31 ม.ค. 2568 ที่ สภ.เมืองนครราชสีมา “บุ๊ค” วรัญญู คงสถิตย์ธรรม และ “เตอร์” มกรพงษ์ ทรัพย์ประเสริฐ 2 นักกิจกรรมโคราช พร้อมทนายความ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีไลฟ์สดในกิจกรรม “ยืนหยุดขัง 112 นาที” บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2564
เดิมคดีนี้พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกมกรพงษ์และแจ้งข้อกล่าวหา หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ ตามมาตรา 112 ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. 2565 โดยอ้างว่า ระหว่างไลฟ์สดในกิจกรรม “ยืนหยุดขัง 112 นาที” มกรพงษ์ได้พูดใส่ความรัชกาลที่ 10 รวม 4 ข้อความ มีเนื้อหาทำนองว่า ให้ยกเลิก 112 และปฏิรูปสถาบันฯ เนื่องจากกษัตริย์ไทยใช้ภาษีประชาชนไปในการดูแลตนเองและครอบครัว ไม่ดูแลประชาชน ทั้งที่มีสถานการณ์โควิด ซึ่งมกรพงษ์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
นอกจากนี้ วันที่ 4 พ.ค. 2565 พนักงานสอบสวนยังได้แจ้งข้อกล่าวหามกรพงษ์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) เพิ่มเติมอีกข้อหา หลังจากนั้นยังได้นัดหมายวรัญญูเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน เนื่องจากวรัญญูได้เข้าร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าวด้วย
ต่อมา พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวมกรพงษ์พร้อมสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2566
กว่า 1 ปี มกรพงษ์จึงได้รับหมายเรียกอีกครั้งให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาและสอบปากคำเพิ่มเติม โดยระบุชื่อผู้กล่าวหาคนเดิมคือ พ.ต.ท.อุกฤษฏ์ แพงไธสง สว.สส.สภ.เมืองนครราชสีมา (ขณะเกิดเหตุ) แต่มีชื่อวรัญญูเป็นผู้ต้องหาร่วมด้วย ก่อนที่วรัญญูจะได้หมายเรียกด้วยเช่นกันในไม่กี่วันต่อมา
บุ๊คกล่าวก่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาด้วยสีหน้าประหลาดใจนิด ๆ ว่า “คดี APEC เพิ่งมีคำพิพากษาไปเมื่อเดือนธันวา ผมยังดีใจว่าคดีของผมหมดแล้ว อยู่ ๆ ก็มีคดีนี้โผล่มาอีก”
.
พ.ต.ท.พงษ์พร เกตุพละ พนักงานสอบสวนซึ่งรับสำนวนมาจาก พ.ต.ท.โกสินทร์ แจ่มทองหลาง เจ้าของสำนวนคนเดิม ได้แจ้งพฤติการณ์ที่กล่าวหาให้วรัญูญูและมกรพงษ์ทราบ โดยมีทนายความและผู้ไว้วางใจร่วมรับฟัง ดังนี้
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2564 เวลาประมาณ 17.20 น. วรัญญู ผู้ต้องหาที่ 1 และมกรพงษ์ ผู้ต้องหาที่ 2 กับพวก รวมประมาณ 15 คน ได้เดินทางมายังบริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เพื่อทํากิจกรรมยืนหยุดขัง 112 นาที โดยผู้ร่วมกิจกรรมได้ถือป้ายข้อความ ปล่อยเพื่อนเรา และ ยกเลิก 112 พร้อมชูรูปภาพแกนนําที่ถูกคุมขังอยู่ในขณะนั้น
ทั้งมีการไลฟ์สดผ่านเพชบุ๊ก Korat Movement โดยมีผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการทํากิจกรรม คือ โจมตีการทํางานของรัฐบาล เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนํากลุ่มราษฎรที่ถูกคุมขังจากการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง ในระหว่างการไลฟ์สด ผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 ได้พูดสลับกันไปมา โดยผู้ต้องหาที่ 1 ได้พูดถ้อยคําว่า
1. ตอนนี้สถานการณ์ปัจจุบัน เพนกวินอดอาหารมา 30 กว่าวันแล้ว ก็ไม่รู้เพนกวินจะทนได้นานแค่ไหน โดยสถิติที่เคยทําไว้ของคานธีคือ 21 วัน เพนกวินทะลุไปแล้ว 10 วัน รุ้ง ปนัสยา ก็เช่นกัน สมควรแล้วหรือคนเหล่านั้นต้องติดคุกในคดีที่ยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าผิดหรือถูก ตามมาได้นะครับตามมาได้ เราจะอยู่กันข้างหลานย่าโมเลยยืนกันใหญ่ยาวจริงถึงทุ่มนึง ไม่ขยับไปไหนเลย
