ย้อนดู “แซน” นร.ภูเขียว ยืนยันเสรีภาพการแสดงออกที่ไม่ควรถูกลิดรอน ก่อนศาลเยาวชนมีคำพิพากษาคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ชุมนุมเรียกร้อง ตร.ขอโทษ  

25 ต.ค. 2565 “แซน” (นามสมมติ) นักเรียนมัธยมปลาย โรงเรียนภูเขียว จ.ชัยภูมิ และนักกิจกรรมเยาวชน ต้องเดินทางไปที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิที่อยู่ห่างจากบ้านเกือบ 100 กม. อีกครั้ง เพื่อฟังคำพิพากษา หลังจากเดินทางไปกลับมาแล้วเกือบ 10 เที่ยว นับจากวันที่ถูก สภ.ภูเขียว ออกหมายเรียกเพื่อดำเนินคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หลังแซนร่วมชุมนุมกับกลุ่ม “ราษฎร” เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 เรียกร้องให้ครูและตำรวจขอโทษกรณีคุกคามนักเรียนที่ลงชื่อไปค่าย “ราษฎรออนทัวร์”  

แซนถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมทางการเมืองคดีนี้เป็นคดีแรก ขณะที่เธอมีอายุเพียง 15 ปี ครั้งนั้นเธอกล่าวว่า “ถ้าโดนคดีสักครั้งคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกในสถานการณ์ที่มีการแจกคดีแบบนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรปกติ แต่กลายเป็นเรื่องปกติ” แต่หลังจากนั้นมาแซนถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมกับกลุ่ม “ทะลุฟ้า” อีกถึง 10 คดี เป็นคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อหาเกี่ยวกับการชุมนุม หลายคดีถูกฟ้องต่อศาลแล้ว หลายคดียังอยู่ในชั้นสอบสวน 

คดีนี้นับเป็นคดีจากการแสดงออกทางการเมืองของเยาวชนคดีเดียวในภาคอีสานที่ถูกฟ้องต่อศาลเยาวชนฯ ในห้วงเกือบ 3 ปี ของการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของเยาวชนคนรุ่นใหม่ และสำหรับแซนนี่เป็นคดีแรกของเธอที่ศาลจะตัดสินว่า การต่อสู้คดีของเธอ โดยยืนยันสิ่งที่ทำนั้นไม่ผิด เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และการถูกดำเนินคดีเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพนั้น ในมุมมองของศาลจะเป็นอย่างไร 

“รู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะเราไปค่ายเรียนรู้ ไปทำกิจกรรมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ แต่เรากลับถูกคุกคาม พอเราไปเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาขอโทษเรากลับถูกดำเนินคดี เราจึงเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ผิด และการต่อต้านความอยุติธรรมในสังคมเป็นหน้าที่หลักของพลเมือง” แซนกล่าวภายหลังให้การปฏิเสธต่อศาล และขอต่อสู้คดี 

ภายหลังคดีความมากมายซึ่งกินเวลาชีวิตวัยเรียนของเธอไปไม่น้อย แซนยังยืนยันว่า จะต่อสู้ต่อไปเพื่อให้ได้สังคมที่ไร้การกดขี่ 

อัยการฟ้อง 2 ข้อหา ร่วมชุมนุมที่มีความแออัด-มั่วสุมเสี่ยงแพร่โรคในพื้นที่เฝ้าระวังสูงโดยไม่ได้รับอนุญาต

สำหรับคดีนี้ เล็ก หอมลมัย พนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ ฟ้องแซนต่อศาลเยาวชนฯ ในความผิดฐาน “ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกําหนด ประกาศ คําสั่งที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยร่วมชุมนุมทํากิจกรรมที่มีการรวมคนที่มีความแออัดในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค และมั่วสุมในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรคภายในเขตพื้นที่ควบคุมพื้นที่เฝ้า ระวังสูง หรือพื้นที่เฝ้าระวัง ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงประกาศกําหนดโดยไม่ได้รับอนุญาต”

โดยระบุการกระทำที่เป็นความผิดว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 จําเลยกับพวกจำนวน 11 คน ซึ่งพ้นเกณฑ์เยาวชนและได้แยกดำเนินคดีต่างหากแล้ว  และพวกประมาณ 30-40 คน ได้ร่วมกันชุมนุม จัดเวทีปราศรัย และเล่นดนตรีผ่านเครื่องขยายเสียง โดยจำเลยและผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่สวมหน้ากากอนามัย มีการรวมกลุ่มกันถ่ายรูป ไม่รักษาระยะห่างตามสมควร และไม่มีการคัดกรองตามมาตรการควบคุมโรค บริเวณหน้าโรงเรียนภูเขียว และหน้า สภ.ภูเขียว ซึ่งเป็นเขตพื้นที่เฝ้าระวังสูง โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ

พยานโจทก์ทุกปากรับที่ชุมนุมโล่งกว้างไม่แออัด แซนเพียงร่วมชุมนุมไม่มีหน้าที่ขออนุญาต ด้านแซนยืนยันมีการป้องกันโควิด-ใช้สิทธิชุมนุมตามกฎหมาย

