธอเสียใจและกังวลใจเป็นอย่างมาก

ทนายได้พาแฟนของแบงค์ไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่ตรงจุดกรอกคำร้อง จึงได้คำตอบที่ชัดเจนว่า ชื่อของเธอยังไม่ถูกแจ้งอนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้  เจ้าหน้าที่อธิบายว่าหากผู้ต้องขังแจ้งชื่อตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้ามา แฟนก็จะได้เยี่ยมเลย แต่ถ้าไม่ได้แจ้งภายในวันนั้น ก็ต้องต้องรอรายชื่ออัปเดตเข้าระบบอีก 15 วัน 

นอกจากนี้การจะเข้าเยี่ยมได้ ผู้ต้องขังต้องถูกขังมาแล้วอย่างน้อย 15 วัน โดยการนับ 15 วันนี้ ต้องนับต่อเนื่อง ถ้าออกไปข้างนอกกลับเข้ามาก็ต้องมากักตัวก่อน ก็จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ 

เมื่อถึงเวลาเยี่ยม ทนายได้เข้าไปในห้องสำหรับพูดคุยผ่านโทรศัพท์ แบงค์ก้มหน้า เอามือกุมขมับรอรับโทรศัพท์อยู่ก่อน เขาสวมเสื้อสีฟ้า แขนสั้น กางเกงสีน้ำตาลขาสั้น อาการเคร่งเครียดเช่นเดิม แต่สีหน้ายังดี ไม่ได้ดูหมดแรง เริ่มต้นพูดคุยทักทายกันเล็กน้อย หลังแจ้งว่าแฟนของแบงค์มาเยี่ยมด้วย แต่รออยู่ข้างนอกเข้ามาไม่ได้ เพราะติดปัญหาเรื่องรายชื่ออนุญาตให้เข้าเยี่ยม

แบงค์มีท่าทีกระวนกระวาย อย่างเห็นได้ชัด และสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม พร้อมแจ้งว่าตนได้แจ้งชื่อไปแล้ว และบอกให้ช่วยแฟนให้ทำเรื่องจากข้างนอกเข้าเยี่ยม

ทนายจึงแจ้งกับแบงค์ว่า หลังจากนี้ให้แบงค์ไปตามกับผู้คุมอีกครั้ง เรื่องอัพเดทรายชื่อญาติที่จะสามารถเข้าเยี่ยมได้ และแจ้งว่าจะพาแฟนของเขาทำเรื่องจากข้างนอกเพื่อให้เข้าเยี่ยมได้

แบงค์บอกว่าวันนี้ช่วงบ่าย แบงค์และเพื่อน ทั้ง 4 คนในคดีเดียวกัน จะถูกแยกออกจากแดน 2 ไปยังแดน 4 ซึ่งทั้ง 4 คนอยู่ด้วยกันไม่ได้ถูกจับแยก

แฟนของแบงค์ได้ฝากจดหมายเข้ามาและได้อ่านข้อความในจดหมายให้ฟัง แบงค์จึงมีท่าทีสงบลง แต่นั่งก้มหน้าเช่นเดิม

เมื่อเห็นอาการแบงค์สงบลง ทนายจึงได้แจ้งว่าวันนี้จะยื่นขอประกันตัวทั้ง 4 คนอีกครั้ง โดยจะบรรยายกถึงภรรยาแบงค์ที่ตั้งครรภ์ รวมถึงความจำเป็นในชีวิตประจำวันต่างๆ แบงค์มีแววตาสดชื่นขึ้นเมื่อพูดถึงข้อมูลที่จะใช้สำหรับประกันตัว

แบงค์ ยืนยันว่าอยากให้มีการขอไต่สวน เพื่อศาลจะได้เห็นว่า ตนมีภาระทางครอบครัวที่ต้องส่งเงินให้แม่ และดูแลภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์

เมื่อถามถึงสภาพร่างกายสภาพจิตใจ แบงค์แจ้งว่าช่วงนี้อาการของตนเริ่มกลับมา โดยตัวเขาเองไม่เคยรักษาจริงจัง ที่ผ่านมาจะมีก็แต่แฟนที่คอยปลอบจึงจะดีขึ้น ตอนนี้อยู่ได้เพราะจดหมายของแฟนที่เป็นกำลังใจให้ตน

แบงค์เล่าเพิ่มเติมอีกว่าช่วงนี้มีอารมณ์เปลี่ยนง่าย บางทีก็อารมณ์ร้อน หงุดหงิด บางทีก็อารมณ์เย็น

