คำถามจาก ‘ก้อง’ ถึง ม.รามคำแหง: นี่คือโอกาสทางการศึกษา หรือความเหลื่อมล้ำ?

.

“การสอบในเรือนจำของมหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดขึ้นไม่ได้” — ก้อง อุกฤษฏ์ 

.

สิทธิในการสอบ หรือข้อจำกัดของระบบ?

วันที่ 26 ก.พ. 2568 คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ได้ประชุมพิจารณาประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ สิทธิทางการศึกษาของนักศึกษาในระหว่างถูกคุมขัง กรณีของ “ก้อง” อุกฤษฏ์ สันติประสิทธิ์กุล นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งยังคงรอคอยโอกาสเข้าสอบสามวิชาสุดท้าย เพื่อสำเร็จการศึกษาตามเป้าหมาย

นี่เป็นการประชุมครั้งที่สอง หลังจากที่การประชุมเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงติดภารกิจ ในครั้งนี้มหาวิทยาลัยส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม ได้แก่ รศ.จักรี ไชยพินิจ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา พร้อมด้วยนิติกร มหาวิทยาลัยและคณะ

การประชุมเริ่มต้นด้วยการรายงานจากตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงเกี่ยวกับ “จดหมายจากก้อง” ที่ถูกส่งผ่านทนายความมาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2568 โดยก้องได้ขอให้มหาวิทยาลัยพิจารณาขออนุมัติการสอบภายในเรือนจำ

แต่คำตอบจากมหาวิทยาลัยกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง

.

เหตุผลของมหาวิทยาลัย: การสอบในเรือนจำไม่สามารถทำได้จริงหรือ?

ในการประชุม รศ.จักรี ได้ชี้แจงเหตุผลของมหาวิทยาลัยรามคำแหงในการปฏิเสธการสอบในเรือนจำ โดยให้เหตุผลโดยสรุปว่า

1️ ระเบียบของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับสอบในเรือนจำ
2️ หากอนุญาตให้ก้องสอบ จะต้องอนุญาตให้นักศึกษาทุกคนที่ขาดสอบด้วย โดยปีการศึกษาหนึ่งมีผู้ขาดสอบกว่า 20,000 คน จึงไม่สามารถทำตามความต้องการของคนใดคนหนึ่งได้ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดความไม่เท่าเทียมได้
3️ ราชทัณฑ์ไม่ใช่หน่วยงานภายใต้มหาวิทยาลัย ดังนั้นการสอบในเรือนจำต้องเกิดขึ้นจากข้อตกลงร่วมกับกรมราชทัณฑ์ หรือการจัดทำระเบียบใหม่เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ข้อโต้แย้งดังกล่าวชวนให้ตั้งคำถามว่า มหาวิทยาลัยกำลังรักษาความเท่าเทียม หรือกำลังกีดกันโอกาสทางการศึกษา?

.

“โอกาสสอบในเรือนจำสร้างความไม่เท่าเทียม” จริงหรือ?

เมื่อก้อง อุกฤษฏ์ ได้รับฟังเหตุผลจากที่ประชุมกรรมาธิการ เขาได้ฝากคำถามกลับไปถึงมหาวิทยาลัยรามคำแหงว่า

“การสอบในเรือนจำ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง มองว่าเป็นการเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมนั้น ไม่เท่าเทียมอย่างไร มีความเหลื่อมล้ำอย่างไร เพราะการให้ผมที่เป็นนักศึกษาสามารถสอบในเรือนจำเปรียบเสมือนเป็นการให้โอกาสแก่นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียน แต่ถูกคุมขังระหว่างภาคเรียนที่ลงทะเบียนเรียนเอาไว้ มันเป็นการมอบความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำของการศึกษาด้วยซ้ำ แล้วทำไม มหาวิทยาลัยรามคำแหงถึงมองว่าการสอบในเรือนจำเป็นการเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียม”

.

แท้จริงแล้ว การสอบในเรือนจำเป็นการสร้างความไม่เท่าเทียม หรือเป็นการลดช่องว่างทางการศึกษา

  • มหาวิทยาลัยให้เหตุผลว่าหากอนุญาตให้ก้องสอบ จะต้องให้สิทธิแก่ผู้ขาดสอบทุกคน แต่แท้จริงแล้ว สถานการณ์ของก้องแตกต่างจากนักศึกษาทั่วไปที่ขาดสอบ เพราะเขาไม่ได้มีทางเลือกในการเข้าสอบเหมือนนักศึกษาคนอื่น ๆ แต่กำลังถูกลิดรอนเสรีภาพ
  • มหาวิทยาลัยให้เหตุผลว่าไม่มีระเบียบให้สอบในเรือนจำ และราชทัณฑ์ไม่อยู่ภายใต้ อว. นั้น กล่าวได้ว่า ระบบการศึกษาจะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้โอกาสแก่ผู้ศึกษา เช่น มีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างองค์กร (MOU) หรือมีหนังสือขอความร่วมมือเรือนจำเพื่อขอสอบในเรือนจำ นอกจากนี้ การเรียนออนไลน์และการสอบออนไลน์ ซึ่งในอดีตไม่เคยมี แต่ปัจจุบันกลายเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานในหลายสถาบันการศึกษา

ดังนั้น การอนุญาตให้สอบในเรือนจำจึงไม่ใช่การสร้างความไม่เท่าเทียม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ที่อยู่ในสถานะสูญเสียโอกาส

.

