จากสมยศถึงคนอายุน้อยที่กำลังเผชิญกับ 112: “ถ้าเราปิดกั้นเสรีภาพต่อไป ก็เหมือนกับเราทำให้น้ำร้อนมีอุณหภูมิสูงขึ้น…มันก็จะระเบิด”

เรื่องและภาพ: วรรณา แต้มทอง

.

สมยศ พฤกษาเกษมสุข ต่อสู้กับกฎหมายมาตรา 112 ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา แต่นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการต่อสู้ในชีวิตเขา สมยศเล่าว่าเขาเริ่มเข้าสู่สนามของการต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิทางการเมืองมาตั้งแต่สมัย พ.ศ.  2518 ขณะยังเป็นนักเรียนมัธยมที่เรียนหนังสือไปด้วยและทำงานเป็นกรรมกรไปด้วย เขาเรียกความลำบากนี้ว่า “โอกาส” เป็นโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้ชีวิตกรรมกร และขยับมาสู่การต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงานของชนชั้นกรรมกร

หลังรัฐประหาร 2549 สมยศเข้าสู่เส้นทางใหม่ในการเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เขาเข้าร่วมเป็น “แกนนำรุ่นสอง” ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับคนเสื้อแดง ก่อนที่ในวันที่ 30 เม.ย. 2554 หรือ 5 วัน หลังจากที่เขาร่วมรณรงค์ล่ารายชื่อเพื่อให้รัฐสภายกเลิกกฎหมายมาตรา 112 สมยศถูกจับในความผิดฐาน “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ออฟทักษิณ (Voice of Taksin) นอกจากนี้ชื่อของสมยศยังเคยถูกใส่ไว้ใน “ผังล้มเจ้า” ของศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อ พ.ศ. 2553 อีกด้วย

สมยศตกเป็นนักโทษการเมืองที่ต้องถูกจำคุกด้วยข้อหา 112 ถึง 2 ครั้งด้วยกัน การจำคุกครั้งแรกเอาเวลาในชีวิตเขาไปถึง 7 ปี สมยศได้รับอิสรภาพเมื่อปี 2561 แต่อิสรภาพก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน ปีนี้ สมยศในวัย 59 ปี ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีมาตรา 112 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 จากกรณีการขึ้นปราศรัยในการชุมนุมของม็อบ #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่ท้องสนามหลวงเมื่อปีที่แล้ว เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ชีวิตของสมยศต้องหวนกลับมาอยู่ในคุกอีกครั้ง ด้วยเหตุผลเดิมจากมาตรา 112

ถึงการจำคุกครั้งนี้จะมิได้กินระยะเวลานาน แต่อายุที่มากและความหวังต่อความยุติธรรมที่ริบหรี่ในประเทศนี้ สมยศกล่าวคำร้องขอต่อศาลอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

เขาขอให้ศาลอาญามอบโทษประหารชีวิตให้แก่ตนเอง เพื่อยุติคดีนี้

“ขอให้ศาลตัดสินโทษประหารชีวิตให้ตนเอง เพื่อยุติปัญหาทั้งหมด และย่นระยะเวลาการพิจารณาคดีให้คนอื่นได้เร็วขึ้น อีกทั้งประชาชนจะได้ไม่ต้องกังวลและออกมาต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ปล่อยตัวตนเอง จนต้องมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและบาดเจ็บ”

                               (คำร้องขอต่อศาลของสมยศในห้องพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 64)

.

แม้จะได้รับการประกันตัวออกมาแล้ว แต่สมยศยังคงต้องต่อสู้กับการพิจารณาคดีมาตรานี้ซ้ำอีกครั้ง ชายเข้าวัยเกษียณที่ชีวิตต้องอยู่กับกฎหมายมาตรา 112 มากว่า 15 ปี แล้ว เขาเสียเวลาในชีวิตให้กับตัวเลข 112 มากเกินกว่าจะเรียกอะไรในชีวิตกลับคืนมาได้  วันนี้สมยศยังต้องเห็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่ออกมาเคลื่อนไหวถูกกระทำด้วยกฎหมายนี้อีก และมีแนวโน้มที่มาตรา 112 จะถูกใช้กับคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ

ในฐานะคนที่เคยเผชิญหน้ากับมาตรา 112 มาก่อน เขามีอะไรที่อยากจะบอกแก่หนุ่มสาวที่กำลังถูกไล่ล่าโดยข้อหามาตรานี้บ้าง

.