การสืบพยานมีขึ้นในช่วงวันที่ 9-11 ส.ค. 2565 ในวันแรกแซนและแม่เดินทางมาศาล โดยแซนมีอาการอ่อนเพลีย และวิงเวียน เนื่องจากท้องเสีย อาเจียน จากเหตุอาหารเป็นพิษในวันก่อนหน้านั้น ด้านผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดีเต็มองค์คณะ 4 คน ได้แก่ ชโยธิตย์ ตรงจิตซื่อสกุล ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน, สุทธิพงษ์ กิจชัยเจริญพร องค์คณะ และผู้พิพากษาสมทบอีก 2 คน บรรยากาศในการสืบพยานทั้ง 3 วัน เป็นไปแบบสบายๆ ไม่ตึงเครียด 

อัยการคดีเยาวชนนำพยานบุคคลเข้าเบิกความรวม 8 ปาก ประกอบด้วย ตำรวจ 4 นาย ที่อยู่ในเหตุการณ์ชุมนุม รวมถึง ผกก.สภ.ภูเขียว, สาธารณสุขอำเภอที่ไปสังเกตการณ์บางช่วงเวลา, ปลัดอำเภอและรองผู้อำนวยการโรงเรียนภูเขียวที่เห็นการชุมนุมหน้า ร.ร.ภูเขียวในระยะไกล และพนักงานสอบสวนที่รวบรวมหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคล 

พยานโจทก์เหล่านี้เฉพาะตำรวจ 4 นาย ที่เบิกความยืนยันว่า “แซน” เข้าร่วมการชุมนุมและขึ้นปราศรัยในวันเกิดเหตุ โดยภาพขณะแซนขึ้นปราศรัยและถ่ายรูปรวมกับผู้ชุมนุมคนอื่นนั้น แซนรวมถึงผู้ชุมนุมบางคนไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย พยานที่เห็นเหตุการณ์เบิกความทำนองเดียวกันว่า ในที่ชุมนุมผู้ชุมนุมบางคนไม่ใส่หน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่าง ไม่ปรากฏว่าในที่ชุมนุมมีเครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับคัดกรองและเจลแอกอฮอล์ล้างมือ ขณะ ผกก.สภ.ภูเขียว และพนักงานสอบสวน ยืนยันว่า ไม่พบว่ามีการขออนุญาตต่อผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนการชุมนุม 

อย่างไรก็ตาม มีพยานโจทก์บางปากเบิกความว่า ผู้ชุมนุมได้รับการตรวจคัดกรองแล้ว โดยสาธารณสุขอำเภอภูเขียวระบุว่า  หน่วยบริการปฐมภูมิอําเภอภูเขียวเข้าไปตรวจวัดอุณหภูมิที่หน้า สภ.ภูเขียว และแจกหน้ากากอนามัยให้ผู้ชุมนุมใส่จนครบทุกคน และรอง ผอ.โรงเรียนภูเขียว ระบุว่า ขณะเข้าโรงเรียนในตอนเช้า โรงเรียนได้จัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิ ให้นักเรียนล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และให้สวมหน้ากากอนามัยทุกคน ซึ่งหมายถึงแซนและนักเรียนที่ฟังปราศรัยผ่านการคัดกรองแล้ว 

อีกทั้งเมื่อที่ปรึกษากฎหมายจำเลยถามค้านพยานโจทก์เหล่านี้โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนเองก็รับว่า แซนเพียงเข้าร่วมชุมนุม ไม่มีหน้าที่ในการขออนุญาตชุมนุม สถานที่ชุมนุมก็โล่งกว้าง ไม่แออัด โอกาสแพร่เชื้อน้อยกว่าในอาคาร หลังการชุมนุมไม่ปรากฏมีผู้ติดเชื้อในจังหวัดชัยภูมิ นอกจากนี้ ทั้งประกาศและข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้นิยามคำว่า “แออัด” “มั่วสุม” “เสี่ยงต่อการแพร่โรค” ไว้ชัดเจน การตีความว่า จำเลยร่วมชุมนุมที่มีความแออัด และมั่วสุมในลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรคนั้น จึงเป็นดุลยพินิจของเจ้าพนักงานเอง

ด้านจำเลยซึ่งมีข้อต่อสู้ว่า ไม่ได้กระทำผิด เนื่องจากในการเข้าร่วมชุมนุมมีมาตรการป้องกันโควิดแล้ว โดยได้นำพยานรวม 3 ปาก ได้แก่ แซน, แม่ของแซน และหนึ่งในผู้จัดค่ายราษฎรออนทัวร์ เบิกความยืนยันตามข้อต่อสู้ดังกล่าว ทั้งยังยืนยันว่า ในการจัดค่ายมีเยาวชนถูกคุกคามจากครูและตำรวจจริง จึงเป็นเหตุให้มีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในวันเกิดเหตุ แซนชี้ด้วยว่า การเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญ, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กให้การรับรอง ไม่ควรถูกดําเนินคดีหรือถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

.

คำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยมีรายละเอียดโดยสรุปดังนี้

ภาพจากเพจ UNME of Anarchy

พยานโจทก์ชี้แซนร่วมชุมนุมและถ่ายรูปหมู่โดยไม่ใส่แมส ที่ชุมนุมไม่มีมาตรการป้องกันโควิด-ไม่ได้รับอนุญาต แต่รับว่าเฉพาะผู้จัดที่มีหน้าที่ขออนุญาต-ผู้ชุมนุมผ่านการคัดกรองแล้ว

พยานโจทก์ทุกปากเบิกความถึงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ในทำนองเดียวกันว่า เวลาประมาณ 08.00 น. มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 10 กว่าคน รวมกลุ่มกันหน้ารั้วโรงเรียนภูเขียว และปราศรัยตําหนิการบริหารงานของโรงเรียนภูเขียวที่ไม่สนับสนุนให้นักเรียนไปเข้าค่ายราษฎรออนทัวร์ที่อําเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีกลุ่มนักเรียนประมาณ 100 คน นั่งฟังการปราศรัยอยู่ด้านในโรงเรียน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้เดินทางเคลื่อนมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอำเภอภูเขียวเพื่อถ่ายรูป

เวลาประมาณ 10.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาชุมนุมที่หน้า สภ.ภูเขียว เพื่อเรียกร้องและสอบถามถึงสาเหตุที่ตํารวจห้ามนักเรียนโรงเรียนภูเขียวไปร่วมค่ายราษฎรออนทัวร์ ผู้กํากับการ สภ.ภูเขียว และ พ.ต.ท.อภิรักษ์ ดวงใจ รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม จึงเข้าเจรจากับแกนนํา ได้แก่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ และภาณุพงษ์ จาดนอก หรือไมค์ โดยแกนนําได้เสนอให้ตํารวจขอโทษนักเรียน และให้ผู้กำกับเป็นตัวแทนในการแถลงข่าวขอโทษ ตำรวจรับทราบข้อเรียกร้องแล้วได้ขึ้นไปประชุมที่ห้องประชุมชั้น 2 

ช่วงบ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมได้นําป้ายข้อความมาติดที่บริเวณรั้วและบันไดทางขึ้น รวมทั้งปิดทับป้าย สภ.ภูเขียว และผู้ชุมนุมผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย มีผู้ฟังการปราศรัยกว่า 20 คน จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 20.40 น. แกนนําได้อ่านแถลงการณ์ และขอนอนพักอยู่บริเวณหน้า สภ.ภูเขียว จนถึงเช้า แต่ราว 23.30 น. ตํารวจได้ทยอยปลดป้ายผ้าออก และแจ้งให้ผู้ชุมนุมออกจากบริเวณ สภ.ภูเขียว 

เฉพาะพยานตำรวจที่เบิกความว่า เห็นแซนในชุดนักเรียนร่วมชุมนุมและขึ้นกล่าวปราศรัยด้วย 

ตำรวจสืบสวน 2 นาย ที่สังเกตการณ์ตลอดการชุมนุม รวมทั้ง พ.ต.ท.อภิรักษ์ ซึ่งส่วนใหญ่ดูเหตุการณ์ผ่านกล้องวงจรปิด ระบุว่า ผู้ชุมนุมบางคนไม่ใส่หน้ากากอนามัย บางคนไม่เว้นระยะห่าง และไม่เห็นว่ามีการตรวจวัดอุณหภูมิ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ นอกจากนี้ในรายงานการสืบสวนที่ชุดสืบสวนจัดทำ มีภาพถ่ายจําเลยขณะขึ้นปราศรัยที่หน้าโรงเรียนภูเขียว และถ่ายรูปรวมเป็นหมู่คณะ ซึ่งในภาพผู้ชุมนุมบางคนรวมถึงจําเลยไม่ใส่หน้ากากอนามัย 

ผู้กำกับการ สภ.ภูเขียว, พ.ต.ท.อภิรักษ์ และพนักงานสอบสวน ยังเบิกความว่า ในการชุมนุมดังกล่าวไม่มีการขออนุญาตผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 4 ของประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 2)  

ด้านสาธารณสุขอำเภอภูเขียวเบิกความว่า ในช่วงบ่ายหน่วยบริการปฐมภูมิอําเภอภูเขียวได้เข้าไปวัดอุณหภูมิ และแจกหน้ากากอนามัยให้ผู้ชุมนุมที่หน้า สภ.ภูเขียว ใส่จนครบทุกคน แต่ผู้ชุมนุมไม่ได้เว้นระยะห่าง และไม่สังเกตเห็นว่ามีเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งผู้ชุมนุมบางคนที่เดินทางมาจากนอกพื้นที่ไม่ได้รายงานตัวต่อกํานันผู้ใหญ่บ้าน

ขณะที่รอง ผอ.โรงเรียนภูเขียว เบิกความว่า วันเกิดเหตุโรงเรียนเปิดเรียนตามปกติ และได้ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข มีการตรวจวัดอุณหภูมิ ให้นักเรียนล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และให้สวมหน้ากากอนามัยทุกคน เมื่อมีผู้ชุมนุมมาชุมนุมที่ริมรั้ว ทางโรงเรียนได้แจ้งเสียงตามสายให้นักเรียนเข้าเรียนตามปกติ แต่ไม่ได้ห้ามนักเรียนไปฟังกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด 

หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.อภิรักษ์ ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนําพร้อมกับพวก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือจําเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 15 ปีเศษเพียงคนเดียว 

ทั้งนี้ พยานตำรวจทุกปากเบิกความว่า ไม่รู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจําเลยมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.อภิรักษ์ เบิกความว่า  หลังเกิดเหตุ ตน, ผู้กำกับ และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายคน ถูกตำรวจภูธรภาค 3 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และถูกย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอื่น 

.