2. เราจะยืนกัน 112 นาที 1 ชั่วโมงกับ 42 นาที เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมทั้งหมดที่ถูกคุมขัง ยังตามมาได้นะครับถ้าใครว่าง มายืนให้เพนกวินเห็น ยืนให้อานนท์เห็น ยืนให้คุณไผ่เห็น ยืนให้คุณลุงสมยศ ทุกคน หรือว่าใครก็แล้วแต่ที่ถูกจับอยู่ หรือทุกคนที่โดนการยัดเยียดข้อหาจากทางภาครัฐ ออกมากันเยอะเยอะนะครับ ยังไงฝากกดไลค์กดแชร์ไลฟ์สดนี้ด้วยนะครับ
3. ร่วมกัน ถ้าเราไม่ทําอะไรเลย เราจะปล่อยให้คนพวกนั้นเค้าประสบชะตากรรมที่ไม่เป็นธรรมได้อย่างนั้นเหรอ คุณสามารถเห็นเด็กที่มีคุณภาพ เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ต้องถูกยัดเยียดความผิดแล้วเข้าไปผจญคุกอยู่ในเรือนจําจากคดีที่ยังไม่ถูกพิสูจน์ว่าผิดจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ
4. เราจะร่วมกันจุดเทียนให้กับระบอบยุติธรรมแล้วก็ประเทศนี้ด้วยนะครับ เพราะว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าเรา ต้องการแสงสว่างเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตจากโควิด จากรัฐบาลที่ห่วย จากการแก้ไขปัญหาที่ล่าช้า รวมถึงการที่ต้องเฝ้ารอวัคซีน ที่ไม่รู้ว่าจะได้ครบหรือว่าได้ถึงสัดส่วนเท่าไหร่นะครับ ตอนนี้ปัญหามันรุมเร้าคนไทยไปหมด รู้สึกว่า ทุกคนต้องการแสงสว่าง ดังนั้นเราก็เดี๋ยวเราจะช่วยกันจุดแสงสว่าง
ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ได้พูดใส่ความพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 โดยประการที่จะทําให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ถูกเหยียดหยาม เป็นที่เกลียดชังของประชาชน และเป็นการลดคุณค่าทางสังคมของพระองค์ โดยยกถ้อยคำ 4 ข้อความ ที่เคยแจ้งมกรพงษ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมทั้งแจ้งเพิ่มอีก 1 ข้อความ
พนักงานสอบสวนระบุว่า สภ.เมืองนครราชสีมา ได้ส่งสํานวนการสอบสวนพร้อมกับส่งตัวมกรพงษ์ ผู้ต้องหาที่ 2 ไปยังสำนักงานอัยการจังหวัดนครราชสีมาเพื่อให้ดําเนินการตามกฎหมายต่อไป แต่ต่อมาสํานักงานอัยการฯ ได้ส่งสํานวนการสอบสวนคืนให้ สภ.เมืองนครราชสีมา โดยแจ้งว่าสํานักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาสํานวนการสอบสวนคดีนี้แล้วให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาแก่วรัญญู ผู้ต้องหาที่ 1 และมกรพงษ์ ผู้ต้องหาที่ 2 ว่ากระทําความผิดฐาน “ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ”
พ.ต.ท.พงษ์พร จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาวรัญญู และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับมกรพงษ์ว่า “ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ”
ทั้งสองคนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา มกรพงษ์ยืนยันให้การตามคำให้การเดิมที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ได้เข้าร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้พูดข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์แต่อย่างใด
ด้านวรัญญูก็ยืนยันตามที่เคยให้การไว้ในฐานะพยานว่า ได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว และทราบว่ามีการไลฟ์สด แต่ไม่ทราบว่ามีการกล่าวข้อความเข้าข่ายผิดมาตรา 112 ทั้งได้ให้การเพิ่มเติมว่า จำไม่ได้ว่าตนได้พูดในไลฟ์สดหรือไม่ อย่างไร
หลังจากลงชื่อในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาและบันทึกคำให้การแล้ว พนักงานสอบสวนให้วรัญญูไปพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อนำไปตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ก่อนปล่อยทั้งสองคนกลับ โดยแจ้งว่าคณะพนักงานสอบสวนจะต้องสรุปสำนวนและทำความเห็นใหม่ หากเสร็จแล้วจะนัดหมายมาส่งตัวให้อัยการอีกครั้ง