วันที่ 11 พ.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ “ไวรัส” (นามสมมติ) เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย วัย 34 ปี ผู้ถูกกล่าวหาในคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) รวม 5 กรรม จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 3 ข้อความ และติ๊กต็อก 2 ข้อความ มีเนื้อหาเกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 และ 10 ระหว่างวันที่ 30 เม.ย. ถึง 7 พ.ค. 2564
ก่อนหน้านี้ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 25 เม.ย. 2566 โดยไวรัสตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาฟังคำพิพากษา อย่างไรก็ตามเนื่องจากอธิบดีศาลอาญาประสงค์จะทำความเห็นแย้งคำพิพากษาของศาลเจ้าของสำนวน ศาลจึงขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษามาเป็นวันนี้
คดีนี้มีการสืบพยานในระหว่างวันที่ 7-9 ก.พ. 2566 ในวันแรกของการสืบพยาน ไวรัสรับสารภาพตามข้อกล่าวหาใน 2 กรรม แต่ในอีก 3 กรรมนั้น เขาต่อสู้ว่าการกระทำไม่เป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112
โพสต์ที่ไวรัสให้การรับสารภาพมี 2 โพสต์ ดังนี้
โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2564 ซึ่งจำเลยได้แชร์โพสต์ภาพและข้อความจากบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Tito Barthélemy” ปรากฏภาพของรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ประกอบข้อความเนื้อเพลงเป็นภาษาคาราโอเกะว่า “ไม่รักระวังติดคุกนะ” “รู้สึกอยากฟังเพลงขึ้นมาทันที” และจำเลยได้พิมพ์ข้อความประกอบการแชร์โพสต์ว่า “มาๆๆร้องเพลงคาราโอเกะกันนะ” ปรากฎตามคำฟ้องในข้อ 1.1
โพสต์ติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 ซึ่งจำเลยได้แชร์ภาพและข้อความจากโพสต์ของบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “คณะราษฎรไทย ฝรั่งเศส Free Thai Movement in France” ปรากฏภาพรัชกาลที่ 10 ประกอบข้อความ “[…]พระราชทาน” ปรากฎตามคำฟ้องในข้อ 1.3
โพสต์ที่ไวรัสให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีมี 3 โพสต์ ดังนี้
โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 ซึ่งจำเลยลงวิดีโอปรากฏภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วยไว้ในพระหัตถ์ซ้าย กำลังตรัสกับประชาชนที่มารับเสด็จคนหนึ่ง ประกอบข้อความโฆษณาเฉาก๊วย และจำเลยได้พิมพ์ข้อความทำนองว่าตนจะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว โดยจำเลยต่อสู้ว่าตนไม่ได้เป็นผู้ตัดต่อภาพดังกล่าวและข้อความในโพสต์ก็ไม่มีส่วนใดเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ปรากฎตามคำฟ้องในข้อ 1.2
โพสต์ในเฟซบุ๊กและติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 จำนวน 2 โพสต์ ปรากฏภาพและข้อความในลักษณะเดียวกัน คือเป็นการตั้งคำถามกับประชาชนเกี่ยวกับการนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาทเป็นที่แรก โดยจำเลยต่อสู้ว่า บทบัญญัติ มาตรา 112 คุ้มครองเพียงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน คือ รัชกาลที่ 10 เท่านั้น ไม่คุ้มครองรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นอดีตพระมหากษัตริย์ และภาพประกอบข้อความดังกล่าวก็เป็นเพียงการตั้งคำถามและตัดพ้อว่าหากเป็นคนธรรมดาผูกเชือกรองเท้าก็คงไม่มีใครมาสนใจ ไม่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ปรากฎตามคำฟ้องในข้อ 1.4 และ 1.5 ตามลำดับ
.