ในส่วนที่พยานโจทก์ทั้งแปดตอบคำถามค้านของที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายจําเลย มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ 

“แซน” เพียงเข้าร่วมชุมนุม ไม่มีหน้าที่ในการขออนุญาต

แม้พยานตำรวจที่ไปสังเกตการณ์ในที่เกิดเหตุจะเบิกความยืนยันว่า เห็นแซนในชุดนักเรียนร่วมชุมนุมและขึ้นกล่าวปราศรัยแต่ทุกปากก็ยืนยันกับทนายจำเลยว่า แซนเป็นผู้ร่วมชุมนุมเท่านั้น ในการเจรจากับตำรวจ มีเพียงไผ่และไมค์ที่เป็นผู้เจรจา 

เช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนที่ระบุว่า จากพยานหลักฐานที่คณะพนักงานสอบสวนรวบรวม เห็นว่า จําเลยเป็นผู้ร่วมชุมนุม ไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรมดังกล่าว พร้อมทั้งรับว่า ตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ (ฉบับที่ 2) ข้อ 4 ที่นำมาฟ้องจำเลยนั้น ระบุให้เฉพาะผู้จัดการชุมนุมเท่านั้นที่มีหน้าที่ต้องขออนุญาตผู้ว่าราชการจังหวัดก่อน สอดคล้องกับสาธารณสุขอำเภอภูเขียวที่ตอบทนายจำเลยว่า ผู้จัดการชุมนุมเท่านั้นที่มีหน้าที่ในการมาขอทํากิจกรรมใดๆ ในเขตพื้นที่ 

.

พื้นที่ชุมนุมโล่งกว้าง ไม่แออัด โอกาสแพร่เชื้อน้อยกว่าในอาคาร พยานไม่รู้ว่า ผู้ชุมนุมมีการคัดกรองมาจากค่ายแล้วหรือไม่ 

พยานโจทก์ทุกปากรับว่า สถานที่ชุมนุมปราศรัยทั้งที่หน้าโรงเรียนภูเขียว, หน้า สภ.ภูเขียว รวมถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอําเภอภูเขียวที่ผู้ชุมนุมไปถ่ายรูป ต่างเป็นที่โล่งกว้าง ไม่แออัด พ.ต.ท.อภิรักษ์ ยังระบุว่า บริเวณลานหน้า สภ.ภูเขียว จุคนได้ประมาณ 200 คน ปกติในการรวมแถวของตํารวจก่อนจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ก็ใช้บริเวณลานดังกล่าว

ด้านสาธารณสุขอำเภอภูเขียวตอบทนายจำเลยว่า หากเปรียบเทียบระหว่างอยู่ในห้องพิจารณากับในสถานที่โล่งแจ้งนอกอาคาร ภายในห้องพิจารณามีโอกาสติดเชื้อจะสูงกว่า นอกจากนี้ ในการดําเนินชีวิตของประชาชนทั่วไป คนในครอบครัวที่อยู่ใกล้ชิดและทานอาหารร่วมกันก็มีโอกาสติดเชื้อโควิดสูงเช่นกัน 

เกี่ยวกับมาตรการป้องกันโควิดในที่ชุมนุมซึ่งพยานตำรวจเบิกความว่าไม่เห็นการตรวจวัดอุณหภูมิหรือใช้เจลแอลกอฮอล์นั้น ชุดสืบสวนรวมทั้งสาธารณสุขอำเภอตอบทนายจำเลยว่า ผู้ชุมนุมรวมถึงจำเลยจะมีการตรวจวัดอุณหภูมิและพกเจลแอลกอฮอล์มาจากค่ายก่อนเดินทางมาชุมนุมหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ และในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด ประชาชนทั่วไปจะมีการใส่และพกหน้ากากอนามัยกันทุกคนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ พ.ต.ท.อภิรักษ์ ผู้กล่าวหา รับว่า โดยทั่วไปเครื่องวัดอุณหภูมิที่ติดตั้งไว้เพื่อคัดกรองจะติดตั้งที่บริเวณหน้าทางเข้าอาคารซึ่งเป็นสถานที่ปิด ไม่ติดตั้งที่บริเวณหน้ารั้วซึ่งเป็นที่โล่ง อีกทั้งเวทีการปราศรัยยกสูงจากพื้น ผู้ปราศรัยซึ่งแม้จะถอดหน้ากากอนามัยในขณะที่ปราศรัยก็มีระยะห่างจากผู้ชุมนุมพอสมควร 

พยานตำรวจหลายนายรับด้วยว่า ในการสวมใส่หน้ากากอนามัยนั้นบางครั้งหน้ากากอนามัยก็อาจจะเลื่อนลงมาอยู่บริเวณคาง หรืออาจจะมีการถอดออกชั่วคราวเพื่อลดความอึดอัดบ้างเป็นเรื่องปกติ ที่พยานเห็นบางคนไม่สวมหน้ากากอนามัยจึงอาจจะเป็นการถอดชั่วคราว ขณะสาธารณสุขอำเภอภูเขียวรับว่า ในกิจกรรมรวมกลุ่มนั้นผู้ร่วมกิจกรรมสามารถถอดหน้ากากอนามัยได้ในบางโอกาส

.