.

ตอนที่ขอให้ศาลประหารชีวิตตัวเอง อารมณ์ความรู้สึกของคุณสมยศเป็นอย่างไร

สมยศ: มันไม่ใช่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกนะ แต่เราเห็นว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะว่าเขากำลังดำเนินคดีแบบมัดมือชก เราควรจะได้ต่อสู้คดีอย่างเปิดเผยเป็นธรรม แต่ฝ่ายรัฐที่กล่าวหาเราคุมขังเราโดยคำสั่งศาล มันทำให้เราสู้คดีไม่ได้ เราถูกคุมขังไปทั้งที่ยังดำเนินคดีอยู่ ในที่สุดแล้วการตัดสินของศาลก็จะไม่มีความหมายเลย เช่นถ้าศาลตัดสินให้เราชนะ เราก็ติดคุกไปแล้ว หรือศาลตัดสินให้เราแพ้ เราก็ต้องติดคุกอยู่ดี

เราจึงเห็นว่าอย่าเสียเวลาเลย ทำคดีแบบนี้ คุณใช้คำว่ายุติธรรมไม่ได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตรอคำว่า “ยุติธรรม” โดยที่มัน “ไม่ยุติธรรม” ก็เลยขอให้ศาลได้ตัดสินประหารชีวิตไป ขอยอมรับโทษตรงนี้ไปเลย อันที่จริงโทษตามคดี 112 ก็คือการทำลายชีวิตคนอยู่แล้ว เพียงแต่เขายังมีร่างกายมีลมหายใจ แต่ว่าเขาไม่มีเสรีภาพ ก็ไม่มีความหมาย

มนุษย์ที่ไม่มีเสรีภาพ ต่อให้มีกิน ก็เหมือนสัตว์เลี้ยงในกรงขัง เราไม่เหลือคุณค่าใดๆ

.

การเข้าคุกครั้งที่ 2 มันทำให้คุณหมดกำลังใจขนาดไหน ทั้งที่ครั้งแรกระยะเวลาที่ต้องติดคุกยาวนานกว่า แต่ในครั้งที่ 2 เข้าไปยังไม่ถึง 2 เดือน คุณก็สามารถขอให้ศาลประหารชีวิตตัวเองได้เลย

สมยศ: ทั้ง 2 ครั้งไม่ต่างกัน ครั้งแรกอาจจะลำบากหน่อย เรายังโดดเดี่ยว ผู้คนในสังคมไม่ใช่แบบในปัจจุบัน ตอนนี้ผู้คนตื่นตัว ผู้คนได้รวมพลังกัน

จริงๆ ในครั้งแรกที่ผมเข้าไป ผมพยายามจะฆ่าตัวตายตั้งแต่เดือนแรก แต่ไม่สำเร็จ คุกปัจจุบันเขาก็ต้อนรับอย่างดีไม่ให้เราฆ่าตัวตาย แต่เราตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย (ผ่านศาล) เพราะเราเห็นว่าเราไม่มีอะไรที่จะสู้กับความอยุติธรรมได้ ฉะนั้นเอาชีวิตเราไปเลยดีกว่า เราก็เลยท้าทายให้ศาลจัดการเราซะ และคดีนี้ถ้าอยู่ต่อไปคนอื่นต้องบาดเจ็บ ล้มตาย โดนกระสุนยาง โดนแก๊สน้ำตา เพื่อขอให้ปล่อยเรา

ผมเองก็ไม่อยากเห็นใครมาบาดเจ็บล้มตาย เพราะต้องสู้เพื่อพวกเรา ก็เลยอยากจะไปซะก่อน

แต่ผมหวังว่า นั่นคือการต่อสู้แบบมอบชีวิตให้ เมื่อเราไม่รู้จะสู้อย่างไรแล้ว

.

.

