“ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาเจออะไรรุนแรงขนาดนี้ มันเป็นฝันร้ายเลยครับ” คำบอกเล่าจากผู้ร่วมชุมนุมโดยสงบ ก่อนถูกกระทืบ จับกุม และตั้งข้อหาใน#ม๊อบ28กุมภา

“ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมาเจออะไรรุนแรงขนาดนี้ มันเป็นฝันร้ายเลยครับ จำนวนรุมกระทืบสิบคนได้ เยอะมาก มีทั้งกระทืบทั้งขู่ว่า เดี๋ยวจะเอาให้มึงตาย! มึงเก่งนักเหรอ! มึงซ่านักเหรอ!” 

พรชัย (สงวนนามสกุล) หนึ่งในผู้เข้าร่วมชุมนุม วัย 40 ปี หนุ่มอุดรธานีผู้ทำกิจการค้าขายสังฆภัณฑ์ เขาบวชเรียนมาตั้งแต่วัยรุ่น ก่อนสึกออกมาใช้ชีวิตทางโลก เคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดงมาตั้งแต่ช่วงปี 2553 แต่ไม่ได้สังกัดกลุ่มสังกัดใดโดยเฉพาะ เพียงแต่เป็นผู้เข้าร่วมการชุมนุมและไปนั่งฟังการปราศรัย จนขบวนการเสื้อแดงหยุดชะงักไปหลังรัฐประหาร 2557 เขาก็ไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวอะไรอีก แต่ยืนยันว่าอุดมการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง

“คือเราไม่ได้คิดว่าจะมีน้องๆ ออกมาสู้นะ ในวันที่เราออกไปต่อสู้เสื้อแดง พอปีที่แล้ว เราเห็นเรารู้สึกภูมิใจ เหมือนเสื้อแดงหลายคนที่รู้สึก ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ พอเขาออกมา เราก็เลยรู้สึกว่าเขาออกมาแล้ว เราจะไม่ออกมาก็ไม่ได้ เลยตัดสินใจไปร่วมชุมนุมกับน้องๆ” 

 

 

  ประมวลภาพ #ม็อบ28กุมภา รวมพลอนุสาวรีย์ชัยก่อนไปบ้านพักพล.อ.ประยุทธ์

ภาพประชาชนเข้าร่วมการประท้วง REDEM โดย Thaiphotos 

 

พรชัยเข้าร่วมการชุมนุมของนักเรียนนักศึกษาหลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเขาเน้นไปร่วมชุมนุมในนัดใหญ่ๆ เป็นหลัก ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยถูกดำเนินคดี ไม่เคยถูกคุกคาม หรือไม่เคยได้รับผลกระทบอันใดจากการเข้าร่วมชุมนุม เพราะเขาระบุว่าตนเป็นเพียง “มวลชน” และไม่ได้รู้จักกับกลุ่มใดๆ โดยเฉพาะ

กระทั่งเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ในการร่วมชุมนุมกับกลุ่ม ‘REDEM’ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ คืนนั้นพรชัยได้ตัดสินใจตีรถกลับจากต่างจังหวัดในคืนวันเสาร์ เพื่อตั้งใจมาเข้าร่วมการชุมนุมอย่างสันติและแสดงออกทางความคิดเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา โดยไม่ได้คาดคิดว่าจะมีการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ชุมนุม จนเหตุการณ์บานปลายและตามมาด้วยการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงที่เปรียบเสมือนฝันร้ายในชีวิตเขา

“ถ้าว่างผมก็ไป ไปในฐานะมวลชน ไม่ได้มีบทบาทอะไร ถ้ามี ก็ไปช่วยเขาแจกข้าวแจกของ บางครั้งเราก็ซื้อขนมซื้อน้ำไปให้ ช่วยเก็บขยะ คิดว่าเราช่วยอะไรได้ เราก็ช่วย” พรชัยเล่าถึงประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองที่ผ่านมา อีกทั้งยืนยันว่าไม่เคยเจอการคุกคามจากเจ้าหน้าที่มาก่อน เพราะเป็นเพียงมวลชนธรรมดาคนหนึ่งที่ไปร่วมประท้วงโดยสันติ และเขามั่นใจว่าการชุมนุมครั้งนี้จะไม่มีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วม 

“เราไปคนเดียว ไม่รู้จักใคร เขาบอกให้เราเตรียมอุปกรณ์ไป เช่น หมวกแข็ง หน้ากากป้องกันสารเคมี เราก็เตรียมไป ซึ่งเป็นของเราเอง” แต่เขาไม่ได้มีอาวุธหรือสิ่งที่จะนำไปใช้ก่อความรุนแรงได้แต่อย่างใด