“อารมณ์มั่วมากในแต่ละวัน บางทีอยู่ๆ ก็คิดถึงแฟนแล้วร้องไห้ ที่ไม่ได้เจอ ไม่ได้ดูแล สักพักก็รู้สึกดีใจที่อีกหน่อยตนจะมีลูกแล้ว และย้ำว่าตนอยากออกไปก่อนที่ลูกจะคลอด อยากยืนอยู่หน้าห้องคลอด”

ทนายแจ้งให้แบงค์ไปปรึกษาหมอหรือรับยา แบงค์บอกว่าไม่อยากไป ไม่อยากกิน “เคยกินยาแล้ว มีอาการไม่รับรู้ มันเบลอ ไม่รับรู้เรื่องรอบตัว ตอนนี้อาการทางกายยังถือว่าปกติ ส่วนใหญ่จะมีก็แต่อาการทางจิตใจ เพราะเครียดเรื่องประกันตัว เป็นห่วงลูกเป็นห่วงแฟน”

ทุกวันนี้แบงค์กินอาหาร ประมาณ 1 ใน 4 จากที่เคยกินปกติ ให้เหตุผลว่า “มันกินไม่ค่อยลงเวลานอน มีอาการแอบร้องไห้ รอเพื่อนหลับไปแล้วก็ร้องไห้ ทำให้หลับไม่สนิท แต่ไม่มีอาการปวดท้อง ปวดหัว ส่วนใหญ่ที่แย่คือสภาพจิตใจ

เมื่อทราบว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องไม่ให้ประกันตัวทั้ง 4 คน โดยระบุเหตุผลว่า “จะหลบหนี” แบงค์ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า “ก่อนหน้านี้ทำงาน 8 โมงถึงตี 1 ทำงานที่ปั๊มน้ำมัน แถวเพชรเกษม 69 ซึ่งใกล้บ้านแฟน ได้วันละ 300 บาท 

“และเคยทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 แถวเพชรเวช ได้ค่าแรงชั่วโมงละ 45 บาท วันนึงทำ 12 ชั่วโมง ตกรายได้เดือนละ 13,000 บาท ถึง 14,000 บาท

“ตอนนี้แฟนไม่ได้ทำงาน ไม่มีคนอยู่กับแฟน แฟนจึงต้องไปอยู่กับพ่อที่จังหวัดอุตรดิตถ์ แฟนมีเราคนเดียวเป็นที่พึ่ง ไม่หนีไปไหนเพราะต้องดูแลแฟน ดูแลลูก”  เขาพูดอย่างหนักแน่นแววตาจริงจังว่า

“ไม่ต้องกลัวหลบหนี ผมไม่หนี ผมมีลูก มีเมียที่ต้องดูแล”

แบงค์แจ้งอีกว่า “ศาลจะสั่งติดกำไล EM 24 ชั่วโมงก็ได้ จะขายกับข้าวหน้าบ้านแทน ขอให้ได้อยู่กับลูกกับเมีย เดือนนึงศาลจะนัดรายงานตัว 4 ครั้ง/เดือนก็ได้ พร้อมตั้งคำถามว่า 

“ทำไมต้องพรากพ่อพรากลูกด้วย” 

.

เก่ง พลพล: ถ้าขอได้ อยากจะขอของขวัญวันเกิดย้อนหลัง ให้ได้กลับบ้าน

ระหว่างที่ทนายพูดคุยกับแบงค์ เก่งยืนอยู่ข้างๆ ตลอด วันนี้เขาสวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล สีหน้าดูซีด แต่ยังคงผ่อนคลาย  เมื่อถามไถ่ เก่งบอกยังคงมีอาการนอนไม่หลับ แต่ได้พบหมอตอนวันพุธ และขอยาหมอเรียบร้อยแล้ว ยาน่าจะถึงเขาประมาณสัปดาห์หน้า

เก่งเล่าว่าตอนไปพบหมอเมื่อวันพุธ เขาเจอ “พี่เอกชัย” (เอกชัย หงส์กังวาน) และแจ้งว่าจะไปอยู่แดน 4 กับพี่เอกชัยด้วย

สภาพจิตใจตอนนี้ ไม่ซีเรียสเหมือนรอบแรก เก่งบอกว่ามีรุ่นพี่แถวบ้านที่เคยรู้จักกันก็อยู่ในนี้ และมีรุ่นพี่ที่รู้จักตอนเข้ามารอบแรก ทำให้ไม่เครียดเหมือนครั้งแรกที่เข้ามา 

“ก่อนเข้ามามีพูดคุยกับพี่ น้อง เพื่อน ทุกคนก็บอกให้ใจเย็นอย่าทำร้ายตัวเองอีก เดี๋ยวก็ได้กลับออกมาแล้ว เลยเป็นจุดที่สามารถทำให้ทนไปได้ ภาพรวมสภาพจิตใจตอนนี้จึงแข็งแรง

