เมื่อ “ฮ่องเต้” โดนข้อหาหมิ่นกษัตริย์

เรื่องและภาพ: วรรณา แต้มทอง

.

“ผมเพิ่งอายุ 22 เอง ผมก็อยากจะใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นปกติบ้าง ช่วงนี้ผมชอบตกปลา ผมก็อยากจะไปตกปลากับเพื่อนที่บ่อ หรือขับมอเตอร์ไซค์เล่นอย่างที่ผมชอบ ทุกวันนี้ขับมอเตอร์ไซค์ แม่ก็ไม่อยากให้ขับ เพราะมันอันตราย ไม่รู้ใครจะมาตีหัว เคยโดนนอกเครื่องแบบขับตาม เราก็ขับหนี สลัดหลุดเลย”

คำพูดของ “ฮ่องเต้” หรือ ธนาธร วิทยเบญจางค์ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในคืนวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ยังอยู่ในความทรงจำของเราอย่างดี หลังจากวันนั้นทุกครั้งที่เจอหน้านักศึกษาแห่งภาควิชาปรัชญาและศาสนาคนนี้ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวเราตลอด “ประเทศนี้ย่ำยีและขโมยชีวิตวัยรุ่นของคนที่ออกมาเคลื่อนไหวไปกี่คนแล้ว”

ใช่, เขาอายุ 22 ปี ไม่เด็กแล้ว แต่ถ้าหากประเทศนี้ปกติ…เขากับเพื่อนๆ ก็ไม่จำเป็นอะไรเลยที่จะต้องผลักตัวเองให้เติบโตอย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นในวัยเดียวกัน ฮ่องเต้และเพื่อนใน “พรรควิฬาร์” ลุกขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดแฟลชม็อบในช่วงปี 2563 กระทั่งเรื่อยมาจนถึงคาร์ม็อบไล่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปัจจุบัน โดยเชิญชวนคนเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงที่เห็นด้วยกับจุดยืนนี้ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยร่วมกัน

การมีอยู่ของ “พรรควิฬาร์” หรือ “แมวดำ” ทำให้เชียงใหม่คึกคักขึ้นไม่น้อย ประชาชนหลายคนมีพื้นที่ในการแสดงออกทางการเมืองและระบายความอัดอั้นต่อสภาพชีวิตที่ถูกรัฐบาลช่วงชิงไปทั้งรายได้ อนาคต หน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งลมหายใจของคนที่พวกเขารัก

เพราะความโดดเด่นในการระดมผู้คนของพรรควิฬาร์นี้เอง แกนนำหลายคนจึงถูกจับจ้องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมไปถึงฮ่องเต้ด้วย ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงวันนี้ เขาถูกกล่าวหาดำเนินคดีทางการเมืองไปแล้วรวม 9 คดี ถูกกล่าวหามาทั้งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 , พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ กระทั่งล่าสุดถูกกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นคดีแรกในชีวิต ทำให้เขากลายเป็นคนอายุ 22 ปี ที่มีคดี 112 เป็นของตัวเอง

ก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวในเช้าวันรุ่งขึ้น (27 สิงหาคม 2564) ค่ำคืนนั้น ฮ่องเต้นั่งคุยกับเราอย่างใจเย็น เปิดเผยทุกความคิดย่างไม่ปิดบัง แม้เขาจะดูเหนื่อยล้ากว่าปกติจากการนอนดึกติดต่อกันมาหลายคืน เพื่อเตรียมส่งมอบงานที่อยู่ในมือให้เพื่อนๆ หากเขาต้องไปอยู่ในคุกจริงๆ

.

