เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2568 กลไกพิเศษแห่งสหประชาชาติได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐบาลไทย เพื่อแสดงความกังวลต่อการดำเนินคดีอาญาต่อนักกิจกรรม 9 คนจากกรณีการจัดกิจกรรม Melayu Raya 2022 โดยแสดงความกังวลถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ สิทธิที่จะมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม รวมถึงการส่งเสริมสิทธิทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิม
ย้อนที่มาของการดำเนินคดีอาญา “ม.116” ในกรณี Melayu Raya 2022
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2565 สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP) ได้จัดกิจกรรม Melayu Raya 2022 ณ หาดวาสุกรี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและฟื้นฟูการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่น เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงออกทางวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ และหนุนเสริมบรรยากาศแห่งสันติภาพในพื้นที่
ต่อมา ในวันที่ 14 ธันวาคม 2566 ผู้จัดงานและผู้เกี่ยวข้องกับกิจกรรม Melayu Raya 2022 จำนวน 9 คนได้รับหมายเรียกจากตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 9 มกราคม 2567 โดยถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) มาตรา 209 (อั้งยี่) มาตรา 210 (ซ่องโจร) และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งในวันนัดหมาย ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 9 พร้อมทนายความ ญาติ ผู้สังเกตการณ์ และตัวแทนภาคประชาสังคมได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจภูธรสายบุรี จังหวัดปัตตานี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม 2567 ได้ยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมเอกสารประกอบต่อพนักงานสอบสวน
ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนระบุกล่าวหาว่า “ผู้ต้องหากับพวกได้มีการกล่าวถ้อยคำบนเวทีอันมีลักษณะยุยงปลุกปั่นและปลุกระดมว่ามีศัตรูมาทำลายชาติมลายูปาตานี ทำให้เสียเอกราช เยาวชนต้องรวมตัวกันทำให้หมดไปซึ่งการถูกกดขี่ข่มเหง การกล่าวถ้อยคำว่าวันรายอที่ 3 เป็นวันเยาวชนแห่งชาติปาตานี กิจกรรมร้องเพลงปลุกใจมีเนื้อหาทำนองให้เยาวชนร่วมกันปฏิวัติกอบกู้เอกราชปาตานี”
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 ม.ค. 2568 ศาลจังหวัดปัตตานี พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ภาค 9 มีคำสั่งฟ้องข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) มาตรา 209 (อั้งยี่) มาตรา 210 (ซ่องโจร) และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีการจัดกิจกรรมมลายูรายา 2022 ต่อนักกิจกรรมทั้ง 9 คน
ณ ปัจจุบัน สถานะทางคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการรอพิจารณาคดีในชั้นศาล ซึ่งจะมีการนัดสืบพยานครั้งแรกในวันที่ 29 ก.ค. 2568
ย้อนอ่านที่มาของการดำเนินคดีได้ ที่นี่
องค์กรสิทธิมนุษยชนร่วมยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกลไกพิเศษ UN
วันที่ 20 ก.ค. 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, สมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (Civil Society Assembly For Peace: CAP), มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม (Muslim Attorney Centre Foundation: MAC) และกลุ่มด้วยใจ ยื่นคำร้องเรียน (communication) ต่อกลไกพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติ หรือ UN Special Procedures เพื่อรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินคดีนักกิจกรรมชาวมุสลิมจากการจัดกิจกรรม Melayu Raya 2022
ทั้งนี้ บรรดาภาคประชาสังคม เห็นว่าการดำเนินคดีต่อบุคคลดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการชุมนม และเสรีภาพทางศาสนาเพื่อให้มีการตรวจสอบโดยกลไกระหว่างประเทศ จึงส่งคำร้องเรียน เพื่อให้รัฐบาลไทยคำนึงและทบทวนตามข้อเรียกร้อง และปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้ให้สัต
ย้อนอ่านเนื้อหาของคำร้องเรียนได้ ที่นี่
กลไกพิเศษสะท้อนต่อรัฐบาลไทย พร้อมแสดงความกังวลต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชน
