“มาร์ค ชนะดล” วัย 25 ปี เป็นหนึ่งในผู้ต้องขังทางการเมืองจากกรณีเข้าร่วมชุมนุมบริเวณดินแดง เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2564 โดยภายหลังจากถูกจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา เขาได้เดินทางมารายงานตัวตามนัดหมายทุกนัดตั้งแต่ปี 2564-2565 จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดี เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2566 ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง (ระเบิดปิงปอง) ศาลอาญาไม่อนุญาตให้เขาประกันตัวเนื่องจากมองว่า “คดีมีอัตราโทษสูง เชื่อว่าหากปล่อยชั่วคราวแล้วจะหลบหนี”
จนถึงตอนนี้เป็นเวลา 5 เดือนแล้วที่มีการยื่นขอประกันตัวมาร์คกว่า 6 ครั้ง และยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว 3 ครั้ง แต่ศาลยังคงยกคำร้องด้วยเหตุผลคล้ายกันทุกครั้งคือ “ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง” โดยที่เขายังยืนยันการต่อสู้คดีของตนเองต่อไป
ตลอดช่วงเวลาที่ถูกคุมขัง มาร์คเป็นผู้ต้องขังคนหนึ่งที่มักเล่าถึงแม่ของตัวเองทุกครั้งที่ทนายความเข้าเยี่ยม เนื่องในวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันแม่แห่งชาติของทุกปี ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนชวนพูดคุยกับ “แม่หนึ่ง” แม่ของมาร์ค ถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวและการใข้ชีวิตหลังจากที่ลูกชายต้องถูกคุมขังในเรือนจำ
.
ชีวิตวัยเด็กของ “มาร์ค ชนะดล”
นอกจากขายกับข้าวแล้ว แม่ของมาร์คยังรับจ้างทำงานในโรงงานผลิตเทียนแห่งหนึ่งมากว่า 15 ปี โดยรับเงินเป็นเงินรายวัน ในช่วงเช้ามืดแม่จะพามาร์คไปขายข้าวแกงที่ตลาด และเมื่อถึงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า แม่ของมาร์คต้องเดินทางไปทำงานที่โรงงาน โดยมาร์คจะต้องอยู่กับยายที่บ้าน
หลายปีให้หลัง เมื่อยายทำกับข้าวไม่ไหวและมาร์คเริ่มโตพอที่จะทำงานรับจ้างได้ แม่จึงไม่ได้ลุกไปขายกับข้าวอีก
.
“ข้อเข่าเสื่อม” อาการป่วยเรื้อรังของแม่จากการทำงานโรงงานกว่า 15 ปี
ด้วยการใช้ชีวิตทำงานในโรงงานมากว่า 15 ปี ทำให้ปัจจุบันแม่มีกระดูกข้อเข่าด้านขวาผิดรูปและเดินได้ไม่ถนัดนัก อาการดังกล่าวเกิดจากโรคกระดูกข้อเข่าเสื่อม โดยหมอแนะนำว่าให้แม่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มาร์คถูกสั่งฟ้องในคดีที่เข้าร่วมชุมนุมและไม่ได้ประกันตัวพอดี
ช่วงเวลาที่ทนายความเข้าเยี่ยม มาร์คจะเล่าให้ฟังเสมอว่าเขาอยากให้แม่ได้เข้ารับการผ่าตัดรักษาตัว แต่แม่ไม่ยอมไป เนื่องจากต้องการจะรอให้เขาออกมาจากเรือนจำก่อน
“มาร์คอยากให้แม่ผ่าตัด แต่แม่ผ่าไม่ได้หรอก แม่บอกมาร์คว่าแม่ยังไหว เพราะถ้าผ่าแล้วใครจะทำงาน เราต้องทำงานเลี้ยงคน 4 คนในบ้าน มีตัวเราเอง พ่อ น้องชายมาร์ค และต้องส่งเงินให้มาร์คในเรือนจำด้วย”
.