หลังการชุมนุมไม่ปรากฏมีผู้ติดเชื้อในจังหวัดชัยภูมิ

สาธารณสุขอำเภอภูเขียวยังเบิกความตอบทนายจำเลยว่า ในขณะที่มีเจ้าหน้าที่ของสาธารณสุขไปดําเนินการตรวจอุณหภูมิให้กลุ่มผู้ชุมนุม ไม่มีการแจ้งรายงานว่ากลุ่มผู้ชุมนุมนั้นติดเชื้อโควิดแต่อย่างใด อีกทั้งภายหลังการชุมนุมดังกล่าวไม่มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดในเขตอําเภอภูเขียวเพิ่มขึ้น สอดคล้องข้อมูลที่มีการรายงานในเฟซบุ๊กของศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ซึ่งไม่ปรากฏว่า มีผู้ติดเชื้อในจังหวัดชัยภูมิในช่วงวันที่ 31 ม.ค. – 14 ก.พ. 2564 ทั้งตำรวจที่สังเกตการณ์การชุมนุมก็เบิกความว่า ตนไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 จากการชุมนุมดังกล่าว  

.

การชุมนุมสงบ ปราศจากอาวุธ

ชุดสืบสวน สภ.ภูเขียว 2 นาย ตอบคำถามของทนายจำเลยว่า การชุมนุมที่หน้าโรงเรียนภูเขียวและหน้า สภ.ภูเขียวนั้น เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 ให้การรับรองไว้ เนื่องจากไม่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพกพาอาวุธ ไม่มีการใช้กําลัง และไม่ปรากฏว่าทรัพย์สินส่วนรวมเกิดความเสียหาย มีเพียงความเสียหายทางด้านจิตใจเท่านั้น สอดคล้องกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนที่รวบรวมพยานหลักฐานในคดี และรอง ผอ.โรงเรียนภูเขียว 

.

หากตำรวจขอโทษที่คุกคามนักเรียนไปค่ายก็จะยุติการชุมนุม แต่ตำรวจไม่ขอโทษ ผกก.อ้างแค่ให้ตำรวจไปสังเกตการณ์ ไม่ได้ห้ามไปค่าย 

พ.ต.อ.เพิ่มสุข ผกก.สภ.ภูเขียว ตอบทนายจำเลยว่า จุดประสงค์หลักของการชุมนุมครั้งนี้ คือเรียกร้องให้ครูโรงเรียนภูเขียว และตํารวจ สภ.ภูเขียว ที่ไปห้ามหรือตักเตือนนักเรียนในการไปค่ายราษฎรออนทัวร์ ออกมาขอโทษ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวผู้กำกับปฏิเสธว่า ไม่ได้มอบหมายให้ตํารวจไปตักเตือนหรือห้ามปรามนักเรียน แค่ให้ไปสังเกตการณ์ในพื้นที่รับผิดชอบเท่านั้น  และไม่ทราบว่าค่ายราษฎรออนทัวร์จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับอะไรบ้าง 

ด้าน พ.ต.ท.เจริญ และรอง ผอ.โรงเรียนภูเขียว ยืนยันข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบสวน ซึ่งระบุว่า ในวันที่ 26 ม.ค. 2564 พ.ต.อ.เพิ่มสุข ศิริพละ ผกก.สภ.ภูเขียว, พ.ต.ท.นิพนธ์ มิ่งขวัญ รอง ผกก.สส.สภ.ภูเขียว, พ.ต.ท.เจริญ สารคํา สว.สส.สภ.ภูเขียว, พ.ต.ท.วันชัย จีนคํา สวป.สภ.ภูเขียว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตํารวจชุดสืบสวน ได้ออกไปพบผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนภูเขียว เพื่อประชาสัมพันธ์และชี้แจงให้ทราบถึงการเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรียน หากฝ่าฝืนเข้าร่วมกิจกรรมอาจมีความผิด ตาม พ.ร.ก.ควบคุมโรคติดต่อ และอาจมีการติดเชื้อโควิด-19 ได้ จึงไม่ควรให้นักเรียนไปร่วมทํากิจกรรมดังกล่าว 

แต่จะมีตํารวจไปติดตามโดยถ่ายภาพบ้านนักเรียนที่จะไปค่ายหรือไม่ พ.ต.ท.เจริญ ตอบทนายจำเลยว่า ตนไม่ทราบ ด้าน ร.ต.อ.พร้อมพงษ์ ชุดสืบสวนอีกรายกล่าวยืนยันว่า เท่าที่ตนทราบมีเพียงครูโรงเรียนภูเขียวที่เข้าไปตักเตือนนักเรียน ไม่มีตํารวจเข้าไปพูดคุยกับนักเรียน 

รายงานการสืบสวนยังระบุว่า ภ.จว.เลย ได้สั่งการให้ สภ.วังสะพุง ดําเนินการตั้งจุดตรวจคัดกรอง เพื่อคอยตรวจสอบและสกัดกั้นไม่ให้มีกลุ่มบุคคลเข้าร่วมกิจกรรม “ราษฎรออนทัวร์” ซึ่ง พ.ต.ท.เจริญ ก็ยืนยันข้อเท็จจริงตามนั้น 

