จับตา ฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดี  “พิมชนก” ที่เชียงใหม่ หลังโต้แย้งการตีความ ม.112 คุ้มครองเฉพาะ “บุคคล” มิใช่ “สถาบัน”

ในวันที่ 28 เม.ย. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีของพิมชนก จิระไทยานนท์ นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 27 ปี ผู้ถูกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนื่องจากโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า ‘รัฐบาลส้นตีน สถาบันก็ส้นตีน🔥🙂’ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565 โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 2 ปี โดยเชื่อว่าข้อความมีเจตนากล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการหลบเลี่ยง

คดีนี้มี พ.ต.อ.นพฤทธิ์ กันทา ผู้กำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้กล่าวหา หลังได้รับมอบหมายจากคณะทํางานคดีความมั่นคงภูธรจังหวัดเชียงใหม่และตำรวจภูธรภาค 5 โดยกล่าวหาว่าคำว่า ‘สถาบัน’ นั้น จำเลยตั้งใจหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

พิมชนกถูกตำรวจเข้าจับกุมตัวจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2565 โดยไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน และถูกนำตัวเดินทางกว่า 700 กิโลเมตร มายัง สภ.แม่โจ้ สถานีตำรวจเจ้าของคดี ก่อนจะได้รับการประกันตัวระหว่างสอบสวน

ฝ่ายจำเลยต่อสู้คดี โดยให้การรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความจริง แต่ข้อความไม่เป็นความผิดเนื่องจากไม่ได้หมายถึงสถาบันกษัตริย์ บริบทในขณะนั้นต้องการสื่อความหมายถึงสถาบันการศึกษา อีกทั้งองค์ประกอบของมาตรา 112 นั้น บัญญัติคุ้มครองเฉพาะตัวบุคคล คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่ได้คุ้มครอง ‘สถาบัน’ ซึ่งมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มากกว่าตัวบุคคล การตีความให้มาตรานี้ให้หมายถึงสถาบันฯ ทั้งหมด เป็นการตีความขยายความเกินกว่าขอบเขตของกฎหมาย

ก่อนที่เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2566 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง โดยพิจารณาถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2565 ที่จำเลยไปอยู่บริเวณเส้นทางขบวนเสด็จของเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ หลังจากงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก่อนวันถัดมามีการพบข้อความตามฟ้อง และศาลยังรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลและหน่วยความมั่นคง ที่กล่าวถึงประวัติการเคลื่อนไหวทางการเมืองของจำเลยก่อนหน้าเกิดเหตุในคดีนี้เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และมาตรา 112 พยานโจทก์จึงเข้าใจได้ว่าโพสต์ของจำเลยตามฟ้องนั้นกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์

ศาลเห็นว่าแม้ข้อความจะไม่ได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ใด แต่เห็นว่ามาตรา 112 คุ้มครองทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์มีนัยยะเป็นที่เข้าใจว่าคือบุคคลคนเดียวกัน ส่วนคำว่าพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้อยคำของจำเลยเป็นการบริภาษ และมีเจตนาในการดูหมิ่น ให้ร้าย ลดทอนคุณค่าของพระมหากษัตริย์ จึงเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดเหลือจำคุก 2 ปี

ต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุญาตให้ประกันตัวจำเลยระหว่างอุทธรณ์คดี และฝ่ายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อมา 

.

จำเลยโต้แย้งข้อความไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงสถาบันฯ ใด – ม.112 คุ้มครองเฉพาะ “ตัวบุคคล” ไม่ได้คุ้มครอง “สถาบัน”