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2568 5 กลไกพิเศษแห่งสหประชาชาติ ประกอบไปด้วย ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการรวมกลุ่ม ผู้รายงานพิเศษเรื่องสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้รายงานพิเศษเรื่องเสรีภาพทางศาสนาและทางความคิด และผู้รายงานพิเศษเรื่องชนกลุ่มน้อย ได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐบาลไทย โดยได้แสดงความกังวลต่อการดำเนินคดีต่อนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้ง 9 คน อันเนื่องมาจากกรณีการจัดกิจกรรม Melayu Raya 2022 ซึ่งเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรม อีกทั้งได้แสดงความกังวลว่าการดำเนินคดีในลักษณะดังกล่าวอาจมีความเกี่ยวข้องต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งรวมไปถึงการมีส่วนร่วมในวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมอย่างเสรี และการส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนาของชาวมลายูมุสลิม
นอกจากนั้นแล้ว กลไกพิเศษแห่งสหประชาชาติยังแสดงความกังวลว่ารัฐไทยมองการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรมเป็นการสนับสนุนการยุยงปลุกปั่นหรือการต่อต้านรัฐ การดำเนินคดีในลักษณะดังกล่าวอาจจะสร้างสภาวะความหวาดกลัว (chilling effect) ต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปรากฏเหตุการณ์การถดถอยของพื้นที่พลเมือง (civic space) อันเป็นผลมาจากการคุกคามโดยการใช้กฎหมาย (judicial harassment) และการปราบปรามในรูปแบบอื่น ๆ ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักข่าว จากการใช้เสรีภาพขั้นพื้นฐาน
กลไกพิเศษแห่งสหประชาชาติยังได้มีข้อเรียกร้องต่อรัฐ ดังต่อไปนี้
- เรียกร้องให้รัฐให้ข้อมูลหรือความคิดเห็นเพิ่มเติม สืบเนื่องจากการร้องเรียนตามที่กลไกพิเศษฯ ได้รับ ซึ่งรวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่นำมาประกอบการดำเนินคดีต่อนักกิจกรรม พร้อมทั้งชี้แจงถึงมาตรการที่ได้ทำหรือที่น่าจะได้ทำ เพื่อเป็นการประกันสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และอธิบายว่ามาตรการเหล่านี้สอดคล้องกับกระบวนการอันควรตามกฎหมาย (due process) และมาตรฐานการพิจารณาคดีคดีอย่างเป็นธรรม และหลักประกันทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างไร โดยพิจารณาพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
- เรียกร้องให้รัฐชี้แจงถึงมาตรการที่ได้ทำ เพื่อประกันว่าบุคคล ซึ่งรวมไปถึงนักกิจกรรม นักข่าว ผู้นำภาคประชาสังคม ซึ่งมาจากกลุ่มทางวัฒนธรรม นักศึกษา และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้นสามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิในการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม โดยปราศจากการข่มขู่หรือการดำเนินคดี ได้อย่างสอดคล้องกับมาตรฐานและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
- เรียกร้องให้รัฐให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการอย่างเฉพาะเจาะจงที่ได้ใช้เพื่อประกันว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถดำเนินงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้ออำนวย โดยที่ไม่ต้องหวาดกลัวที่จะถูกคุกคามหรือข่มขู่จากเจ้าหน้าที่ หรือ ตัวแทนอื่นใดที่ดำเนินการในนามหรือด้วยความยินยอมของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว
ภายหลังจากนั้น วันที่ 16 พ.ค. 2568 ผู้รายงานพิเศษเรื่องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติ Mary Lawlor ได้เผยแพร่แถลงการณ์แสดงความกังวลอันสืบเนื่องมาจากการจัดกิจกรรม Melayu Raya 2022 อีกทั้งยังได้อ้างอิงถึงความเห็นจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ได้ออกไว้เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 ที่ได้ออกความเห็นต่อกรณีดังกล่าวไว้ว่า “ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำที่เป็นการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกเช่นกัน จึงเห็นว่า การดำเนินคดีกับนักกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งสองกรณีนี้เป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือยับยั้งการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
ถึงแม้เวลาได้ผ่านมาแล้วกว่า 3 เดือน ปัจจุบัน (18 มิ.ย. 2568) รัฐไทยยังไม่ได้มีการตอบกลับหรือให้ข้อมูลกับผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติแต่อย่างใด
กลไกพิเศษเน้นย้ำพันธกรณีของรัฐไทยในการปกป้องสิทธิมนุษยชน
