จับตา! คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีคาร์ม็อบโคราช1สิงหา หลังอัยการอุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้อง ด้านจำเลยยืนยัน เพียงร่วมชุมนุม-ระวังการแพร่โควิดแล้ว

วันที่ 13 มี.ค. 2566 ศาลแขวงนครราชสีมา นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีที่ วัฒนะชัย สืบศิริบุษย์, วรพงศ์ โสมัจฉา, กฤติพงศ์ ปานสูงเนิน และบริพัตร กุมารบุญ ต่างถูกฟ้องว่า ฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 และคำสั่งจังหวัดนครราชสีมา จากกิจกรรมคาร์ม็อบโคราชที่จัดพร้อมกับหลายจังหวัดทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 

สำหรับจำเลยที่ 1 วัฒนะชัย และจำเลยที่ 4 บริพัตร ต่างให้การรับสารภาพในชั้นสืบพยาน คงเหลือจำเลยที่ 2  วรพงศ์ และจำเลยที่ 3 กฤติพงศ์ ที่ต่อสู้คดี กระทั่งเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9(2), พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34(6) และคำสั่งจังหวัดนครราชสีมาที่ 7368/2564 ปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงปรับคนละ 5,000 บาท ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ส่วนคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3178/2564 ของศาลนี้ เมื่อคดีนี้ไม่ได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุก ประกอบกับคดีที่ขอให้นับโทษต่อศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ 

สรุปได้ว่าศาลแขวงนครราชสีมายกฟ้องวรพงศ์และกฤติพงศ์ ส่วนวัฒนะชัยและบริพัตรที่ให้การรับสารภาพ ศาลลงโทษปรับคนละ 10,000 บาท ก่อนลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับคนละ 5,000 บาท 

>>>ยกฟ้อง! คาร์ม็อบโคราช1สิงหา ศาลวินิจฉัยตามเจตนารมณ์การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ชี้ แม้ผู้ชุมนุมเสี่ยงติดเชื้อ แต่ไม่ถึงขนาดเสี่ยงแพร่โรคในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครราชสีมาได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 6 ก.ค. 2565 ระบุว่า ไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาที่ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 และยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ฐานร่วมกันชุมนุมมั่วสุมในลักษณะที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค โดยขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานร่วมกันชุุมนุม มั่วสุม ในลักษณะที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค และจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มีความผิดตามฟ้อง และพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับจำเลยทั้งสี่ตามกฎหมายด้วย 

อุทธรณ์ของพนักงานอัยการแสดงเหตุผลคัดค้านคำพิพากษาของศาลแขวงนครราชสีมา ดังนี้

.

อัยการแย้ง ที่ศาลยกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 4 แม้ให้การสารภาพ ฐานร่วมชุมนุมฯ เสี่ยงต่อการแพร่โรคนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำอุทธรณ์มีว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ โดยศาลไม่ได้กำหนดให้สืบพยาน และไม่ปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำความผิด หรือการกระทำไม่เป็นความผิด หรือคดีขาดอายุความ หรือมีเหตุอื่นให้จำเลยไม่ต้องรับโทษ แต่ปรากฏชัดจากพยานโจทก์ทุกปาก และรายงานการสืบสวน ซึ่งมีภาพถ่ายการจัดกิจกรรมการปราศรัยบนรถยนต์ของจำเลยทั้งสี่ อันเป็นการชุมนุมมั่วสุมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ฐานร่วมกันชุมนุมมั่วสุมในลักษณะที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เชื่อจำเลยที่ 2,3 เป็นผู้จัด พยานหลักฐานชัดนัดชุมนุมทางเฟซบุ๊ก-เป็นแกนนำปราศรัย-ชวนคนชุมนุม ตรงตามความหมาย พ.ร.บ.ชุมนุมฯ – พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว

ประเด็นต่อมา โจทก์เห็นว่าพยานโจทก์ปาก พ.ต.ท.ไพฑูรย์ อ่อนคำ, พ.ต.ท.อุกฤษฏ์ แพงไธสง, พ.ต.อ.กรกฎ โปชยะวณิช และธงชัย แสงประทุม ฝ่ายความมั่นคงจังหวัดนครราชสีมา ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า มีการนัดทำกิจกรรมชุมนุมทางเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสี่และเพจ Korat No เผด็จการ หลายครั้ง 

นอกจากนี้ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มีพฤติการณ์เป็นแกนนำยืนปราศรัยบนรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียง เรียกคนเข้ามาชุมนุมตลอดเส้นทางที่รถขับผ่านและบริเวณหน้าศาลากลาง 

โดยจำเลยที่ 3 เข้าร่วมกิจกรรมในทางการเมืองกับเพจ Korat No เผด็จการ หลายครั้ง จนพยานโจทก์ปาก พ.ต.อ.กรกฎ ผู้กำกับ สภ.เมืองนครราชสีมา เชิญเข้ามาพูดคุยขอให้ยกเลิกการจัดกิจกรรม เนื่องจากเสี่ยงต่อการแพร่โควิด-19 พร้อมได้ส่งคำสั่งจังหวัดนครราชสีมา ที่ห้ามจัดกิจกรรมให้จำเลยที่ 3 ไปดูด้วย 

ทั้งนี้ มีประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อประมาณ 2,000 คน ตามความหมายหรือวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ แล้ว เพราะการจัดกิจกรรมดังกล่าวเกิน 20 คน ก็เข้าองค์ประกอบความผิดแล้ว และการเข้าร่วมชุมนุมมั่วสุมใกล้ชิดกันย่อมเสี่ยงต่อการแพร่โควิด-19 แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่มีการประชาสัมพันธ์ออกตามสื่อต่าง ๆ ให้เว้นระยะห่างกัน 1 เมตร และตามสถานที่ราชการต่าง ๆ ก็กำหนดไว้เช่นกัน 

การร่วมชุมนุมของจำเลยที่ 2, 3 ที่มีคนเข้าร่วมเป็นพัน ซ้ำเติมให้สถานการณ์โควิดเลวร้ายยิ่งขึ้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่มีผู้ติดเชื้อจากการชุมนุม เป็นการกล่าวอ้างแบบลอย ๆ

โดยเฉพาะพยานปากจักรกฤษณ์ ศรีสุวรรณ นิติกรประจำสาธารณสุขจังหวัด และชาญชัย บุญอยู่ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ต่างให้การยืนยันถึงความรุนแรงของสถานการณ์ผู้ป่วยโควิดใน จ.นครราชสีมา อย่างต่อเนื่อง และมีการเปิดโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วย การประกาศให้จังหวัดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดมีมติเห็นชอบให้ผู้ว่าฯ มีคำสั่งห้ามการร่วมจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลเกิน 20 คน โดยไม่ได้รับอนุญาต และห้ามชุมนุมมั่วสุมในลักษณะที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 

ซึ่งนายแพทย์ชาญชัย ประจักษ์พยานอยู่ในวันเกิดเหตุให้การยืนยันว่า พบเห็นการร่วมกันชุมนุมของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ประกอบกับประชาชนใน จ.นครราชสีมาไม่ได้ใช้ชีวิตตามปกติสุขเลย ทุกคนต้องเข้มงวดในการระมัดระวังต่อการแพร่เชื้อ ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน และแม้กระทั่งโรงเรียนก็ต้องสั่งปิดโรงเรียนทั้งจังหวัด พฤติการณ์ร่วมชุมนุมของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ที่มีคนเข้าร่วมเป็นพันคน ซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น 