ทั้งนี้ พ.ต.ท.เจริญ รับด้วยว่า ในระหว่างการเจรจาไผ่ได้แจ้งผู้กํากับว่า หากมีแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ชุมนุมก็จะเลิกการชุมนุมและเดินทางกลับทันที แต่ตํารวจก็ไม่ได้ดําเนินการตามข้อเรียกร้องดังกล่าว 

พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้นิยามคำว่า “มั่วสุม” “แออัด” “เสี่ยงต่อการแพร่โรค” ตามที่โจทก์ฟ้อง ทั้งหน้าผู้รับผิดชอบฯ ออกประกาศเกินกว่าที่ข้อกำหนดให้อำนาจไว้ 

ผู้กล่าวหาและพนักงานสอบสวนในคดี ตอบคำถามค้านว่า ตามพระราชกําหนด ประกาศ ข้อกําหนด คําสั่งต่างๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุนั้น ไม่มีบทนิยามของคําว่า “มั่วสุม” “เสี่ยงต่อการแพร่โรค” รวมถึง “สถานที่แออัด” ไว้ ซึ่งการตีความกฎหมายดังกล่าวก็เป็นดุลยพินิจของเจ้าพนักงานเอง 

นอกจากนี้ ข้อกําหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 15) ข้อ 3 ระบุว่า ห้ามมิให้มีการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ในสถานที่แออัด ทั้งนี้ ภายในเขตพื้นที่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงประกาศกำหนด ซึ่งต่อมาได้มีประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ (ฉบับที่ 2) โดยในข้อ 2 มีถ้อยคําที่เพิ่มเติมขึ้นมาว่า ห้ามการมั่วสุมที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค หรือการกระทําอันเป็นการฉวยโอกาสซึ่งซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน หรือการกลั่นแกล้งเพื่อแพร่โรค ณ ที่ใดๆ ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการระบุเพิ่มเติม โดยที่ข้อกําหนด (ฉบับที่ 15) ข้อที่ 3 ไม่ได้ให้อำนาจไว้ แต่พยานไม่ทราบว่า ในถ้อยคําที่เกินมาดังกล่าวนั้นจะมีผลบังคับใช้หรือไม่ 

.

พยานจำเลยชี้ เยาวชนถูกคุกคามจึงชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรม – ค่ายและที่ชุมนุมมีมาตรการป้องกันโควิด  

“แซน” ยืนยัน ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาสิทธิเด็ก ร่วมชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรม-แสดงเจตจำนงทางการเมือง ทั้งปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิดแล้ว ไม่ควรถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ  

แซนเบิกความเป็นพยานให้ตนเองว่า ได้ทราบข้อมูลของค่ายราษฎรออนทัวร์ครั้งที่ 2 จากเฟซบุ๊ก และการแนะนำของไผ่ หรือจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ซึ่งเป็นรุ่นพี่โรงเรียนภูเขียว ทราบว่าเป็นค่ายที่ให้เยาวชนไปเรียนรู้ผลกระทบจากการทําเหมืองแร่ทองคําที่อําเภอวังสะพุง  

ในการทําเหมืองแร่ทองคำส่งผลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของชาวบ้านในชุมชน เนื่องจากกระบวนการสกัดแร่ทองคํามีการใช้สารโลหะหนักต่างๆ และปล่อยของเสียลงสู่แม่น้ำ ทั้งยังเก็บสารพิษด้วยการฝังดิน ทำให้สารพิษซึมลงดินส่งผลกระทบต่อพืชผลต่างๆ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบและออกมาเรียกร้องให้นายทุนที่ทําเหมืองแร่ออกจากพื้นที่มาเป็นวิทยากรในค่าย 

พยานได้แจ้งรายละเอียดของค่ายให้มารดาทราบ และมารดาได้ลงชื่ออนุญาตให้พยานไปเข้าค่ายดังกล่าวได้ หลังจากนั้นครูโรงเรียนภูเขียวได้มาพบพยานและมารดาที่บ้าน แสดงความเป็นห่วงว่า กิจกรรมค่ายดังกล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องของเรา และไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรงเรียนภูเขียว คนที่ไปค่ายก็จะถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับตาเป็นพิเศษ จึงไม่อยากให้พยานไป

เพื่อนของพยานที่ลงชื่อจะไปค่ายด้วยนั้น หลายคนไม่ได้ไป โดยก่อนถึงวันไปค่าย เพื่อนได้มาบอกพยานว่า มีตํารวจไปพบผู้ปกครองที่บ้านแจ้งว่า หากไปร่วมค่ายราษฎรออนทัวร์จะถูกดําเนินคดี เท่าที่พยานทราบมีนักเรียนลงชื่อไปค่ายราษฎรออนทัวร์ประมาณ 30 คน แต่ที่ได้ไปจริงมี 4 คน

ต่อมา วันที่ 29 ม.ค. 2564 พยานและเพื่อนเดินทางไปค่าย ทั้งขณะขึ้นรถตู้ที่หน้าโรงเรียนภูเขียวและตลอดทางพยานสังเกตเห็นมีตํารวจคอยถ่ายรูป และยังมีด่านตรวจของตำรวจที่ดักเรียกรถตู้ดังกล่าวเพียงคันเดียวให้จอด เพื่อทําการคัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิ รวมทั้งพยายามถ่ายรูปคนในรถ ขณะที่พยานทำกิจกรรมในค่ายแม้ไม่เห็นว่ามีตํารวจคอยสังเกตการณ์หรือถ่ายรูป แต่เมื่อพยานไปอาบน้ำที่บ้านของชาวบ้านก็เห็นว่ามีตํารวจคอยสังเกตการณ์อยู่  