สืบเนื่องจากการได้รับหนังสือร้องเรียนจากสหประชาชาติในกรณีการดำเนินคดีต่อนคดีอาญาต่อนักกิจกรรม 9 คนจากกรณีการจัดกิจกรรม Melayu Raya 2022 กลไกพิเศษแห่งสหประชาชาติได้ทบทวนพันธกรณีภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศฉบับต่าง ๆ ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคี
สิทธิเสรีภาพทางความคิด มโนธรรม และศาสนา
สิทธิในการใช้เสรีภาพทางความคิด มโนธรรม และศาสนา เป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ข้อ 18 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ซึ่งครอบคลุมไปถึง “เสรีภาพในการแสดงออกทางศาสนา หรือความเชื่อของตนในการสักการบูชา การปฏิบัติ การประกอบพิธีกรรม และการสอน ไม่ว่าจะโดยลำพังตัวเอง หรือในชุมชนร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะต่อสาธารณะชน หรือเป็นการส่วนตัว”
ภายใต้ข้อ 18(3) ของ ICCPR รัฐจะจำกัดสิทธิในการแสดงออกซึ่งศาสนาหรือความเชื่อของบุคคลได้ก็ต่อเมื่อการจำกัดนั้นมีกฎหมายมารองรับ โดยต้องคำนึงถึงความจำเป็น เพื่อรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย สุขอนามัย หรือศีลธรรมของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลอื่น
สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการแสดงออก
ข้อ 19 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้ให้การคุ้มครอง สิทธิในการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการแสดงออก อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังได้ออกความเห็นทั่วไป ฉบับที่ 34 เพื่อกำหนดให้บรรดารัฐภาคีภายใต้กติการะหว่างประเทศฯ รับประกันสิทธิในการใช้เสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งครอบคลุมไปถึง “วาทกรรมทางการเมือง คำวิจารณ์ประเด็นส่วนตัวและประเด็นสาธารณะ การสำรวจความคิดเห็น การถกประเด็นในเรื่องสิทธิมนุษยชน วารสารศาสตร์ การแสดงออกทางวัฒนธรรมและศิลปะ การสอน และวาทกรรมเกี่ยวกับศาสนา”
นอกจากนั้นแล้วรัฐภาคีภายใต้กติการะหว่างประเทศฯ ยังมีหน้าที่ในการใช้มาตรการอย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันการโจมตีอันมีความมุ่งหมายเพื่อปิดปากบุคคลที่ได้ใช้เสรีภาพในการแสดงออก
แม้สิทธิในการใช้เสรีภาพในการแสดงออกนั้นจะเป็นสิทธิที่ถูกจำกัดได้ โดยต้องบัญญัติไว้ภายใต้บทบัญญัติทางกฎหมาย และต้องคำนึงถึงหลักความจำเป็นและหลักการได้สัดส่วน อย่างไรก็ตามคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ย้ำว่า การให้ความสำคัญระหว่างสิทธิและข้อจำกัด และระหว่างบรรทัดฐานและข้อยกเว้นจะต้องไม่สลับกัน โดยการจำกัดสิทธินั้นต้องใช้ “เครื่องมือที่รบกวนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกน้อยที่สุดในบรรดาเครื่องมือที่สามารถทำหน้าที่ปกป้องได้”
สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ
สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ข้อ 21 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งเมื่อพิจารณาตามความเห็นทั่วไป ฉบับที่ 37นั้นคุ้มครองครอบคลุมไปถึงการชุมนุมในทุกที่ไม่ว่าจะจัดขึ้นในที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกลางแจ้ง ในร่ม หรือทางออนไลน์ ในพื้นที่สาธารณะและส่วนตัว และไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม เช่น การเดินขบวนประท้วง การประชุม การเดินขบวน การชุมนุม การนั่งประท้วง พิธีรำลึกด้วยการจุดเทียน และแฟลชม็อบ
โดยสิทธิดังกล่าว “จะจำกัดไม่ได้ นอกจากจะกำหนดโดยกฎหมายและเพียงเท่าที่จำเป็นสำหรับสังคมประชาธิปไตย เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงแห่งชาติ หรือความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย การสาธารณสุข หรือศีลธรรมของประชาชนหรือการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น”
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐจำต้องให้ผู้เข้าร่วมการชุมนุมกำหนดวัตถุประสงค์หรือเนื้อหาของการแสดงออกได้อย่างเสรี โดยแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต่อการชุมนุมโดยสงบ รวมไปถึงการบังคับใช้ข้อห้ามต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามหลักการไม่แทรกแซงเนื้อหาของการชุมนุม (content neutral) และต้องไม่ขึ้นอยู่กับอัตลักษณ์ของผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือความสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้าร่วมชุมนุมกับเจ้าหน้าที่