แบกรับหน้าที่เลี้ยงดูครอบครัวเพียงคนเดียวเพราะสามีก็ป่วยเช่นกัน
หลังจากที่มาร์คต้องเข้าเรือนจำ แม่บอกว่าชีวิตลำบากขึ้นมาก เนื่องจากมาร์คเคยเป็นคนสำคัญที่ช่วยแบ่งเบาการหาค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
“มาร์คเรียนจบ ปวช. สาขาช่างไฟ หลังจากนั้นเขาก็ยังไม่ได้เรียนต่อ หยุดไปประมาณปีนึง เขาทำงานรับจ้างทั่วไป เก็บของขาย และเป็นช่างไฟตามที่ต่างๆ มาตลอด งานล่าสุดที่มาร์คทำ คือเป็นช่างไฟในอู่ซ่อมรถเกี่ยวข้าว
“มาร์คไม่เคยทิ้งแม่เลย เขาช่วยดูแลเรามาตลอด เขาเพิ่งมาเรียน กศน. ต่อจนจบวุฒิ ม.6 ไม่นานมานี้เอง วันที่เขาเข้าเรือนจำ เพื่อนก็เป็นคนไปรับวุฒิ ม.6 มาให้”
สาเหตุที่แม่ต้องทำงานอย่างหนักในช่วงนี้เนื่องมาจากพ่อของมาร์คมาเจ็บป่วยในช่วงเวลาเดียวกับที่ลูกต้องเข้าเรือนจำ โดยอาการป่วยของพ่อเพิ่งจะดีขึ้นหลังจากต้องพักจากการทำงานหลายเดือน
แม่เล่าถึงชีวิตช่วงที่พ่อยังแข็งแรงว่า ที่บ้านเคยทำนาในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีมาตั้งแต่สมัยปู่ แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำอีกแล้ว เนื่องจากที่นาถูกเจ้าของขายไปเพื่อสร้างโรงงาน พื้นที่บริเวณบ้านของมาร์คของกลายเป็นโรงงานไปหมด
“เมื่อก่อนพ่อมาร์คเคยทำนาเป็นอาชีพหลักที่เลี้ยงครอบครัว เป็นนาเช่า เป็นนาที่อยู่หลังบ้านเราเลย ประมาณ 30 ไร่ แต่แบ่งกันทำกับพี่ชายเขา เราต้องเช่าที่ทำนา ที่นาตรงนั้นเคยเป็นของปู่ แต่เขาขายไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังขอเช่าที่เพื่อทำนา บางปีก็ได้เงิน แต่หลังๆ มาไม่ค่อยได้อะไรเลย เพราะค่ายาและค่าปุ๋ยแพงมาก สุดท้ายเจ้าของที่ก็ขายที่ทั้งหมดให้โรงงาน เราเลยไม่ได้ทำนาต่อ”
“ยังส่งรูปให้มาร์คดูอยู่เลย ว่าหลังบ้านกลายเป็นโรงงานไปหมดแล้ว”
นอกจากแม่จะทำงานโรงงานในช่วงเวลา 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นแล้ว เกือบทุกๆ วันมักมีโอทีให้ทำต่อไปถึงเวลาประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง แม่บอกว่าทำงาน 10 ชั่วโมง ได้รับค่าแรง 370 บาท และถ้าทำโอทีเพิ่ม ก็จะได้เงินอีกชั่วโมงละ 62 บาท หากวันไหนไม่มีโอทีหรือไม่ได้ทำ ก็จะขาดรายได้ไปร้อยกว่าบาท
“ถ้าแม่ทำงานที่โรงงานเสร็จโดยไม่มีโอที แม่ก็จะไปล้างจานที่ร้านหมูกระทะต่อ ช่วงหนึ่งทุ่มถึงสี่ทุ่ม ได้เงินเพิ่มอีก 160 บาท วันไหนร้านหมูกระทะคนเยอะ เราก็อาจจะไปช่วยทำอย่างอื่นนอกจากล้างจานด้วย เจ้าของก็จะให้เงินมาเพิ่มบ้าง”
.
