พิพากษายืน ปรับ 30,000 คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ “วีรวิชญ์-โชคดี” ร่วมคาร์ม็อบ10กรกฎา ศาลอุทธรณ์ชี้ หากละเมิดกฏหมายจะอ้างเสรีภาพตาม รธน. ไม่ได้

วันที่ 19 มี.ค. 2568 ศาลแขวงดุสิตนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีของ วีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล และ “อาเล็ก” โชคดี ร่มพฤกษ์ ศิลปินราษฎร จากกรณีร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ (Carmob) เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2564 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในข้อหา “ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 133 นํารถเข้าขบวนแห่ต่าง ๆ ไปตามทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานจราจร”

กิจกรรมคาร์ม็อบดังกล่าว มี  “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นแกนนำจัดกิจกรรมและเชิญชวนให้คนมาเข้าร่วมการชุมนุม โดยพนักงานอัยการแขวงดุสิตยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลแขวงดุสิตเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2564 บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันชุมนุม มั่วสุม หรือจัดทํากิจกรรม “CAR MOB (คาร์ม็อบ)” โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมและทํากิจกรรมดังกล่าว จํานวน 100 คน มีการตั้งขบวนขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ จํานวนประมาณ 100 คัน อันเป็นการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจํานวนรวมกันมากกว่า 20 คน ที่บริเวณหน้าร้านแม็คโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในลักษณะกีดขวางการจราจรและทางสาธารณะ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองขับไล่นายกรัฐมนตรี 

อัยการกล่าวหาว่า โชคดีได้ทํากิจกรรมชื่อว่า “ยืนยัน ดันเพดาน พูดด้วยหัวใจ ด้วยเสียงเพลง” โดยการแสดงดนตรีร้องเพลง ที่บริเวณริมทางเท้าข้างร้านแมคโดนัลด์ ซึ่งมีประชาชนสนใจเข้าร่วมรับฟังประมาณ 50 คน ส่วนวีรวิชญ์ได้นํารถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลเข้าร่วมขบวนแห่ โดยมีการขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ติดตามกันไปเป็นขบวนในลักษณะกีดขวางการจราจร บีบแตรรถส่งเสียงดัง มุ่งไปจุดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ จนสิ้นสุดที่สี่แยกราชประสงค์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร 

ในชั้นสอบสวนและชั้นศาล โชคดีและวีรวิชญ์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและต่อสู้คดี ในระหว่างพิจารณาคดีศาลแขวงดุสิตอนุญาตให้ประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์คนละ 20,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์

ต่อมาในวันที่ 13 มี.ค. 2566 ศาลแขวงดุสิตพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับคนละ 30,000 บาท และวีรวิชญ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 133 ฐานนํารถเข้าขบวนแห่ไปตามทางโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ลงโทษปรับ 500 บาท รวมปรับวีรวิชญ์ 30,500 บาท และปรับโชคดี 30,000 บาท

ต่อมา ทนายความจำเลยทั้งสองจึงยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ศาลแขวงดุสิตจึงนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้ (19 มี.ค. 2568) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1

.

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 501 โชคดีและวีรวิชญ์เดินทางมาตามนัดศาลพร้อมทนายความและนายประกัน ต่อมา ศาลออกนั่งพิจารณาคดีและอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยย่อ สามารถสรุปประเด็นได้ ดังนี้

ประเด็นแรก จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ชุมนุมในลักษณะแออัด เสี่ยงต่อการแพร่โรคตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุมจึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันโรค 

เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยที่ 2 ได้เข้าร่วมชุมนุม โดยก่อนที่ขบวนคาร์ม็อบจะเคลื่อนที่ไป จำเลยที่ 2 ได้ร้องเพลงอยู่ที่ฟุตบาทบริเวณสี่แยกคอกวัว มีผู้ร่วมชุมนุมนั่งฟังประมาณ 50 คน หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ร่วมขึ้นรถยนต์ไปกับขบวนคาร์ม็อบ เจือสมกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ยอมรับว่า ร่วมชุมนุมจริง พยานโจทก์ทั้งสามไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่มีเหตุปรักปรำจำเลยที่ 2  จึงน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง

ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 เข้าร่วมการชุมนุมที่มีจำนวนเกินกว่า 20 คน โดยไม่ได้ขออนุญาต จึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 (2) และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ( ฉบับที่ 25) ข้อ 4 (4) 

มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การทำกิจกรรมของจำเลยที่ 2 เป็นการทำกิจกรรมที่มีความแออัดหรือไม่ จากข้อเท็จจริงจะเห็นได้ว่า แม้การทำกิจกรรมชุมนุมในลักษณะที่เป็นคาร์ม็อบจะมีระยะห่างกัน ไม่มีลักษณะของการแออัด แต่จากทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า ก่อนที่ขบวนรถจะเคลื่อนที่ไปมีการทำกิจกรรมร่วมกันไม่ต่างกับเหตุการณ์ชุมนุมทั่วไป 