ในช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม บรรยากาศการชุมนุมยังคงเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย พรชัยร่วมเดินขบวนจากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยเป็นคนถือธง ‘REDEM’ เดินไปจนถึงบริเวณหน้ากรมทหารราบที่ 1 กระทั่งผ่านไปสักพักก็มีชุดควบคุมฝูงชนและรถฉีดน้ำแรงดันสูงสองคันวิ่งเข้ามา  

“ตำรวจประกาศว่าไม่ได้จะทำอะไร ส่วนฝั่งผู้ชุมนุมบอกว่า เราขอทำกิจกรรมก่อน แล้วเราก็จะกลับแล้ว สักพักหนึ่ง ก็มีการดันกันเกิดขึ้นตรงปั้ม ปตท. หน้ากรมทหารราบที่ 1 ฝั่งเจ้าหน้าที่เริ่มฉีดน้ำผสมแก็สน้ำตา ส่วนฝั่งโรงพยาบาลทหารผ่านศึกเริ่มยิ่งกระสุนยาง”

บรรยากาศเริ่มจะตึงเครียดและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศว่าจะกลับบ้าน ในตอนนั้น พรชัยซึ่งอยู่ตรงฝั่งหน้ากรมทหารราบที่ 1 กำลังจะวิ่งข้ามฝั่งมาวิภาวดีขาเข้าเพื่อจะเดินทางกลับบ้าน ในระหว่างนั้น ผู้ชุมนุมจำนวนมากก็วิ่งหนีเจ้าหน้าที่มาบริเวณหน้าปั้มเชลล์ พรชัยกล่าวว่าตอนเจ้าหน้าที่เริ่มยิงกระสุนยาง ไม่ได้มีการเตือนอะไรล่วงหน้า เจ้าหน้าที่เพียงบอกให้กลุ่มผู้ชุมนุมกลับบ้าน 

 

ภาพชุดควบคุมฝูงชน โดยไทยรัฐ

 

“จังหวะนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้น มีการไล่ยิงผู้ชุมนุมด้วยกระสุนยาง แล้วไม่ได้ยิงแบบเล็งเป้า แต่เป็นกราดยิง ซึ่งผมก็วิ่งแล้วโดนกระสุนยางจากข้างหลัง ผมวิ่งหนีจนข้ามฝั่งได้ อีกนิดเดียวจะถึงปั้มเชลล์แล้ว ก็เห็นชุดควบคุมฝูงชนใส่ชุดดำวิ่งมาคนเดียว เขากระโดดแล้วก็กระชากเป้จนผมล้มลง จากนั้นมา เหมือนฝูงหมาป่าเลยครับ กระทืบไม่รู้กี่ตีน กี่เท้า จนผมนิ่ง ขนาดผมมีหมวกแข็งนะ หมวกผมแตก เลยบอกว่า ‘พอแล้ว จะจับก็จับเลย’ แล้วก็มีชุดคุมฝูงชนอีกคนหนึ่งบอกว่า ‘เดี๋ยวกูจะเอามึงให้ตาย!’ ‘พวกมึงซ่านักเหรอ! พวกมึงเก่งนักเหรอ!’ แล้วก็กระทืบไม่ยั้ง หลังจากนั้น เขาจับผมมัดแล้วก็กดคอ”  

“ผมบอกไปว่า ‘ผมหายใจไม่ออก’  ‘ทำไมมึงหายใจไม่ออก’ ชุดคุมฝูงชนเขาว่างี้ ‘ก็พี่กดคอผม ผมหายใจไม่ออก’  แล้วมีชุดคุมฝูงชนอีกคนหนึ่งบอกว่าพอแล้วๆ จากนั้นเขาก็มัดอย่างแน่นเลย ก่อนมัดเตะอีก ขาผมบวมกะเผลกกะเผลก เดินไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้อเท้าก็ผลิก ผมเลยบอกว่าจะจับก็จับเลย” 

พรชัยกล่าวว่า หลังจากถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่รุมทำร้าย เขาก็ถูกจับขึ้นไปในรถควบคุมผู้ต้องขังขนาดหกล้อ ตอนเข้าไปมีผู้ที่ถูกจับกุมอยู่ก่อนในรถประมาณ 14 คน และหลังจากนั้นก็มีอีกประมาณ 20 คนที่นำเข้าไปเพิ่ม ถูกคุมขังอยู่ในรถประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า พรชัยเล่าว่าเขาไม่ได้เจอความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ในช่วงสลายการชุมนุมเท่านั้น แต่ตอนที่อยู่ในรถคุมขัง เขาได้เผชิญหน้ากับการละเมิดสิทธิของผู้ถูกจับกุมที่พึงมี และการปฎิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐที่โหดร้าย ข่มขู่ และลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีกด้วย  