เตรียมใจรับมือกับเรื่องการเข้ารับทราบข้อหาไว้อย่างไรบ้าง

คิดอยู่ครับ ตอนนี้ว่าจะทำกิจกรรมก่อนได้รับประกันตัวไหม หรือว่าหลังประกันตัวดี เพราะว่ามันก็มีข้อเกี่ยวข้องกับว่าเราจะได้รับประกันตัวหรือเปล่า จริงๆ มันไม่ควรจะมีคำถามนี้เกิดขึ้นในตัวผมแบบนี้ มันควรจะเป็นเราต้องได้รับสิทธิประกันตัวสิ ไม่ใช่ว่าพอเราทำไม่ถูกใจผู้มีอำนาจแล้ว คุณก็ไม่มีสิทธิได้รับการประกันตัว ผมมองว่าในสังคมแบบนี้มันสองมาตรฐาน แล้วกลายเป็นว่าผมต้องมานั่งเรียงลำดับเพื่อเอาใจโครงสร้างอย่างนี้

.

คุณเป็นใครพอจะเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหม ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในพรรควิฬาร์ได้

เอาตามตรง ผมก็เป็นนักศึกษาธรรมดา เป็นนักศึกษาซิ่วมาด้วย ก่อนหน้านี้ผมไปเรียนแพทย์แผนจีนที่ประเทศจีนมา 2 ปี ตอนไปอยู่นั้นผมเจาะ VPN เข้ามาตามข่าวที่ไทย ผมคั่นเนื้อคั่นตัวอยากกลับมาเรียกร้องที่ไทยมากกว่า ผมเลยซิ่วมาอยู่ มช.

ส่วนพรรควิฬาร์เริ่มต้นมาจากจุดเล็กๆ ตอนนั้นแมวผมตาย แล้วเราไม่มีตังค์รักษาแมว แมวผมเป็นลูคีเมียติดเชื้อในกระแสเลือด ผมมีความรู้สึกว่าถ้าสังคมมีโครงสร้างรัฐสวัสดิการ โครงสร้างเศรษฐกิจที่ดีกว่านี้ ไม่ได้บัดซบแบบในยุครัฐบาลนี้ อย่างน้อยเราก็อาจจะมีเงินมายื้อชีวิตแมวเราได้ คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่แมวตัวนี้อยู่กับผมมา ตั้งแต่ผมอยู่ม.ปลาย มันเหมือนกับคนในครอบครัว เราเลยคิดว่าถ้ามันเป็นคนในครอบครัว แล้วคนในครอบครัวเราตายเพราะไม่มีรัฐสวัสดิการ ไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น เราก็เลยต้องออกมาขับเคลื่อน

ตอนตั้งพรรคใหม่ๆ เราแค่อยากเอาพลเอกประยุทธ์ออก แต่หลังๆ ยิ่งทำมาเรื่อยๆ ทุกอย่างยิ่งตอกย้ำว่าคนที่มีอำนาจเหนือกว่าพลเอกประยุทธ์ ไม่ใช่แค่สถาบันกษัตริย์ ยังมีนายทุนและอำนาจทางกองทัพเองที่คอยหนุนหลังอยู่ ดังนั้นถ้าจะเปลี่ยน ต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง ข้อเรียกร้องของเราเลยขยับขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนกับข้อเรียกร้องของประชาชน อย่างที่สังเกตตอนแรกข้อเรียกร้องมันไม่ได้สูง กลายเป็นว่าตัวรัฐเองต่างหากที่ทำตัวเอง เปิดแผลตัวเองออกมา ว่าข้างในมันเน่าแค่ไหน ต้องเปลี่ยนทั้งระบบ

.

.