ส่วนผลการชุมนุมจะทำให้มีผู้ติดเชื้อหรือไม่เป็นเรื่องเหตุการณ์ภายหลังเกิดเหตุ ซึ่งโจทก์เห็นว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะไม่มีการลงทะเบียนผู้เข้าร่วม จึงย่อมไม่มีการติดตามผลการติดเชื้อของแต่ละคนได้ ทั้งการแสดงอาการก็มีช้าเร็วต่างกันไป การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่มีผู้ติดเชื้อจากการชุมนุมจึงเป็นการกล่าวอ้างแบบลอย ๆ แต่ข้อมูลที่ปรากฏชัดตามคำให้การของจักรกฤษณ์ คือ ในช่วงหลังเกิดเหตุ 7 วัน จ.นครราชสีมามีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น จนต้องมีการตั้งเต็นท์รักษาหน้าโรงพยาบาลมหาราช 

นายแพทย์ชาญชัยก็ให้การยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุมีการแพร่เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่มีความรุนแรงมาก ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้ออาจถึงแก่ชีวิต และมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดังกล่าวสูงด้วย สามารถติดเชื้อได้ง่ายแม้จะสวมหน้ากากอนามัย เมื่อมีการสัมผัสใกล้ชิดกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ที่มีการยืนใกล้ชิดกันพูดตะโกนใส่กัน มีการถอดหน้ากากอนามัยขณะพูดปราศรัย และมีการรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก จึงย่อมมีการเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 โดยอ้างคำจำกัดความดังกล่าว โจทก์จึงไม่เห็นด้วย การกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มีความผิดตามโจทก์ฟ้อง

.

คำอุทธรณ์ของโจทก์ระบุตอนท้ายด้วยว่า คดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 3 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะได้วินิจฉัยและได้ลงลายมือชื่อรับรองอุทธรณ์แล้ว 

.

จำเลยแก้อุทธรณ์ของโจทก์ ยึดถือคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นหลัก 

วันที่ 12 ต.ค. 2565 จำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลเพื่อโต้แย้งอุทธรณ์ของโจทก์ข้างต้น โดยยืนยันว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น และพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

คำแก้อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้

ยืนยัน ไม่มีพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยโพสต์ชวนชุมนุม-เป็นแกนนำ จำเลยเพียงร่วมชุมนุมด้วยความระมัดระวัง ป้องกันการแพร่โควิดแล้ว 

ตามที่โจทก์อ้างว่าพยานโจทก์ปาก พ.ต.ท.ไพฑูรย์, พ.ต.ท.อุกฤษฎ์, พ.ต.อ.กรกฏ และธงชัย ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่ามีการนัดทำกิจกรรมชุมนุมทางเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสี่และเพจ Korat No เผด็จการ หลายครั้ง และจำเลยที่ 2 มีพฤติกรรมเป็นแกนนำยืนปราศรัยบนรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียง ปรากฏตามคลิปนั้นไม่เป็นความจริง 

จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสี่ มีเพียงจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่รับว่าเป็นผู้โพสต์เชิญชวนให้มาร่วมกิจกรรมทางเฟซบุ๊กของจำเลยที่ 1 เอง และได้มีการโพสต์เชิญชวนทางเพจ Korat No เผด็จการ ซึ่งพยานโจทก์ไม่มีผู้ใดยืนยันและไม่มีผู้ใดทราบว่า ใครเป็นผู้โพสต์ข้อความเชิญชวนดังกล่าวในเพจ Korat No เผด็จการ 

และในส่วนที่กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์เป็นแกนนำโดยมีการขึ้นปราศรัยบนรถมีเครื่องขยายเสียงนั้น ก็เป็นความเข้าใจของโจทก์เอง พยานโจทก์ทั้ง 4 คน ไม่มีผู้ใดเบิกความยืนยันเช่นนั้น 

จำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานจำเลยว่า เป็นนักกิจกรรมทางการเมือง การรับเชิญให้ขึ้นปราศรัยก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปของผู้ทำกิจกรรมทางการเมือง เป็นการใช้สิทธิแสดงออกทางความคิดเห็นโดยเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และจำเลยทั้งสี่ก็ได้ใช้ความระมัดระวังในการป้องกันโรคอย่างดีเพียงพอตามมาตรการของทางภาครัฐกำหนดเป็นอย่างดีแล้ว โดยทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก มีการเว้นระยะห่าง และสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อตามที่โจทก์กล่าวอ้างแต่อย่างใด 