“ตอนอยู่บนรถ เจ้าหน้าที่ขู่ด้วยว่า ถ้าใครแอบใช้โทรศัพท์เขาจะทุบด้วยกระบอง พูดน้ำเสียงแบบแข็งมาก แล้วผมยังสวมหมวกอยู่และก็สวมมาสก์ ผมก็บอกว่า ‘ผมหายใจไม่ออก’ แล้วมือเราก็ทำอะไรไม่ได้ ถูกมัดอยู่ ผมบอก ‘รบกวนช่วยถอดหมวกให้ได้ไหมครับ’ เจ้าหน้าที่ก็กระชาก ซึ่งไม่ได้ปลดสายรัดคอ กระชากดึงออกเลย ผมแบบคิดเลยว่า ถ้าเราตายในรถจะมีใครรู้ไหม เพราะว่าในรถคนมันเยอะ ซึ่งมันไม่มีอากาศ จากนั้นผมก็บอกเจ้าหน้าที่ว่าหิวน้ำ เขาก็เอาน้ำขวดเดียวมาให้ทุกคนแบ่งกันกิน ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาอ้างมาตราการป้องกันโควิดตอนจับกุมเรา ซึ่งพวกเขาเป็นฝ่ายทำผิดตลอด แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้แจ้งอะไรเลย ไม่ได้แจ้งว่าพาไปที่ไหน ไม่แจ้งว่าสามารถติดต่อใครได้บ้าง แต่ได้ยินเจ้าหน้าที่คุยว่าจะพาไปตชด. ภาค 1”  

หลังจากมาถึง บก.ตชด. ภาค 1 จังหวัดปทุมธานี เจ้าหน้าที่ได้เรียกผู้ถูกจับกุมไปถ่ายรูป ทำประวัติบุคคล ถึงแม้พรชัยได้บอกกับเจ้าหน้าที่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปพบแพทย์เบื้องต้น ไปตรวจร่างกายและถ่ายรูปไว้ ยังไม่ได้รับการรักษาใดๆ  พรชัยรออยู่ในตชด. ภาค 1 ตั้งแต่ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า เจ้าหน้าที่ถึงได้พาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ 

“เขาบอกให้รออย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย มีมาตอนหกโมงเช้า เจ้าหน้าที่มาเช็ดเลือดให้ ถ้าผมเลือดออก คงตายไปแล้ว และวันนั้นมันปวดจริงๆ ปวดจนเดินไม่ไหวเลย ไปเข้าห้องน้ำก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ตชด. มาพยุงเข้าไป เจ้าหน้าที่พาไปโรงพยาบาลประมาณ 7 โมง เขาก็พาไปเอกซเรย์ ตรวจนิติเวช  เจ้าหน้าที่ก็ให้เราออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด 2,300 บาท ซึ่งตำรวจที่พาเรามา บอกว่าถ้าอยากได้ค่ารักษาให้ไปฟ้องเอา” 

 

FootNote:สถานการณ์ #ม็อบ28กุมภาพันธ์ คำตอบ เด่นชัด ต่อ#ม็อบมีนาคม - ข่าวสด
ภาพชุดควบคุมฝูงชนกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยข่าวสด

 

ความแปลกประหลาดของกระบวนการการจับกุมที่พรชัยต้องเพชิญต่อหลังจากนั้น คือในบันทึกการจับกุมของพรชัยได้ระบุว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำร้ายร่างกายพรชัยแต่อย่างใด ซึ่งขัดกับรอยบาดแผลจำนวนมากบนตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นศีรษะแตก กระดูกซ้น รอยกระสุนยางช้ำเลือดตรงบั้นท้าย ขาที่โดนเหยียบจนเดินกระเผลก บาดแผลตรงนิ้วมือที่ไม่น่าจะกลับมามีสภาพเดิมได้อีก  

“เจ้าหน้าที่บอกไม่ได้ทำร้ายร่างกายผม ซึ่งมันไม่ใช่  ถ้าไม่มีนักข่าวไปถ่าย ก็คงจะโดนเยอะกว่านี้ ซึ่งผมว่าเรื่องนี้มันไม่น่าทำ มันไม่น่าเกิด เพราะถ้าจับดีๆ ก็ให้จับ ไม่ต้องมาเหมือนแบบจะฆ่าเราเลย ตอนนั้นคิดในใจว่าคงไม่รอดแล้วแหละ คิดอย่างนี้จริงๆ ครับ เพราะว่าเกิดมายังไม่เคยโดนรุมกระทืบเลย” 