“ตอนนี้สภาพจิตใจไม่ได้วิตกเหมือนรอบแรกที่กินยาเกินขนาด (ช่วงที่ถูกคุมขังรอบก่อน เก่งเคยเครียดมากจนกินยาเกินขนาด ต้องรักษาตัวอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง) ส่วนอาการเจ็บป่วยทางกาย ไม่มีอาการปวดท้อง มีปวดหัวบ้าง แต่ก็ไม่อยากกินยาเพราะว่าตอนนี้กินยาแก้เครียด อาการปวดหัวพอทนได้

“ที่กังวลแล้วคงทำให้นอนไม่หลับคือเรื่องครอบครัว เวลานอนภาพครอบครัวจะลอยเข้ามาในหัว คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวเป็นห่วงเขา เพราะปกติถ้าไม่ได้ออกไปทำงานจะอยู่บ้าน 

“ตอนนี้ก็กังวลว่าคนที่บ้านจะอยู่ยังไง ถ้าความเครียดเต็ม 10 ผมให้ 8 ที่เครียดและกังวลคงเป็นที่บ้าน มีพ่อ กับย่า พ่อก็ทำงานหนักมาก ตอนนี้ไม่มีเก่ง พ่อก็ต้องทำงานคนเดียว เป็นห่วงพ่อ”

เมื่อถามต่อถึงเรื่องครอบครัวของเก่ง เขาบอกว่าพ่อมีอาชีพเป็นสัปเหร่อ ส่วนย่า เวลาที่จะมีการจัดงานศพที่วัด ก็จะมาจ้างย่าทำกับข้าว ซึ่งย่าจะมีรายได้มาจากส่วนนั้น

เก่งเล่าถึงบรรยากาศในเรือนจำ “ตอนนี้ยังไม่ได้ลงแดนอยู่ในช่วงกักโรค ไม่สามารถเดินลงไปเล่นได้ ลงไปได้แค่ตอนเอาของ แต่ถ้าจำแนกแดนแล้วน่าจะสามารถเดินเล่นได้ ผมอยู่ที่นี่ไม่มีใครรังแก ถ้าพูดจริงๆ เจ้าหน้าที่ก็ดีกับผม จากครั้งก่อนที่ผมกินยาเกินขนาดไป ทำให้ทุกคนรู้จักผม” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เก่งก็ยิ้มแบบแหะๆ 

ทนายเล่าถึงเหตุผลที่ศาลไม่ให้ประกันตัว ว่าเกรงว่าจะหลบหนี 

เก่งให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า “ถ้าจะหลบหนีจริง คงไม่เข้าไปมอบตัวหรอก ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไปแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการมอบตัว ก่อนหน้านี้ (ที่ให้ประกันตัว) ก็ให้ติด EM ไม่เคยทำผิดเงื่อนไข เวลาศาลนัดก็ไปตรงเวลาทุกครั้ง ผมมีภาระทางครอบครัวที่ต้องดูแลไม่หนีแน่นอน 

“คดีนี้เป็นคดีแรกและคดีเดียวของผม แต่ก็ไม่ให้ประกันตัวผม”

เก่งถามถึงสถานการณ์ข้างนอก ภายใต้รัฐบาลใหม่ เขาแสดงความเห็นว่า “กลัวว่าสถานการณ์มันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา ช่วงนั้นลำบากหลายอย่างมีโควิดด้วย ผมตกงาน เด็กก็ต้องหยุดเรียนไม่มีรายรับมีแต่รายจ่าย” 

เก่งฝากถึงฝ่ายรัฐบาลเศรษฐาอีกว่า “ถ้าเห็นหัวประชาชนอย่าทำเหมือนเดิม ไม่ใช่เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์อย่างเดียวเท่านั้น”

ก่อนจากกันเก่งทิ้งท้ายว่า “ถ้าขอได้ อยากจะขอของขวัญวันเกิดย้อนหลัง ให้ได้กลับบ้าน”

.

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

“ผมแค่อยากเห็นสังคมที่คนเท่ากัน” : คุยกับ “แบงค์ ณัฐพล” 4 พล (เมือง) ดินแดงก่อนฟังคำพิพากษา

“ผมจะสู้จนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าวันไหนชนะขึ้นมาก็คือวันนั้นที่ผมหยุด”: คุยกับ ‘เก่ง พลพล’ 4 พล (เมือง) ดินแดง ก่อนวันพิพากษา

3 ผู้ต้องขังทำร้ายตนเองถูกวินิจฉัยว่าป่วยจิตเวช – ธีรวิทย์หายจากโควิด ยืนยันอดอาหารเรียกร้อง
ต่อ


X