แล้วตอนนี้จุดยืนของพรรควิฬาร์กับของคุณเป็นเช่นไร

จุดยืนของพรรคมันก็คือจุดยืนของผม ณ ตอนนั้น ผมเริ่มตั้งพรรคคนเดียวจากการที่แมวตายเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้จุดยืนของพรรคก็ต้องบอกว่ามันไม่ตรงกับจุดยืนของผม เพราะว่าเรามีคนอื่นเข้ามาด้วย มีเพื่อนๆ มีสหายที่คอยร่วมกันก่องานขึ้นมา ซึ่งผมคิดว่าในกลุ่มไม่จำเป็นต้องมีจุดยืนที่ตรงกัน แต่ประเด็นคือเรามีจุดร่วมเหมือนกันว่าเราอยากได้อะไร อย่างน้อยอุดมการณ์ต้องมีและตรงกัน ในพรรคส่วนใหญ่ตอนนี้ก็จะเน้นไปที่เรื่องท้องถิ่น ท้องถิ่นเข้มแข็ง ประชาชนในท้องถิ่นต้องมีสิทธิบริหารจัดการตัวเอง ออกนโยบายต่างๆ เองได้

ขณะที่จุดยืนของผม ใจจริงผมอยากดันเรื่องของท้องถิ่นให้ไปไกลสุดๆ จนถึงประชาธิปไตยทางตรงเลย ตอนนี้ผมทำงานในองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อ.มช.) ด้วย ซึ่งมันทำให้เราเห็นระบบราชการหรืออะไรที่มันมีขั้นมีตอนของเอกสารทั้งหลาย เข้าใจว่ามันเอาไว้ตรวจสอบนู่นนี่นั่น แต่ประเด็นคือเวลามีปัญหามันแก้ช้ามาก แล้วการแก้ปัญหาต่างๆ ถูกกองไว้ที่การตัดสินใจของคนไม่กี่คน ในมอ ก็ผู้บริหารตัดสินใจ ข้างนอกอย่างจังหวัดเชียงใหม่ ก็เป็นผู้ว่าฯ เป็นท่านๆ ทั้งหลายที่มีตำแหน่งสูงๆ ในการตัดสินใจ มันอาจจะมีการสำรวจความคิดเห็นกันเกิดขึ้น แต่ความเห็นเหล่านั้นสุดท้ายก็ต้องไปผ่านผู้มีอำนาจอีกที ว่าเขาเห็นด้วยกับคนส่วนใหญ่หรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผมคิดว่ามันแก้ปัญหาไม่ได้ตรงจุดทุกครั้งเลย

.

คิดว่า มช. คือภาพจำลองของประเทศไทยไหม

มันก็ระบบราชการเหมือนกันครับ ก็เลยเป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยและการทำงานของระบบราชการในไทยได้

.

ทำไมพรรควิฬาร์ชอบชวนคนออกมาจัดคาร์ม็อบ (Car Mob)

ตอนแรกไม่ใช่คาร์ม็อบ ตอนแรกเป็นแฟลชม็อบที่ท่าแพปีที่แล้ว คาร์ม็อบมันก็ไม่ใช่ไอเดียผม แต่เป็นไอเดียของพี่ บก.ลายจุดผมคิดว่าการตอบรับที่ดี มันมาจากการที่มวลชนเขาอยากออกมาแสดงออก แต่พอเป็นแฟลชม็อบที่จอดรถหายาก พอมีคาร์ม็อบมันก็ง่ายขึ้น คุณก็ขับไปเรื่อยๆ ไม่ต้องจอด ไปเรื่อยๆ เป็นทัวร์ ก็ตอบโจทย์เขาดี

ทุกๆ อย่างมันมีวิวัฒนาการของมัน คนเราถ้าเขาอยากจะระบาย เขาก็จะหาวิธีการระบายของเขา หลายคนอาจจะคิดว่าแกนนำต้องมาคิดให้มวลชนหรือเปล่า มวลชนโดนจูงจมูกหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าประชาชนไม่ได้โง่ เพียงแต่ว่าแกนนำเป็นคนที่มีไมค์เฉยๆ ถ้าคนอื่นมีไมค์แล้วเขาพูด เขาก็เป็นแกนนำได้

.