เวลา 9.00 น. หน้าห้องพิจารณาคดีที่ 807 ไวรัสเปิดเผยว่าเขาได้ขอกลับไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างเดิมแล้ว และในวันนี้เขาไม่ได้ลาออกจากงาน ทั้งยังขับรถจักรยานยนต์มาศาลพร้อมภรรยาด้วย เนื่องจากยังมีความหวังว่าวันนี้จะได้กลับบ้าน
ต่อมาเวลา 9.35 น. ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี อ่านคำพิพากษาและความเห็นแย้งของอธิบดีศาลอาญาให้ฟัง สามารถสรุปได้ดังนี้
พิเคราะห์พยานของโจทก์และจำเลย ในขณะเกิดเหตุประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัชกาลที่ 10 เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน มีสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ เป็นพระราชินี พระราชบิดาของรัชกาลที่ 10 คือ รัชกาลที่ 9
จำเลยรับสารภาพตามฟ้องข้อ 1.1 และ 1.3 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องโดยไม่ต้องมีการสืบพยาน
พยานโจทก์มี อิสกันต์ ศรีอุบล และ ขนิษฐา งาเจือ เบิกความว่า โพสต์ภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วยนั้น ข้อความดังกล่าวมีลักษณะไม่เหมาะสม และไม่เป็นความจริง ส่วนโพสต์เกี่ยวกับประชาชนนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาทนั้น มีข้อความตำหนิติติง ไม่เหมาะสม เป็นการดูหมิ่น
พยานโจทก์ปาก ตรีดาว อภัยวงศ์ เบิกความว่า โพสต์ภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วยนั้น ข้อความของจำเลยเป็นการเน้นว่าจะไม่กินยี่ห้อนี้ เป็นการล้อเลียนเสียดสี แสดงให้เห็นถึงความโกรธ เกลียดชัง และไม่พอใจ ส่วนโพสต์เกี่ยวกับประชาชนนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาทนั้น อ่านโดยรวมแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการบังคับให้ประชาชนลงขันสร้างศาลาดังกล่าว ศาลาที่ใหญ่ก็ย่อมใช้งบประมาณที่สูง ไม่ควรใช้งบขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบ ไม่พอใจสถาบันพระมหากษัตริย์
พยานโจทก์ปาก อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เบิกความว่า การนำภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ถือถุงเฉาก๊วยมาแสดงโฆษณาสินค้า ถือว่าเป็นการไม่เคารพ ส่วนโพสต์เกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 เคยมีคำพิพากษาฎีกาให้คุ้มครองหมายรวมถึงอดีตพระมหากษัตริย์ เนื่องจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์เป็นแล้วย่อมเป็นตลอดไป ต่างจากตำแหน่งราชการทั่วไป ข้อความของจำเลยแสดงให้เห็นว่ารัชกาลที่ 9 ทรงไม่มีวุฒิภาวะ ไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าด้วยตนเองได้ เป็นการดูหมิ่น
เห็นว่า โจทก์มี ตรีดาว อภัยวงศ์ พยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา เบิกความว่า ข้อความต้องอาศัยการตีความ โดยพิจารณาจากเจตนาของจำเลย จำเลยทราบอยู่แล้วว่าภาพรัชกาลที่ 10 ถือถุงเฉาก๊วยมีการตัดต่อ ไม่ตรงกับความจริง แต่ยังเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย บุคคลที่ไม่เคยศึกษาหรือติดตามพระจริยวัตรอาจเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงพอพระทัยบุคคลที่มีความเห็นตรงข้ามกับจำเลย ซึ่งได้ความว่าบุคคลที่รัชกาล 10 ยื่นถุงเฉาก๊วยให้คือบุคคลที่ทรงมีพระราชดำรัสด้วยว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ”
ประกอบกับจำเลยรับว่าการแสดงข้อความดังกล่าวเป็นการลบหลู่สถาบันฯ พยานโจทก์สอดคล้องกัน สามารถรับฟังได้
จำเลยเบิกความว่า จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ติดตามดูโซเชียลมีเดียของวงดนตรีไฟเย็น และนำมาเผยแพร่ต่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หลังถูกจับกุมได้ลบโพสต์ออกในทันที และจำเลยโพสต์ข้อความเนื่องจากไม่พอใจชายเสื้อเหลืองในภาพตัดต่อรัชกาลที่ 10 ทรงถือถุงเฉาก๊วย
พยานจำเลย เบิกความว่า ข้อความของจำเลยที่จะไม่กินเฉาก๊วยยี่ห้อดังกล่าว ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดในมาตรา 112 ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย เปรียบเทียบว่าหากเปลี่ยนเป็นดารานักแสดงถือสินค้าดังกล่าวก็ไม่เป็นความผิด
แม้พยานและจำเลยจะเห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่การพิจารณาความผิดต้องใช้ความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไป
รัฐธรรมนูญไทยระบุว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ พระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่บุคคลสาธารณะอย่างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ พยานหลักฐานเท่านี้ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง
ส่วนโพสต์เกี่ยวกับประชาชนนำเงินของหมู่บ้านมาบำรุงรักษาศาลาที่รัชกาลที่ 9 ผูกเชือกฉลองพระบาท มีความหมายในทางที่ทำให้เข้าใจว่า บุคคลในภาพสร้างภาพ ไม่มีวุฒิภาวะ เป็นการดูหมิ่น แม้จำเลยจะไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงใด
จำเลยต่อสู้ว่ากฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด แต่ประเด็นนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยแล้วว่า การหมิ่นประมาทอดีตพระมหากษัตริย์ย่อมกระทบต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน หากไม่หมายความรวมถึงอดีตกษัตริย์ย่อมเป็นการเปิดช่องให้พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันถูกดูหมิ่นได้ แม้อดีตพระมหากษัตริย์สวรรคตไปแล้วก็ยังคงมีประชาชนเคารพสักการะ จึงกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน ส่งผลต่อความมั่นคงราชอาณาจักร
เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามคำฟ้องโจทก์ข้อ 1.2, 1.4 และ 1.5 จำเลยการกระทำความผิดตามฟ้อง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) (5) หลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เนื่องจากเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกกรรมละ 3 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก 5 ปี 30 เดือน
พิเคราะห์พฤติการณ์จำเลย จำเลยติดตามฟังสื่อสังคมออนไลน์ ประกอบกับจำเลยจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทำให้จำเลยเกิดคล้อยตามจนก่อเหตุในคดีนี้ขึ้น เมื่อจำเลยรู้ถึงความผิดก็รีบแก้ไข ลบโพสต์ด้วยตนเอง ไม่ได้ก่อเหตุซ้ำอีก เมื่อพิจารณาความรู้สึก การศึกษา ผลกระทบต่อหน้าที่การงาน จำเลยได้รับบทลงโทษเพียงพอแล้ว จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี พร้อมให้ยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
องค์คณะผู้ทำคำพิพากษาได้แก่ นภาวรรณ ขุนอักษร (หัวหน้าองค์คณะ), ปริยนันท์ แก้วเชิด และ เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี
องค์คณะผู้อ่านคำพิพากษาในวันนี้ได้แก่ นภาวรรณ ขุนอักษร (หัวหน้าองค์คณะ), สุวนัย ตุลยภักดิ์ และ ชาญวิทย์ เนติรังษีวัชรา
.
อย่างไรก็ตาม ศักดิ์ชัย รังษีวงศ์ อธิบดีศาลอาญา ได้ทำความเห็นแย้งคำพิพากษาในคดีนี้ สามารถสรุปได้ดังนี้
จำเลยเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ เมื่อรับฟังได้ว่าการกระทำเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) (5) โดยเฉพาะถ้อยคำ “[…] พระราชทาน” เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรง จำเลยกระทำความผิดรวม 5 กระทง เห็นว่าพฤติการณ์มีความร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษ การที่พิพากษาให้รอการลงโทษ ไม่เห็นพ้องด้วย สมควรจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ
หลังอ่านคำพิพากษาในคดีนี้เสร็จสิ้น ผู้พิพากษาได้กล่าวกับไวรัสว่า คดีนี้พนักงานอัยการยังคงอุทธรณ์ได้อยู่ ปกติคดีมาตรา 112 เป็นคดีร้ายแรง ไม่สามารถรอการลงโทษได้ แต่ศาลเชื่อว่าจำเลยสามารถปรับปรุงตัวได้ หลังจากนี้ขอให้ไปศึกษาข้อมูลและใช้วิจารณญาณให้ดี
ไวรัสเปิดเผยความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษาว่า หลังจากนี้ก็คงกลับไปทำงาน และคงไม่ยุ่งเกี่ยวการโพสต์วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อีก แต่ก็ยังดีใจได้ไม่สุด เพราะยังคงต้องลุ้นว่าพนักงานอัยการจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งอาจทำให้เขาต้องกลับไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมต่อจนถึงที่สุด
.
.
อ่านบันทึกสืบพยานในคดีนี้ >>> ประมวลการต่อสู้คดีของ “ไวรัส” รปภ. ผู้ตกเป็นจำเลยคดี 112 จากการโพสต์ 5 ข้อความเกี่ยวกับ ร.9 และ ร.10
อ่านบทสัมภาษณ์ของไวรัส >>> เรื่องราวของ “ไวรัส” ในกระบวนการยุติธรรม: รปภ. ผู้ตกเป็นจำเลยในคดี 112 จากการโพสต์ 5 ข้อความเกี่ยวกับ ร.9 และ ร.10