เมื่อพิจารณาความหมายของคำว่า แออัด ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ประกอบกับพยานเอกสารของโจทก์ เห็นได้ว่า ผู้ร่วมชุมนุมและทำกิจกรรมมีจำนวนมากถึง 150 คน ก่อนรถเคลื่อนที่ผู้ชุมนุมมีการเดินไปมา มีระยะห่างไม่เกิน 1 – 2 เมตร บางคนสวมหน้ากากอนามัยและบางคนไม่สวมหน้ากากอนามัย แม้ว่าบริเวณที่ชุมนุมและทำกิจกรรมจะเป็นบริเวณที่เปิดโล่ง แต่การที่ผู้ชุมนุมหรือทำกิจกรรมมาอยู่ร่วมกันในระยะใกล้ชิดจำนวนมากถือว่าเป็นการทำกิจกรรมหรือชุมนุมในลักษณะที่แออัดแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมชุมนุมหรือทำกิจกรรมด้วย จึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

ประเด็นที่สอง จำเลยที่ 2 อุทธรณ์อ้างว่า การชุมนุมเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธหรือความรุนแรง ซึ่งสามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 

เห็นว่า แม้รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 44 วรรคหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุจะบัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่มิได้หมายความว่าประชาชนจะสามารถใช้เสรีภาพของตนโดยปราศจากขอบเขตหรือไปละเมิดสิทธิของประชาชนผู้อื่นด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ใช้เสรีภาพดังกล่าวถึงขั้นเป็นการละเมิดหรือกระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง

ดังนั้น หากมีการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฏหมายก็จะอ้างว่าเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยถือเป็นการชุมนุมโดยสงบหาได้ไม่ 

นอกจากนี้ พยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจเบิกความในทำนองเดียวกันว่า เวลาประมาณ 12.30 น. มีกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์มาร่วมประมาณ 100 คัน สภาพการจราจรติดขัด ต่อมาเวลาประมาณ 13.00 น. สมบัติได้ตั้งขบวนเพื่อเริ่มคาร์ม็อบเดินทางจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปสี่แยกอรุณอัมรินทร์ โดยในการตั้งขบวนรถทุกคันจะหยุดและปิดการจราจรไป ซึ่งทำให้รถยนต์ของผู้อื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนคาร์ม็อบไม่สามารถใช้เส้นทางดังกล่าวสัญจรได้ โดยขบวนคาร์ม็อบใช้ช่องทางจราจรรวม 6 ช่องทาง และมีผู้ร่วมเดินเท้าอีกประมาณ 150 คน มีการทำกิจกรรมร้องเพลง เปิดเพลง และเต้นรำ มีการปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาลและการทำงานของนายกรัฐมนตรี

การที่จำเลยที่ 2 ร่วมไปกับรถยนต์ในกลุ่มคาร์ม็อบ ซึ่งเป็นการชุมนุมและเข้าขบวนแห่โดยไม่มีการขออนุญาต จึงถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวกเป็นการกีดขวางและอาจเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือยานพาหนะที่สัญจรไปมา จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าไม่มีเจตนากีดขวางรถมิให้เดินต่อไปหาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 2 ย่อมเล็งเห็นผลจากการกระทำของตนว่าการตั้งสิ่งของเหล่านั้นกีดขวางอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและยานพาหนะที่สัญจรไปมาบนถนนได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจอ้างว่าตนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญได้ 

ประเด็นที่สาม จำเลยที่ 2 อ้างว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังได้

เห็นว่า จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างเพียงลอย ๆ ส่วนโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและภาพถ่ายเป็นหลักฐาน ทั้งเบิกความสอดคล้องต้องกัน ไม่มีพิรุธ พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้

ประเด็นที่สี่ จำเลยที่ 2 อ้างคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการและคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องในคดีอื่น  

เห็นว่า ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ถือว่าคำพิพากษาในคดีอื่นหรือคำสั่งของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้องให้คดีนี้ต้องถือตาม ดังนั้น คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการและคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องในคดีอื่นย่อมไม่ผูกพันในคดีนี้แต่อย่างใด 

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมชุมนุมหรือทำกิจกรรมซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

ผู้พิพากษาที่ลงนามในคำพิพากษาได้แก่ ภัทรศักดิ์ ศิริสินธร์, สมศักดิ์ อุไรวิชัยกุล และ สิทธิพงศ์ ตัญญพงศ์ปรัชญ์

.

จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มมีการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบเพื่อแสดงออกทางการเมือง ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา มีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมลักษณะนี้ ไม่น้อยกว่า 269 ราย ใน 109 คดี (บางรายถูกกล่าวหาในหลายคดี) 

จากสถิติคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ศาลยกฟ้อง-อัยการสั่งไม่ฟ้อง ที่ศูนย์ทนายความฯ ติดตามเก็บข้อมูลจนถึงวันที่ 6 มี.ค. 2568 พบว่ามีคดีคาร์ม็อบที่ศาลยกฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องรวม 42 คดี ในขณะที่มีคดีคาร์ม็อบที่จำเลยต่อสู้คดีและศาลพิพากษาว่ามีความผิดเพียง 18 คดี

X