ในค่ายราษฎรออนทัวร์นั้นมีมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยมีการวัดอุณหภูมิเพื่อคัดกรอง และให้ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนใส่หน้ากากอนามัย รวมทั้งแจกสเปรย์แอลกอฮอล์ให้พกพา 

พยานกลับถึงบ้านที่อําเภอภูเขียวในวันที่ 31 ม.ค. 2564 วันต่อมาพยานไปเรียนตามปกติ โดยไปถึงโรงเรียนประมาณ 07.00 น. พยานใส่หน้ากากอนามัย มีการวัดอุณหภูมิและมีเจลแอลกอฮอล์ไว้ให้ล้างมือบริเวณทางเข้าโรงเรียน 

ต่อมาช่วงเวลา 08.00 น. มีรุ่นพี่ที่จัดทําค่ายราษฎรออนทัวร์มาชุมนุมที่หน้าโรงเรียนเพื่อเรียกร้องให้ครูขอโทษ กรณีที่มีครูไปพบผู้ปกครองของนักเรียน รวมถึงเปิดเผยข้อมูลนักเรียนให้ตํารวจทราบ พยานจึงเข้าร่วมชุมนุม และได้อ่านแถลงการณ์ชี้แจงวัตถุประสงค์ของค่ายราษฎรออนทัวร์ในการไปเรียนรู้ปัญหาของสังคม รวมถึงแสดงความไม่พอใจที่มีตํารวจไปที่บ้านของพยานและเพื่อน ใช้เวลาพูดแค่ 1 – 2 นาที คนที่ร่วมชุมนุมในวันนั้นผ่านการคัดกรองโควิดจากค่ายมาแล้ว ผู้ที่ขึ้นปราศรัยยังรักษาความสะอาดโดยฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ที่ไมโครโฟนก่อนเปลี่ยนให้คนอื่นพูดต่อ 

หลังการชุมนุมหน้าโรงเรียนมีการถ่ายรูปรวมกลุ่ม ทั้งคนที่มาจากค่ายและนักเรียนต่างก็ผ่านการคัดกรองมาแล้ว อีกทั้งกลุ่มนักเรียนอยู่ภายในโรงเรียน ส่วนรุ่นพี่จากค่ายยืนอยู่นอกรั้ว ใช้เวลาในการถ่ายรูปไม่ถึง 1 นาที แม้จะมีบางคนดึงหน้ากากอนามัยลงมาที่คางก็เป็นการดึงลงมาชั่วคราวเพื่อถ่ายรูปเท่านั้น 

พยานได้ติดตามกลุ่มผู้ชุมนุมไปที่บริเวณหน้า สภ.ภูเขียว ด้วย ระหว่างทางมีการแวะถ่ายรูปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ กลุ่มคนที่ถ่ายภาพก็เป็นกลุ่มเดียวกับที่หน้าโรงเรียนภูเขียว พยานอยู่ที่ สภ.ภูเขียว ประมาณ 20 นาที ก็กลับไปเรียนจนถึงเวลา 16.00 น. จากนั้นจึงมาที่หน้า สภ.ภูเขียว และขึ้นปราศรัยเรื่องเดียวกับที่พูดในตอนเช้า ก่อนเดินทางกลับบ้านเวลาประมาณ 21.00 น.  

พยานฉีดวัคซีนไฟเซอร์แล้ว 1 เข็ม ขณะร่วมชุมนุมพยานก็ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอลล์และใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นแต่ในขณะที่พยานขึ้นปราศรัยเท่านั้น เนื่องจากต้องการให้เสียงดังฟังชัด นอกจากนี้เวทีปราศรัยอยู่ห่างจากผู้ฟังพอสมควร และได้มีการทําความสะอาดไมโครโฟนโดยการฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์แล้ว 

ในคดีจากการร่วมชุมนุมและถูกตั้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลักษณะเดียวกับคดีนี้ พยานทราบว่าศาลมีคําพิพากษายกฟ้องแล้วหลายคดี 

ขณะเกิดเหตุพยานเรียนอยู่ที่โรงเรียนภูเขียว โดยเป็นนักดนตรีวงโยธวาทิตและนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียน พยานมีเป้าหมายเรียนต่อในสาขารัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ หรือ IR และตั้งใจว่าจะทํางานในองค์กรระหว่างประเทศ คอยดูแลเรื่องสิทธิเสรีภาพของเยาวชนและคนในสังคมต่อไป  

การที่พยานไปค่ายราษฎรออนทัวร์ รวมถึงร่วมชุมนุมและปราศรัยในวันเกิดเหตุ เนื่องจากพยานรับรู้ปัญหาของสังคมและประสงค์ที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงเจตจํานงทางการเมือง ซึ่งคนในสังคมพึงกระทํา ไม่ควรถูกดําเนินคดีหรือถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560, กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ได้ให้การรับรองไว้ 

.