พวกคุณเป็นกลุ่มนักศึกษาอยู่ด้วยซ้ำ แล้วทำไมถึงต้องออกมาเป็นแกนนำ

เอาจริงๆ ผมก็ไม่เชิงแกนนำนะ ผมก็แค่คนมีไมค์ เป็นคนที่ประกาศจัดงานได้เฉยๆ แต่การที่งานมันจะเริ่มได้ มันเกิดจากทุกคน สมมติพรรควิฬาร์บอกว่าเราจะจัดคาร์ม็อบ แต่ข้อเรียกร้องของเราเป็นแค่เรื่องการทำให้ฟุตบาทดีขึ้น ถ้าเท่านี้มวลชนเขาไม่ซื้อ งานก็เกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นแล้วผมคิดว่าแกนนำเป็นใครก็ได้ แต่มวลชนเขาเลือกข้อเรียกร้อง

.

.

สังเกตไหมว่าเชียงใหม่คึกคักขึ้นตั้งแต่มีคาร์ม็อบ

ที่ผมสังเกตนะ ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปีนี้ ท่าแพที่เราไปจัดม็อบ ปีที่แล้วแถวนั้นยังมีร้านค้าอยู่ แต่ปีนี้ร้านค้าเซ้งกันเต็มเลย แต่ก่อนจะมีเซเว่นสาขาหนึ่งที่เปิดอยู่ ปีนี้ปิดแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นคาตาเลย

.

แล้วชีวิตคุณเป็นอย่างไรบ้าง ตอนที่รู้ตัวว่าโดนคดี ม.112

ไม่แปลกใจ เรียกได้ว่าไม่ผิดหวังเลย ประเทศนี้มันไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยกับความบัดซบอะไรแบบนี้ ผมเห็นเพื่อนผมอย่างเพนกวิน รุ้ง ณัฐ หรือนิว คนอื่นๆ โดนจับด้วยข้อหา ม.112 เราเลยไม่แปลกใจว่าสักวันหนึ่ง มันอาจจะเป็นใครก็ได้ อาจจะเป็นคุณ อาจจะเป็นผม หรืออาจจะเป็นพี่ข้างบ้าน หรือใครก็ได้ที่เขาเดือดร้อนแล้วออกมาพูด ผมก็แค่บังเอิญ

บังเอิญผมเป็นหนึ่งในคนที่พูด แล้วเขาสุ่มขึ้นมา

ทุกวันนี้เหมือนทุกคนกำลังเล่นรัชเชี่ยน รูเล็ตต์ (Russian Roulette) รอว่าวันไหนเราทนไม่ไหว เราออกมาพูด แล้วรูเล็ตต์ที่ยิงออกมาเป็นกระสุน 112 มันจะมาตรงกับเราไหม สังคมแบบนี้ผมคิดว่ามันไม่น่าอยู่เลย นึกภาพต่อให้ผมไม่โดน แต่วันข้างหน้าหากเป็นคนใกล้ตัวผมโดน ผมก็ใจหายอยู่ดี ดังนั้นเราต้องรีบเปลี่ยน รีบเอา ม.112 ออกไป ไม่ควรมี รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่ขัดต่อเสรีภาพ เป็นกฎหมายที่ไม่มีมาตรฐาน ขาดความชัดเจน ต้องยกเลิกให้หมด

.

เกิดอะไรขึ้นวันนั้น ทำไมคาร์ม็อบ“ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” ครั้งแรก ถึงเป็นสาเหตุให้คุณโดนคดี ม.112

สาเหตุที่เรากล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาในวันนั้น เพราะตำรวจเขารับจดหมายของเราแล้วว่าจะทำตามกระบวนการ เขาพูดคำว่า “ครับ” เราก็ตามนั้นเลย ถ้าคุณรับปากแล้ว หรือคุณทำให้คนอื่นเข้าใจว่ารับปากแล้ว ก็เป็นความไม่ชัดเจนของคุณ