มหาวิทยาลัยควรเป็น “สะพานแห่งความรู้” ไม่ใช่ “กำแพง”

หลักการสำคัญของระบบการศึกษา คือการสร้างโอกาส ไม่ใช่การปิดกั้น นักปรัชญาและนักการศึกษาหลายคน เช่น John Dewey และ Amartya Sen ได้เน้นย้ำว่า “ความเท่าเทียมไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติต่อทุกคนแบบเดียวกัน แต่หมายถึงการให้โอกาสที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละบุคคล”

ดังนั้น การอนุญาตให้ก้องสอบในเรือนจำไม่ใช่การให้สิทธิพิเศษกว่านักศึกษาคนอื่น แต่เป็นการทำให้เขาได้รับสิทธิเดียวกันกับนักศึกษาทั่วไป ที่สามารถเข้าสอบได้ตามปกติ การปฏิเสธสิทธิในการสอบ คือการให้โอกาสของผู้ที่ถูกจำกัดเสรีภาพ ไม่ใช่การสร้างความไม่เท่าเทียม

หากมหาวิทยาลัยรามคำแหงเชื่อมั่นในหลักการของตนว่า “การศึกษาคือโอกาสของทุกคน” ดั่งเช่นคำขวัญของมหาวิทยาลัย “เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง” ก็ไม่ควรปฏิเสธสิทธิในการสอบของนักศึกษาเพียงเพราะพวกเขาอยู่ในเรือนจำ

“ความเท่าเทียมทางการศึกษา ไม่ได้หมายถึงการให้โอกาสกับคนส่วนใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่มันหมายถึงการไม่ละทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

.

ภาพแสดงแนวคิดเกี่ยวกับความเท่าเทียม ความเสมอภาค และการปลดปล่อย

.

“ไม่เคยมี” ไม่ได้แปลว่า “เป็นไปไม่ได้”

มหาวิทยาลัยรามคำแหงอาจให้เหตุผลว่า “ไม่เคยมีใครสอบในเรือนจำมาก่อน” แต่แท้จริงแล้ว ในอดีต มีนักโทษทางการเมืองและนักศึกษาที่ถูกคุมขังสามารถสอบได้ในเรือนจำ เช่น กรณีของ “ไผ่ จตุภัทร์” ในปี 2561 ขณะที่ถูกคุมขังในเรือนจำได้รับอนุญาตให้สอบและสำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์ในการจัดสอบ หรือ ในกรณีของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชที่มีระบบรองรับการสอบของนักศึกษาที่ถูกคุมขังในเรือนจำ

ถ้าในอดีตมีคนสามารถสอบในเรือนจำได้ เหตุใดมหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้อี

  • การเรียนออนไลน์ซึ่งปัจจุบันเป็นมาตรฐานของมหาวิทยาลัยทั่วโลก ก็เคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้
  • การเปิดรับนักศึกษาพิการเข้าสู่มหาวิทยาลัย ก็เคยถูกมองว่าเป็นอุปสรรค
  • การจัดสอบในสถานการณ์พิเศษ เช่น ช่วง โควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการที่ไม่เคยมีมาก่อน

การสอบในเรือนจำก็เช่นกัน มหาวิทยาลัยรามคำแหงสามารถเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานใหม่ของการศึกษาในประเทศไทยได้

.

“มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้ให้โอกาส หรือผู้ปิดกั้นโอกาส?”

การศึกษาคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรถูกปฏิเสธเพียงเพราะข้อจำกัดทางสถานที่ หากเรายอมรับว่าการศึกษาเปลี่ยนชีวิตคนได้ ทำไมเราถึงยอมให้กำแพงเรือนจำปิดกั้นเปลวเทียนแห่งโอกาสนั้น?

แทนที่จะถามว่า ‘ทำไมต้องให้ผู้ต้องขังสอบได้?’ เราควรถามว่า ‘ทำไมเราถึงไม่ให้พวกเขาสอบ?

ดังนั้น คำถามที่แท้จริงไม่ใช่ “การสอบในเรือนจำเป็นความไม่เท่าเทียมหรือไม่?” แต่คือ “เราจะทำให้โอกาสทางการศึกษาเข้าถึงทุกคนได้อย่างไร?”

และนี่คือคำถามที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงต้องตอบให้สังคม…

.

X