ส่วนจำเลยที่ 3 ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของเพจ Korat No เผด็จการ โดย พ.ต.อ.กรกฏ เคยเรียกเข้าไปพบพูดคุยขอให้ยกเลิกกิจกรรมในวันเกิดเหตุนั้น ก็เป็นเพียงความเข้าใจไปเองของพยานโจกท์ที่เคยพบเห็นจำเลยที่ 3 ในการร่วมกิจกรรมทางการเมืองบ่อยครั้ง จึงเรียกจำเลยที่ 3 ไปพบปะพูดคุย โดยที่พยานโจทก์ปากนี้ไม่ได้ยืนยันว่า จำเลยที่ 3 เป็นแกนนำแต่อย่างใด 

โดยที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมมั่วสุมตามที่โจทก์กล่าวอ้าง แต่จำเลยทั้งสี่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งได้ใช้ความระมัดระวังป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคเป็นอย่างดี ประกอบกับสถานที่ทำกิจกรรมเป็นที่โล่งอากาศถ่ายเทได้ดี มีการเว้นระยะห่างอย่างเพียงพอ และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตามมาตรการควบคุมโรคแล้ว

ที่โจทก์อ้างคำเบิกความของนิติกรสาธารณสุขว่า หลังชุมนุมมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีรายงานเป็นหลักฐาน จึงเป็นการกล่าวอ้างของพยานโจทก์เอง

การที่โจทก์อุทธรณ์กล่าวอ้างพยานโจทก์ปากจักรกฤษณ์ ศรีสุวรรณ และนายแพทย์ชาญชัย บุญอยู่ เบิกความถึงมาตรการการระมัดระวังต่อการแพร่เชื้อ ต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคนั้น ก็เป็นการเบิกความสอดคล้องกับพยานจำเลยว่า การทำกิจกรรมดังกล่าวอยู่ในที่โล่งแจ้ง มีการเว้นระยะห่าง รวมทั้งผู้ร่วมชุมนุมมีการสวมหน้ากากอนามัย 

และหลังจากการจัดกิจกรรมดังกล่าวพยานโจทก์ก็ไม่มีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อจากกิจกรรมการชุมนุมแต่อย่างใด โดยการที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่มีผู้ติดเชื้อจากการชุมนุมเป็นการกล่าวอ้างแบบลอย ๆ โดยอ้างข้อมูลที่ปรากฏตามคำเบิกความของจักรกฤษณ์ว่า ในช่วงหลังเกิดเหตุ 7 วัน มีผู้ติดโควิด-19 ใน จ.นครราชสีมา เพิ่มขึ้นนั้น ซึ่งแท้ที่จริงเป็นการกล่าวอ้างของพยานโจทก์ตามความเข้าใจของพยานเองเท่านั้น

.

สำหรับพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมทางการเมืองฐาน ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมอย่างน้อย 5 คดี โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นอกจากคดีนี้ ยังมีอีก 3 คดีที่เป็นที่แน่ชัดว่า พนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครราชสีมายื่นอุทธรณ์ เป็นผลให้คดียังไม่ถึงที่สุด

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ฟ้องแล้ว! พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คาร์ม็อบโคราช 2 คดีจำเลยยันสู้เต็มที่ แม้รัฐบอกว่าผิด แต่เชื่อว่าการไล่รัฐบาลคือสิ่งที่ถูก

ก่อนจะถึงคำพิพากษา: 2 จำเลยคาร์ม็อบโคราช1สิงหา ยืนยันสิทธิชุมนุมเรียกร้องวัคซีน – คาร์ม็อบไม่เสี่ยงโควิด – ไม่มีผู้ติดเชื้อ 

X