มิหนำซ้ำ เขายังถูกเจ้าหน้าที่ตั้งข้อกล่าวหาถึง 6 ข้อหา ซึ่งรวมไปถึงข้อกล่าวหาอย่างมั่วสุมใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เขาไม่ได้กระทำและเกินกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปมากเหลือเกิน  การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นภาระที่เขายังต้องต่อสู้ต่อไป

 

ภาพตำรวจยิงกระสุนยาง โดยปฏิภัทร จันทร์ทอง

 

นอกจากนี้พรชัยมองว่า การมีเจ้าหน้าที่มาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม ไม่ได้เป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ชุมนุมแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันนำไปสู่การสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงและปราบปรามเกินกว่าเหตุ 

“ตราบใดที่มีเจ้าหน้าที่เข้ามายั่วยุหรือว่าตั้งใจเข้ามาสลาย มันก็จะมีเหตุการณ์รุนแรง ถ้าผมเป็นรัฐบาลประยุทธ์ ผมจะไม่ทำอะไรเลย ผมจะอำนวยความสะดวกให้ด้วยซ้ำ เพราะว่าทุกครั้งเนี่ย ม๊อบไม่ได้มาค้างคืน กำหนดเวลามา ไม่กี่ชั่วโมงก็เลิก ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมด้วย เผลอๆ คะแนนอาจจะเทไปหารัฐบาลด้วยซ้ำ ว่ารัฐบาลเปิดให้แสดงออกใช้สิทธิเสรีภาพที่พึงทำได้ แต่นี่เอาชุดควบคุมฝูงชนมากดดัน กดดันไม่พอมีอาวุธครบมือ พร้อมที่จะเข้าทำร้ายประชาชนได้ตลอดเวลา ซึ่งมันไม่ใช่ ประชาชนมีมือเปล่า ไม่มีอะไร มีแค่อุปกรณ์ป้องกันตัว มีหมวก มีหน้ากากกันแก็สน้ำตา แต่ต้องโดนกระทำและโดนยัดข้อหา”  

แม้พรชัยจะเผชิญหน้ากับการปราบปรามอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่และการข่มขู่คุกคามผ่านการจับกุมดำเนินคดีทางกฎหมาย ทั้งๆ ที่เป็นการชุมนุมโดยสันติ แต่เขาก็ยังยืนยันเจตนารมณ์ว่าจะยังคงเข้าร่วมชุมนุมอีก โดยเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา 

“ลูกสาวผมก็ไปร่วมม๊อบตลอด ถ้าเขาว่างเขาก็ไป ช่วงม๊อบ ‘นักเรียนเลว’ ก็ไปด้วยกัน ไปทั้งครอบครัว ลูกชายก็พาไปม๊อบตรงห้าแยกลาดพร้าว นั่งตุ๊กตาเป็ดเรือ ที่ผมไปชุมนุมเพราว่าไม่มีเหตุอะไรรุนแรง ผมถึงพาลูกไป ถ้าผมจะไปสร้างความรุนแรงก็ไม่พาเด็กไปด้วย แต่พอมีเจ้าหน้าที่มากดดัน มันก็เป็นเรื่องเป็นราวทุกที หากถามว่าจะลดทอนการต่อสู้ไหม? ไม่ครับ ก็ออกไปเหมือนเดิม แต่ว่าต้องไปในแนวทางสันติวิธี เราพูดได้ เพราะเราไปในนามมวลชน ไม่ได้ไปทำร้ายหรือทำลายอะไรสักหน่อย” 

 

อ่านเรื่องราวจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม #ม็อบ28กุมภา

“ผมจำไม่ได้ว่าโดนกระทืบไปกี่ครั้ง แต่ที่แน่ๆ โดนทั้งไม้และรองเท้าคอมแบท” นักมวยที่อาสาเป็นการ์ดครั้งแรก ถูกทำร้ายก่อนเผชิญ 6 ข้อหาชุมนุม #ม็อบ28กุมภา

ปากคำอดีตปลัดอำเภอ ผู้ชุมนุมโดยสงบใน #ม็อบ28กุมภา แต่ถูกจับกุม-แจ้ง 6 ข้อหา

“ผมแค่ไปยืนดูเฉยๆ”: คำบอกเล่าพนักงานส่งอาหาร หลังถูกจับกุม #ม็อบ28กุมภา ใกล้สน.ดินแดง

 

X