วันที่ 23 มิ.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นัดฟังคำสั่งขอรับรองฎีกาคำพิพากษาในคดีของ “สายน้ำ” นักกิจกรรมเยาวชน ณ ขณะเกิดเหตุมีอายุ 16 ปี ในข้อหาหลักตามมาตรา 112 เหตุแต่งเสื้อครอปท็อป (เสื้อกล้ามเอวลอย) เข้าร่วมเดินแฟชั่นโชว์ และเขียนข้อความบนร่างกายในการชุมนุม #ภาษีกู เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2563 บนถนนสีลม
คดีนี้มี วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ แอดมินเพจ “เชียร์ลุง” เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ที่ สน.ยานนาวา และพนักงานอัยการคดีเยาวชนมีคำสั่งฟ้อง “สายน้ำ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 (6), และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4
ย้อนไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำพิพากษาในคดีนี้ เห็นว่ามีความผิดใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ข้อหามาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี เนื่องจากขณะเกิดเหตุ จำเลยยังเป็นเยาวชนอายุ 16 ปี จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน และลงโทษปรับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 6,000 บาท
เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง จึงลดโทษอีก 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 12 เดือน ปรับ 4,000 บาท คำนึงถึงจากการโดนดำเนินคดีเป็นครั้งแรก ประกอบกับพิเคราะห์จากนิสัย ความสามารถ และสติปัญญาของจำเลย จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ มีกำหนด 2 ปี และให้รายงานตัวต่อคุมประพฤติทุก 3 เดือน
ก่อนในวันที่ 16 ก.ย. 2567 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยคำพิพากษามีใจความระบุว่า ตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพเป็นปฏิปักษ์ต่อกษัตริย์ไม่ได้ แม้ไม่ได้เขียนข้อความเอง แต่การกระทำของสายน้ำเป็นการดูหมิ่นตามมาตรา 112
ต่อมา สายน้ำได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองฎีกาในส่วนปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี
.
วันนี้ (23 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 สายน้ำเดินทางมาพร้อมครอบครัว และที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อฟังคำสั่งต่อคำร้องขอรับรองฎีกาตามนัดหมายของศาล โดยมีประเด็นที่จำเลยขอให้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับรองฎีกา ดังนี้
- การตีความ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เรื่องการห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม มั่วสุม ฉบับที่ 1 ข้อ 5 และฉบับที่ 2 (2) และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 (6), 35, 51, 52 และประกาศกรุงเทพฯ เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ของศาลอุทธรณ์ฯ คลาดเคลื่อนไปจากบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมาย และขัดต่อหลักเสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการแสดงออก
- การตีความ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 ฉบับที่ 1 และ 5, ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ, ประกาศกรุงเทพฯ เรื่องการสั่งปิดสถานที่ชั่วคราว ลงวันที่ 14 มิ.ย. 2563 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ายังมีผลบังคับใช้ เป็นคำวินิจฉัยที่ขัดต่อหลักการกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- การตีความบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 2, มาตรา 6 และมาตรา 51 (1) คลาดเคลื่อนไปจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เป็นการนำความหมายของอำนาจอันล่วงละเมิดมิได้ ตามบทบัญญัติดังกล่าว มาพิจารณาขยายองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 เป็นการตีความขัดต่อกฎหมาย สิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้
- ที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงว่า “จำเลยเข้าร่วมกิกจรรมในวันเกิดเหตุ เพราะจำเลยมีความต้องการให้ยกเลิก มาตรา 112 และแสดงออกเพื่อให้มีการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่อยู่ในสำนวนคดีนี้ ซึ่งเป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เมื่อศาลนำข้อเท็จจริงมาประกอบคำวินิจฉัยพฤติการณ์ของจำเลย ทำให้การวินิจฉัยดังกล่าวไม่ถูกต้องและคลาดเคลื่อนไปด้วย
- การตีความกฎหมายมาตรา 112 ของศาลอุทธรณ์ คลาดเคลื่อนไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย และขัดต่อหลักเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดและแสดงออกตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
- การตีความพฤติการณ์ของจำเลยที่เดินขึ้นเวที โดยถือว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการแสดงออกของบุคคลอื่น เป็นการตีความที่ขัดต่อหลักตัวการร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ในข้อเท็จจริงข้างต้น จำเลยต้องการอธิบายข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญในการตีความกฎหมายอย่างเป็นกลาง และความน่าเชื่อถือ ไม่เพียงพิจารณาสาเหตุโกรธเคืองเป็นการส่วนตัว ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางสังคม และความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพยาน
ดังนั้น จึงมีเหตุอันสมควรที่จะนำเอาประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นพิจารณาในชั้นฎีกาต่อไป จึงขอให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณารับรองฎีกาของจำเลยไว้ด้วย
.
เวลา 09.30 น. ศาลเรียกให้สายน้ำลุกขึ้นยืนรายงานตัวเพื่อฟังคำสั่ง ก่อนศาลแจ้งคำสั่งโดยสรุปว่า กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลย ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษ ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่มีผู้พิพากษาทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาของจำเลย ศาลจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาทั้งฉบับ โดยเห็นว่าทั้งปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงไม่เป็นสาระที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา และให้บังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษ ที่ลงโทษจำคุก 12 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
ทั้งนี้ จำเลยยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวภายใน 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 แต่หากไม่ได้อุทธรณ์ หรืออุทธรณ์แล้ว และศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกาเช่นเดิม จะทำให้คดีสิ้นสุดลง
สายน้ำเปิดเผยว่าปัจจุบัน เขาได้เข้ารายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ มีกำหนดทุก 3 เดือน ในรอบ 2 ปี ครบเรียบร้อยแล้ว