ผมถามเขาว่า แล้วการคุกคามเรื่อง 112 ล่ะ คุณจะไม่คุกคามได้ไหม เนื่องจากวันต่อมามีเคสของ “คุณธนกร” ที่โดนคดี 112 เขาก็รับปาก “ครับ” ซึ่งผมก็เข้าใจว่าตำรวจจะอยู่ข้างประชาชนใช่ไหม เราก็จะได้วิจารณ์ จะได้พูดถึงสถาบัน พูดถึงรัฐบาลนี้ได้อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็นครับโอเค คนที่ออกมารับหนังสือเขาอาจจะเป็นคนดี อาจจะเป็นคนที่อยากช่วยผู้ชุมนุม แต่ระบบราชการมันกดดันให้เขาต้องทำ ซึ่งระบบแบบนี้มันควรมีด้วยเหรอฮะ

.

รู้สึกหลวมตัวไหม ที่ไปเชื่อใจคำว่า “ครับ” ของตำรวจวันนั้น

เอาตามตรง ผมไม่ได้เชื่อใจตำรวจขนาดนั้น แต่ประเด็นคือผมต้องการพิสูจน์ระบบราชการ ผมอาจพิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าตำรวจเขาพูดครับจากใจจริงไหม แต่ระบบมันกดดันให้เขาต้องคุกคามคน และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องแก้ไข ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็เปลี่ยนสร้างใหม่ จับมือประชาชนทุกๆ คนร่วมกันสร้าง

.

.

ม.112 ยังทำงานกับความกลัวของคุณได้อยู่ไหม

ม.112 หรือตัวกฎหมายทุกข้อ ผมคิดว่ามันมีผลต่อความกลัวของคนทุกคน เพราะเราอยู่กับกฎหมายมาตั้งแต่เด็กจนโต ผมยอมรับว่ามันมีผลกระทบต่อจิตใจ ต่อความเครียด โดยเฉพาะเรื่องของกระบวนการ คือตัวกฎหมายเฉยๆ มันไม่น่ากลัว แต่ตัวกระบวนการที่ ม.112 ใช้กับคนน่ะน่ากลัว อย่างเช่นในกรณีก่อนหน้านี้ช่วง 5 – 6 ปีที่แล้วที่รัฐประหารเพิ่งเกิดขึ้น คนก็โดน ม.112 เหมือนกัน แต่ตอนนั้นไม่มีข่าว ไม่มีกระแส โดนหนักกว่าเราเยอะ หรืออย่างก่อนหน้านี้ที่เพนกวินเคยโดนจับ โดนขังรอการพิจารณาเลย มันไม่มีมาตรฐานอะไร กระบวนการมันเป็นอะไรแบบนี้

อย่างที่ผมโดนแจ้ง ผมก็ไม่รู้ว่าจะโดนจับหรือเปล่า เคสต่างๆ มันสอนให้เรารู้ว่าเราอาจจะโดนหรือไม่โดนก็ได้ตามใจของเขา ไม่ใช่ตามกระบวนการที่เป็นมาตรฐาน ถ้าเขาถูกใจเรา อยากเอาเราเข้าไปขังในเรือนจำก็โดน แต่ถ้าเขาคิดว่า เฮ้ย…ยังก่อน ก็ไม่โดน

กระบวนการพวกนี้กำลังเล่นเหมือนเราเป็นลูกไก่ในกำมือ ความจริงมันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ กฎหมายควรต้องมีมาตรฐานในการใช้และควรคำนึงถึงหลักสากลมากกว่านี้

.