ครูไปพบแม่ห้ามไม่ให้แซนไปค่าย อ้างเป็นผลเสีย แม่ไม่เห็นด้วย แจงเป็นค่ายสิ่งแวดล้อมเท่านั้น    

พยานจำเลยปากต่อมาคือ มารดาของแซน เบิกความถึงเหตุการณ์ที่มีครูมาพบก่อนแซนไปค่ายว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 มีครูของโรงเรียนภูเขียว 4 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด มาหาพยานที่ร้าน และถามว่าแซนจะไปค่ายราษฎรออนทัวร์หรือไม่ โดยก่อนหน้านี้แซนได้นําหนังสือขออนุญาตมาให้ดู ซึ่งพยานได้ลงลายมือชื่อยินยอมให้ไปแล้ว  

ครูที่มาพูดว่า ค่ายดังกล่าวไม่ใช่กิจกรรมของโรงเรียนภูเขียว ซึ่งโรงเรียนไม่ต้องการให้นักเรียนไปร่วมกิจกรรม เพราะจะมีผลเสียตามมา แต่เท่าที่ดูวัตถุประสงค์และเนื้อหาของกิจกรรมดังกล่าว พยานคิดว่าไม่มีผลเสีย เนื่องจากเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และจําเลยไปค่ายพร้อมกลุ่มเพื่อน พยานจึงได้ชี้แจงเหตุผลให้ครูทราบ 

ส่วนตํารวจไม่ได้เข้ามาพูดคุย แต่พยานได้ทราบจากแซนว่า ผู้ปกครองของเพื่อนที่ลงทะเบียนว่าจะไปเข้าค่ายราษฎรออนทัวร์นั้น มีทั้งครูและตํารวจไปพบก่อนถึงวันไปค่าย

หลังจากกลับจากค่ายแซนได้เล่าให้ฟังว่า ไผ่ซึ่งเป็นรุ่นพี่และเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ไปค่ายด้วย แต่พยานก็เห็นว่าไม่ได้มีผลเสียอะไร หลังเหตุการณ์ชุมนุมที่ สภ.ภูเขียว เท่าที่พยานทราบไม่มีคนในชุมชนหรือผู้ชุมนุมติดเชื้อโควิด 

.

ทีมจัดค่ายราษฎรออนทัวร์ชี้ เยาวชนถูกคุกคามจริง ยืนยันในค่ายและที่ชุมนุมมีมาตรการป้องกันโควิด

กิติภูมิ ทะสา นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นฝ่ายจัดสถานที่ของกลุ่มผู้จัดค่ายราษฎรออนทัวร์ เบิกความเป็นพยานให้แซนในทำนองเดียวกันว่า ค่ายราษฎรออนทัวร์มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้ปัญหาของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคําในอําเภอวังสะพุง ในการเข้าร่วมกิจกรรมเยาวชนต้องให้ผู้ปกครองเซ็นหนังสืออนุญาตก่อน การจัดค่ายประสบปัญหา เนื่องจากผู้ปกครองของเยาวชนที่จะไปค่ายถูกตํารวจไปพูดห้ามปรามไม่ให้ไป ระหว่างเดินทางไปค่ายก็มีตํารวจขับรถติดตาม รวมถึงตั้งด่านสกัดด้วย 

ในค่ายดังกล่าวมีมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยมีการจัดเครื่องวัดอุณหภูมิไว้คัดกรอง เป็นชนิดพกพาที่ใช้ยิงบริเวณหน้าผาก รวมถึงแจกหน้ากากอนามัยให้ทุกคนใส่และสเปรย์แอลกอฮอล์ให้พกพา การชุมนุมในวันเกิดเหตุก็มีมาตรการดังกล่าวเช่นกัน ทั้งยังมีการทำความสะอาดไมโครโฟนทุกครั้งที่เปลี่ยนคนขึ้นปราศรัย 

ขณะชุมนุมที่หน้า สภ.ภูขียว ไผ่ได้เจรจากับผู้กํากับการ สภ.ภูเขียว ให้ตํารวจขอโทษเยาวชนที่ลงชื่อไปค่ายราษฎรออนทัวร์ โดยพยานรวมถึงจําเลยไม่ได้เข้าไปร่วมเจรจา หลังจากเจรจาแล้ว ตํารวจไม่ได้ออกมาขอโทษตามข้อเรียกร้อง 

วัตถุประสงค์ที่มีการกางเต็นท์ และโต๊ะเก้าอี้ที่หน้า สภ.ภูเขียว ก็เพื่อแสดงให้ตํารวจเห็นถึงบรรยากาศของค่ายราษฎรออนทัวร์ว่า เหมือนกับกิจกรรมเข้าค่ายอื่นๆ 

.

สำหรับการชุมนุมของกลุ่ม “ราษฎร” เรียกร้องให้ตำรวจขอโทษที่คุกคามเด็กนักเรียนเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 นอกจากแซนแล้ว มีนักกิจกรรมถูกดำเนินคดีอีก 25 ราย แยกเป็นคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 22 ราย และคดีตามมาตรา 112 อีก 3 ราย ทั้งสองคดีจะมีการสืบพยานที่ศาลจังหวัดภูเขียวในปี 66 และ 67 ตามลำดับ

.

อ่านเรื่องราวของแซนและคดีเพิ่มเติม

X