ไม่อยากให้แม่เป็นหนี้เพิ่มอีกแล้ว ไม่ต้องส่งเงินมาเพราะมาร์คอยู่ได้
เมื่อถามถึงสมาชิกในครอบครัวอีกคนหนึ่งคือน้องชายของมาร์ค แม่เล่าว่าตอนนี้เขาอายุประมาณ 20-21 ปี และเพิ่งเริ่มทำงาน
“ตอนแรกมีกำหนดจะบวชปีนี้แหละ แต่พอพี่เป็นอย่างนั้น น้องเขาก็เลยไม่บวชแล้ว อยากรอให้พี่ออกมาก่อน ตั้งแต่ตอนเด็ก น้องมาร์คบอกแม่ว่า หนูไม่เรียนแล้ว หนูเรียนแค่ ม.3 ก็พอ หนูสงสารแม่ เพราะแม่ยังต้องหาเงินส่งให้มาร์คเรียนหนังสือ”
“ช่วงที่มาร์คเรียน ปวช. แม่ก็ต้องกู้เงินของโรงงานนี่แหละ เป็นหนี้ ให้เขาได้เรียนหนังสือ”
ด้วยเหตุนี้เมื่อมาร์คต้องถูกคุมขังในเรือนจำ เขาจึงกำชับแม่ตลอดด้วยความห่วงใย ว่าอย่ากู้เงินเพื่อจะนำไปให้เขา โดยย้ำเสมอว่าเขาอยู่ได้ถึงแม้จะไม่มีเงินเลย เพราะไม่อยากให้เป็นหนี้ แต่แม่ก็อดไม่ได้ที่จะทำ เนื่องจากแม่ได้เงินเป็นรายวัน ทำให้ไม่สามารถรวบรวมเงินเป็นก้อนได้ทัน
.
“แม่รักหนูนะ แม่ไม่ทิ้งหนูแน่นอน”
เมื่อการพูดคุยดำเนินมาถึงเรื่องคดีความ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นจากแม่ ทำให้บทสนทนาขาดหายไปเป็นช่วงๆ
“แม่จำได้ว่าตอนที่โดนจับ มาร์คโดนตำรวจซ้อมด้วย กลับบ้านมาหน้าดูไม่ได้เลย… ลูกแม่ แม่รักทุกคน อะไรนิดอะไรหน่อยแม่ก็ร้องไห้แล้ว ไม่รู้สิ มันรักมาก ยิ่งตอนที่ได้ไปเจอที่ศาล (ในนัดตรวจพยานหลักฐานเมื่อเดือน พ.ค. 66) แม่เห็นมาร์คถูกใส่กุญแจที่ข้อเท้า แม่ก็ร้อง แต่มาร์คก็บอกแม่ว่าอย่าร้องไห้ ”
“แม่เคยโกรธมาร์คอยู่เหมือนกัน…ช่วงแรกตอนมีคดี แม่เคยบอกว่าอย่าไปยุ่งเลย ถ้ามาร์คไม่อยู่แล้วแม่จะอยู่ยังไง แต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว แม่เป็นห่วงมากกว่า”
เมื่อถามว่าแม่อยากจะฝากอะไรถึงมาร์คมั้ย แม่นิ่งคิดก่อนตอบ
“อยากให้หนูอดทน แม่รักหนูนะ แม่ไม่ทิ้งมาร์ค วันที่ 12 นี้ โรงงานหยุดและเรือนจำมีเปิดให้เยี่ยม แม่คิดว่าแม่คงจะได้ไปเยี่ยมมาร์ค มันอดไม่ได้ มันคิดถึง”
ทั้งนี้คดีของมาร์ค ชนะดล ศาลกำหนดนัดสืบพยานเอาไว้ในวันที่ 24-25 ต.ค. 2566
.
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
Missing Votes: “มาร์ค ชนะดล” ยังรอสิทธิในการประกันตัว และหวังปัญหาความเหลื่อมล้ำถูกแก้ไขหลังเลือกตั้ง
อัยการฟ้อง “ชนะดล” วัย 24 ปี คดีครอบครองระเบิด ร่วมชุมนุม #ม็อบ20สิงหา64 ก่อนศาลอาญาไม่ให้ประกัน อ้างโทษสูง – เกรงหลบหนี แม้ชนะดลไม่มีพฤติการณ์หลบหนี