ประสบการณ์ของเพื่อนคุณสอนอะไรคุณบ้างไหมเกี่ยวกับคดี 112

ก็สอนว่ากฎหมายบัดซบนี้ควรจะยกเลิกได้แล้ว ส่วนกระบวนการภายใน การรับมือกับความเครียดก็ต้อง “ช่างแม่ง” ครับ

ผมคนเดียวทำอะไรไม่ได้หรอกกับกฎหมาย 112 อย่างมากผมก็ด่าว่ากฎหมาย 112 มันแย่อย่างไร แต่สุดท้ายแล้วกฎหมายนี้ถูกสะท้อนการใช้อำนาจผ่านผู้บังคับใช้กฎหมาย อย่างตำรวจ ศาล หรือกระบวนการยุติธรรมต่างๆ

การเตรียมใจของผมก็มีได้แค่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราเชื่อมั่นในประชาชนต่อไป เชื่อมั่นในคนอื่นๆ ที่เขาก็เห็นเหมือนกัน ถ้าเราโดนแบบนี้ เรายิ่งต้องเชื่อสิว่าคนอื่นจะเห็นว่ากฎหมายนี้มันไม่มีมาตรฐานอย่างไร คงจะมีคนเชื่อเหมือนเราว่ากฎหมายนี้ขาดมาตรฐาน ขัดต่อหลักการ ขัดต่อเสรีภาพของประชาชน เรามีหน้าที่เชื่อเท่านั้น

ศรัทธาฮะ

.

เตรียมใจไว้ไหม คุณอาจสูญเสียอิสรภาพจากคดีนี้ และถ้าเข้าไปในคุกตอนนี้ คุณอาจจะติดโควิด-19 ได้อีก

ที่ผมเครียดมากกว่าโควิด-19 คือสอบ ผมยังเหลือสอบอีก 2 วิชา ก็หวังว่าจะไม่โดน ถ้าเขาไม่อยากลดถอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย เขาก็น่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ฟ้องไปดีที่สุด

.

พอคุณโดนคดี ม.112 แล้วคนในพรรควิฬาร์ว่าอย่างไรบ้าง ยังจะไปต่อกันแค่ไหน

ทุกคนไปต่อครับ ผมถึงบอกผมเชื่อในทุกคน

ถ้าตำรวจจับผมไปด้วย ม.112 ต่อไปพรรควิฬาร์ก็อาจจะมีการเล็งไปที่การวิจารณ์สถาบันฯ เพิ่มมากขึ้นก็ได้ ยิ่งถ้าผมโดนจับ ไม่ใช่แค่คนในพรรควิฬาร์ที่เห็นว่าสถาบันเป็นปัญหา คนอื่นๆ ในสังคมเขาก็จะเห็นด้วย มันก็ยิ่งเหมือนกับผูกคอตัวเอง วันหนึ่งโครงสร้างต่างๆ ก็จะพังลงมา 

.

.

คุณคิดอย่างไรที่ตอนนี้ผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 กลายเป็นเยาวชนและคนอายุน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ

มันจุกจนพูดไม่ออก

นึกภาพว่าถ้าอีกหน่อยเด็ก 10 ขวบพูดแล้วโดน ม.112 หรือเด็ก ม.ต้น ม.ปลาย โดนคุกคาม พวกเขาคือเยาวชนของชาติเลยนะ คุณจะบอกว่าเขาโดนชักจูงเพราะเขาเป็นเด็กเหรอ มันก็ไม่ใช่ หลายๆ อย่างในสังคมไทยควรจะไปต่อได้แล้ว คุณขวางการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ยิ่งคุณขวาง คุณนั้นแหละคือปัญหา หรือถ้าบอกว่าไม่ใช่ปัญหา ก็ยกเลิกกฎหมาย 112 แล้วมาคุยกันว่าคุณไม่ใช่ปัญหาอย่างไร

มันก็มีการ stereotype ว่าเด็กก็ถามด้วยความใสซื่อ ผมก็ถามด้วยความใสซื่อว่างบประมาณส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์ทำไมดูเยอะจังเลย เมื่อเทียบกับสัดส่วนที่เอาไปลงกับการศึกษาหรือการพยาบาล สิ่งเหล่านี้เราก็ถามด้วยความใสซื่อของเราทั้งนั้น แต่ประเด็นคือมีคนออกมาตอบไหมล่ะ

สุดท้ายคุณก็ยัด ม.112 แล้วก็ทำให้เรื่องเงียบ แล้วจบลงไปเหมือนกับปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมาในสังคมไทย

.