คุณสมยศคิดว่า การดำเนินคดีตามมาตรา 112 กับผู้ชุมนุมและเยาวชนที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ มันสะท้อนความหมายอะไรของฝ่ายรัฐ

สมยศ: การที่มาตรา 112 ขณะนี้ขยายตัวมากขึ้น กำลังสะท้อนให้เห็นถึงสิทธิมนุษยชนที่ตกต่ำลง และมาตรา 112 ขยายตัวไป ไม่ใช่คนอายุ 20 ปีแล้ว มันยังขยายไปถึงยังเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย เขาคืออนาคตของประเทศชาตินะ มันไม่เป็นผลดีใดๆ ต่อประเทศชาติเลย เพราะคุณกำลังทำลายอนาคต คุณไปลงโทษเด็กซึ่งเขากำลังมีความรู้ กำลังแสวงหา กำลังได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่ แล้วคุณไปจำกัดเสรีภาพเขา ไปคุกคามเขา

นั่นคือปัญหาในอนาคต เมื่อเขาโตขึ้น การกระทำนี้จะไม่เป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์หรือองค์กรการเมืองใดๆ เลย เพราะว่าในที่สุดแล้วจำนวนของคนเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้นและขยายตัวไป แม้กระทั่งคนอายุน้อย ซึ่งตอนนี้มันก็ขยายไปทุกสาขาอาชีพแล้ว ต่อไปคุณจะอยู่อย่างไรในเมื่อจำนวนของผู้คนที่แสดงความคิดเห็นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีการปรับตัว มันก็จะทำให้การดำรงอยู่ขององค์กรทางการเมืองต่างๆ ดำรงอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ศาล สถาบันกษัตริย์ จำเป็นต้องเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคแหล่งข้อมูลข่าวสาร ยุคแห่งความรู้ ซึ่งคุณปิดกั้นไม่ได้อีกต่อไป

เราไม่ได้อยู่ในสมัยอยุธยาที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลออกมา ทุกคนเลยยอมรับภาวการณ์เป็นทาสเป็นไพร่ ยอมรับการกดขี่ ปัจจุบันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนอยู่ในระบบทุนนิยมที่ทำมาค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า เดินทางไปไหนมาไหนได้โดยเสรีภาพ

.

ในฐานะที่คุณสมยศเคยเผชิญหน้ากับกฎหมายมาตรา 112 มาแล้ว เราจำเป็นต้องบอกอะไรกับเยาวชนและคนอายุน้อยที่กำลังเผชิญกับ 112 อยู่ในขณะนี้

สมยศ: ถ้าเราอยากได้เสรีภาพ ได้ประชาธิปไตย เพื่อให้อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรและเพื่อให้เราได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และแท้จริง มันไม่ใช่แค่การเลือกตั้งเพื่อให้ได้รัฐบาลพลเรือน แต่หมายถึงว่าเราจะต้องมีหลักประกันในสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ ปัญหาต่อสิทธิเสรีภาพอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศไทยและการมีส่วนร่วมของประชาชนก็คือมาตรา 112

มาตรา 112 กลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการในการปิดกั้นเสรีภาพ ในการทำลายคู่ขัดแย้งทางการเมือง ในการปราบปรามประชาชนผู้มีความคิดเห็นหรือมีความใฝ่ฝันแตกต่างไปจากระบบการปกครอง ฉะนั้น ถ้าเรามีความปรารถนาอยากจะเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ภารกิจอันดับเลยคือการยกเลิกกฎหมายนี้ออกไป เพื่อประชาชนจะได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ประชาชนจะได้แสดงความคิดเห็นต่อองค์กรการปกครอง การเมือง ในปัจจุบันนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย และสบายใจ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นการเมืองของเราก็จะเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย และก็จะปรับเปลี่ยนไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้

แต่ถ้าเราปิดกั้นเสรีภาพต่อไป มันก็เหมือนกับเราทำให้น้ำร้อนมีอุณหภูมิสูงขึ้น และถ้าเราไม่เปิดฝาหม้อเลยไปปิดมันต่อ มันก็จะระเบิด เป็นความกังวลใจของผมว่ามาตรา 112 จะทำลายสังคมไทยในอนาคต

.

.

อ่านเรื่องราวของสมยศเพิ่มเติม

ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข: การต่อสู้ของพ่อ เรื่องเล่าของครอบครัว ในวันที่ต้องสูญเสียอิสรภาพอีกครั้ง

.

X