สำหรับการต่อสู้อุทธรณ์ของจำเลย โดยสรุปประเด็นสำคัญได้แก่

1. ข้อความตามฟ้องนั้นไม่สามารถตีความว่าหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ได้โดยเคร่งครัด เพราะมิได้มีการโพสต์ที่ระบุไว้ชัดเจน ถ้อยคำว่า “สถาบัน” ดังกล่าวก็ตีความหมายได้อย่างหลากหลาย พยานโจทก์หลายปากเองก็ให้การรับว่าหากพิจารณาข้อความ ก็ไม่ได้ทราบว่าหมายถึงสถาบันใด เนื่องจากไม่มีการระบุไว้เฉพาะเจาะจง และคนอ่านแต่ละคนก็ตีความไปแตกต่างกัน มิสามารถเพียงนำพฤติการณ์แวดล้อมมาเป็นเครื่องชี้เจตนาในการกระทำ

2. มาตรา 112 มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองเกียรติยศชื่อเสียงของ “บุคคล” ที่ดำรงตำแหน่งตามที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะเพียง 4 ตำแหน่งเท่านั้น หาได้คุ้มครองรวมไปถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ซึ่งไม่ใช่ “บุคคล” แต่หมายรวมถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการของพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ มีบุคคลที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องในฐานะต่าง ๆ รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์อื่น ๆ 

การกระทำที่จะถือว่าเป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งการหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น ก็จะต้องระบุตัวบุคคลที่ถูกใส่ความหรือดูหมิ่นได้ว่าหมายถึงบุคคลใดโดยเฉพาะ มิใช่การแสดงความคิดเห็นลอย ๆ โดยไม่รู้แน่ว่าหมายถึงบุคคลใด การตีความกฎหมายอาญาต้องเป็นไปโดยเคร่งครัด จะตีความขยายความออกไปไม่ได้ 

การนำสืบพยานของโจทก์เอง พยานหลายปากต่างก็ให้ความเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้หมายถึงตัวบุคคล พยานเจ้าพนักงานตำรวจผู้กล่าวหา ตำรวจสันติบาล พนักงานสอบสวน และพยานนักวิชาการทางกฎหมายของโจทก์เอง ก็ยอมรับว่ามาตรา 112 นั้นต้องการที่จะคุ้มครองเฉพาะตัวบุคคล ไม่ได้ระบุว่าคุ้มครองสถาบัน

ทั้งยังมีคำพิพากษาในหลายคดีที่ตีความว่ามาตรานี้คุ้มครองเฉพาะตัวบุคคล อาทิเช่น ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยในคดีแขวนป้าย“งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID19” โดยเห็นว่าข้อความไม่ได้หมายถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ และเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งฝ่ายจำเลยได้แนบคำพิพากษาประกอบการพิจารณาด้วย

3. ฝ่ายจำเลยยังโต้แย้งเรื่องการตีความมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ซึ่งมีที่มาจากหลักการ The King Can Do No Wrong ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่หมายถึงพระมหากษัตริย์จะกระทำผิดมิได้ เพราะมิได้กระทำการใด ๆ ด้วยพระองค์เอง โดยการกระทำต่าง ๆ มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ จึงไม่สามารถฟ้องร้องกษัตริย์ได้ และคำว่า “ล่วงละเมิดมิได้” ก็หมายถึงการฟ้องร้องดังกล่าว ไม่ได้ตีความไปถึงการติชมหรือถกเถียงเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และไม่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่อย่างใด 

การที่ศาลชั้นต้นจะนำบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดังกล่าว มาตีความขยายความมาตรา 112 ในกฎหมายอาญา และใช้พิจารณาประกอบการลงโทษนั้น เป็นการขยายความผิดไปจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อาจทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่บัญญติไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นกัน 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์มาแล้ว 2 ครั้ง ในเดือนตุลาคม 2567 และมกราคม 2568 แต่ก่อนวันนัด เจ้าหน้าที่ศาลได้แจ้งการเลื่อนวันอ่านคำพิพากษาออกมาทั้งสองครั้ง

.

ย้อนอ่านประมวลการต่อสู้คดีนี้ 

ฤา สถาบัน=พระมหากษัตริย์?: ประมวลการต่อสู้คดี ‘พิมชนก’ โพสต์ข้อความ จับตาการตีความองค์ประกอบ ม.112

.

X