คุณคิดว่ามหาวิทยาลัยควรจะออกมาปกป้องนักศึกษาที่ถูกดำเนินคดีตาม ม.112 อย่างไรบ้าง

มหาวิทยาลัยนี้ผมก็หวังนะว่าเขาจะออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะเคยออกมาร่วมชุมนุมกับ กปปส. แต่ผมก็ยังหวังว่าเขาควรจะมีมาตรฐานในเรื่องสิทธิมนุษยชนกันบ้าง มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการ แล้วการที่นักศึกษาของคุณออกไปวิพากษ์วิจารณ์แล้วโดนดำเนินคดี ถ้าคุณไม่ช่วยก็เท่ากับว่าคุณไม่สนใจเรื่องเสรีภาพทางวิชาการหรือเปล่า

มหาวิทยาลัยจะบอกให้นักศึกษาที่ออกไปเรียกร้องรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ มหาวิทยาลัยมีพันธกิจในการช่วยเหลือนักศึกษา

องค์การนักศึกษาก็เหมือนกัน ความจริงคุณควรจะออกมาทำอะไรสักอย่างที่เป็นรูปธรรม อาจจะดูย้อนแย้ง เพราะผมเองก็ทำงานอยู่ในองค์การนักศึกษาเหมือนกัน ถ้าเรามององค์การนักศึกษาในฐานะที่เป็น student union หรือแปลเป็นภาษาไทยอีกคำหนึ่งนอกจากสโมสรนักศึกษา ก็คือสหภาพนักศึกษา ความจริงแล้วเราออกมาร่วมกันเรียกร้องหรือเปลี่ยนแปลงได้ อย่างน้อยองค์การนักศึกษาไปกดดันให้มหาวิทยาลัยออกมาตรการที่เป็นมาตรฐานในการแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้

แต่จนถึงตอนนี้ (21.00 น.) พรุ่งนี้เช้าผมก็จะไปรายงานตัวแล้วก็ยังไม่มีมาตรการอะไรออกมา

.

ผิดหวังไหม

อะไรที่เราหวังไว้ว่ามันจะแย่อยู่แล้ว ผมบอกเลยนะว่าประเทศนี้รวมถึง มช. ด้วย ทำให้คุณผิดหวังได้มากกว่านี้อีก ไม่แปลกใจๆ

ผมคิดว่าประเทศไทยก็น่าจะเซอร์ไพรส์อะไรเราได้มากกว่านี้ อีกหน่อยถ้าผมพูดเรื่องเชียงใหม่เข้มแข็ง อาจจะโดน ม.113 (ข้อหาเป็นกบฏ) ก็ได้ ใครจะไปรู้ พอเราคิดในแง่ลบ ในประเทศนี้มันก็ไปลบกว่านั้นได้ตลอด

.

คดี ม.112 ส่งผลต่อจิตใจของคนในครอบครัวของคุณอย่างไรบ้าง

เอาตามตรง ผมไม่ค่อยกล้าบอกครอบครัวเท่าไหร่

ม.112 หลายคนก็รู้กันว่ามันมีความเสี่ยงที่จะโดนขังคุกสูง แล้วสภาพจิตใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ หรือยายผมล่ะ ถ้าคุณโดนจับแล้วจะโดนขังลืมหรือเปล่า อนาคตคุณจะหายหรือเปล่า คุณจะตายในคุกหรือเปล่า ตัวกฎหมายมันไม่ได้น่ากลัว แต่ตัวกระบวนการมันทำให้คนกังวลว่าในระหว่างที่ผมโดนคดี เผลอๆ ยังไม่โดนตัดสิน ผมจะหายไปหรือเปล่า ผมอาจหายไปอยู่ในแม่น้ำสักที่ก็ได้ ผมก็ไม่รู้อ่ะ