แม้ว่าในบางกรณีเวลา สถานที่ และวิธีการอาจถูกจำกัดได้ตามหลักของข้อ 21 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง แต่โดยธรรมชาติแล้วการชุมนุมเป็นการแสดงออกในรูปแบบหนึ่ง ฉะนั้นแล้วผู้ชุมนุมต้องได้รับอนุญาตในการจัดการชุมนุมในสถานที่ที่อยู่ในระยะของการได้รับการมองเห็นและได้ยิน (sight and sound) ของกลุ่มเป้าหมายของการชุมนุม
ในประเด็นเรื่องการใช้ธง, เครื่องแบบ, สัญลักษณ์ และ ป้าย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ระบุไว้ในความเห็นทั่วไป ฉบับที่ 37 โดยมองว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ควรถูกจำกัด แม้ว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวจะแสดงถึงเหตุการณ์อันน่าเจ็บปวดในอดีต และการจำกัดซึ่งสิทธิในการแสดงออกโดยใช้สัญลักษณ์ในรูปแบบดังกล่าวนั้นสามารถจำกัดได้โดยคำนึงถึงความเหมาะสม หากการใช้การแสดงออกโดยใช้สัญลักษณ์เป็นการปลุกระดมให้เกิดการเลือกปฏิบัติ ความมุ่งร้าย หรือความเกลียดชัง โดยตรงและอย่างชัดเจน
สิทธิในการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม
สิทธิในการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรมเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตามข้อ 15 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมโดยรัฐภาคีต้องเคารพต่อการใช้และพัฒนากิจกรรมทางวัฒนธรรม และสิทธิของทุกคนในการเข้าถึงมรดกทางวัฒนธรรมและภาษาของตนเองและผู้อื่น ตลอดจนเคารพเสรีภาพซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างสรรค์ทางศิลปะและวัฒนธรรม อีกทั้งข้อ 27 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ได้กำหนดว่า รัฐภาคีอันประกอบไปด้วยชนกลุ่มทางชาติพันธุ์ ศาสนา หรือภาษา ซึ่งรวมบุคคลที่เป็นสมาชิกของชนกลุ่มดังกล่าวจะต้องไม่ถูกปฏิเสธสิทธิในทางวัฒนธรรม การนับถือและปฏิบัติตามศาสนาของตน หรือการใช้ภาษาของตนเอง
ทั้งนี้ รัฐต้องละเว้นจากการแทรกแซงการกระทำและการเข้าถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรม สินค้า และบริการทางวัฒนธรรม รวมไปถึงยกเลิกหรือสั่งห้ามกิจกรรมทางวัฒนธรรมในศิลปะและรูปแบบการแสดงออกอื่น ๆ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังได้ย้ำอีกว่า การคุ้มครองความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นหน้าที่ทางจริยธรรมที่ไม่สามารถแยกออกจากการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และทุกคนมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม รวมถึงสิทธิในการเลือกอัตลักษณ์ของตนเอง การระบุหรือไม่ระบุตัวตนกับชุมชนใดชุมชนหนึ่งหรือหลายชุมชน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเลือกนี้ ตลอดจนการปฏิบัติตามวิถีทางวัฒนธรรมของตนเอง และยังเน้นย้ำว่า ห้ามมิให้ผู้ใดถูกเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเขาเลือกที่จะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิกของชุมชนหรือกลุ่มวัฒนธรรมใดโดยเฉพาะ
การไม่เลือกปฏิบัติตามเชื้อชาติ สีผิว หรือชาติกำเนิดหรือชาติพันธุ์
ข้อ 5 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ หรือ CERD ได้กำหนดให้รัฐภาคีมีหน้าที่ในการห้ามและขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ และจะประกันสิทธิของทุกคนให้มีความเสมอภาคตามกฎหมาย
เมื่อพิจารณาตามบริบทของประเทศไทย พบว่า ภายใต้ข้อสังเกตท้ายรายงาน (concluding observation) โดยรวมจากรายงานฉบับที่ 4 ถึงฉบับที่ 8 ของประเทศไทย ภายใต้กลไกของคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ (CERD) เคยได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการข่มขู่ การตอบโต้ และการคุกคามที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการคุกคามผ่านกระบวนการยุติธรรม ที่มุ่งเป้าไปยังนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะผู้ที่เรียกร้องสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มชาติพันธุ์-ศาสนา อันเนื่องมาจากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ จึงได้ให้ข้อเสนอแนะต่อประเทศไทย ให้“ดำเนินการสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งด่วน รอบด้าน และเป็นกลาง” ในกรณีที่มีการคุกคามนักป้องสิทธิมนุษยชนตามที่ได้ระบุในข้างต้น และให้ดำเนินมาตรการเพื่อ “สร้างพื้นที่เปิดกว้างและปลอดภัย” สำหรับการดำเนินงานของภาคประชาสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อ “เอื้ออำนวยให้การทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นไปอย่างปลอดจากการข่มขู่ คุกคาม และการตอบโต้ในทุกรูปแบบ”