นี่คือสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนในครอบครัวผมทั้งหมดว่า ผมจะตายหรือเปล่า

ผมบอกแม่ ยายผมพยายามไม่บอกเยอะเท่าไหร่ ส่วนพ่อคือไม่บอกเลย แต่คนที่ยิ่งรู้ เขาก็ยิ่งเครียด แม่ผมเขาอาจไม่พูดอะไรหรือมาต่อว่าผม แต่ผมก็เห็นว่าเขากังวล ยิ่งไม่พูดยิ่งหมายถึงว่าเขากังวล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ผมต้องแสดงตัวว่าผมเข้มแข็ง

กฎหมายคุกคามมันเป็นแบบนี้ ถ้าเราโดนแล้วเรายิ่งเศร้า เราจะพาคนอื่นเศร้าในความคิดผมนะ ผมยิ่งต้องเข้มแข็งขึ้น กระบวนการมันแรงแค่ไหน เรายิ่งต้องเข้มแข็ง ร้องไม่ได้ ห้ามกลัว

.

.

แล้วคุณเข้มแข็งไหม

จิตใจคนเรามันก็ไม่ได้ห่างกันมากหรอกครับ คนเราก็รับความเครียดเหมือนๆ กันในทุกๆ วัน แต่ประเด็นคือผมมีหน้าที่ต้องเข้มแข็งไง นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำ

การเข้มแข็งกลายเป็นหน้าที่ของเราไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราต้องการจะยืนยันว่าเราจะสู้กับมัน เราอยากจะให้ทุกคนมีความกล้า เราก็ต้องกล้าก่อน

ดังนั้นไม่ว่าจะต้องฝืนตัวเราแค่ไหน อยากจะร้องแค่ไหน อยากเครียดแค่ไหน ผมร่วง ก็ห้ามแสดงออก ต้องสู้ มันไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อคนอื่นๆ เพื่อสังคม เพื่ออนาคตข้างหน้าที่จะได้ไม่ต้องมีคนโดนเหมือนเรา

.

สุดท้ายแล้ว ถ้าเรียนจบแล้วความฝันของคุณคืออะไร

ความฝันของผมก็ปกติทั่วๆ ไป ไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากหรอก ผมก็แค่อยากมีชีวิตอิสระในชีวิต อยากมีฟาร์มเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

.

แล้วความฝันต่อประเทศนี้ล่ะ

ผมอยากพัฒนาประเทศไทยให้มีความเป็นคนมากกว่าประเทศ อยากให้ประเทศนี้เห็นความเป็นคน สังคมเห็นความเป็นคน โครงสร้างทุกอย่างอยู่เพื่อคนไม่ใช่อยู่เพื่อประเทศ ถ้าโครงสร้างทุกอย่างมีอยู่เพื่อประเทศแบบทุกวันนี้ คนอย่างคุณประยุทธ์ก็บอกว่าทำเพื่อประเทศ แต่สุดท้ายคนที่อยู่ข้างใน ก็โดนกดขี่

.

เช้าวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ฮ่องเต้เดินทางไปรายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐาน “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ตามมาตรา 112 จากกรณีการปราศรัยในกิจกรรม #คาร์ม็อบ15สิงหา ซึ่งเขาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

เขาโชคดีที่ยังไม่ต้องไปนอนในคุก

ฮ่องเต้และทนายความใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงในการเดินเรื่องที่สถานีตำรวจและศาล เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอให้ศาลฝากขังเขา ทนายความจึงต้องยื่นขอประกันตัว แม้ว่าเขาจะรอดจากคุกมาได้ในวันนั้น แต่คดีตามมาตรา 112 ของเขายังไม่สิ้นสุด เขายังคงต้องต่อสู้อย่างเข้มแข็งในฐานะผู้ต้องหาต่อไป

.

X