วันที่ 21 ม.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา รัชดา มีนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีของ “ใจ” (นามสมมติ) อดีตนักศึกษาวัย 24 ปี กรณีทวีตรูปและพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมข้อความแสดงความเห็น เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 เธอถูกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
คดีนี้มี อารีย์ จิวรรักษ์ รับมอบอำนาจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้กล่าวหาไว้ที่ บก.ปอท. จากการที่ใจเขียนข้อความ พร้อมติดแฮชแท็กเกี่ยวกับกษัตริย์ ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีข้อความประกอบภาพว่า “ไม่ต้องจำว่าฉันคือใคร แต่จำว่าฉันทำอะไรก็พอ” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
ใจยืนยันต่อสู้คดี โดยยืนยันว่า มาตรา 112 คุ้มครองกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ไม่ได้คุ้มครองกษัตริย์ในอดีต แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง โดยเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้คุ้มครองเฉพาะกษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่เท่านั้น และแม้รัชกาลที่ 9 จะสวรรคตไปแล้ว การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นความผิดตามมาตรา 112 เนื่องจากเป็นการกระทำที่กระทบต่อรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นพระราชโอรส และะทรงครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ขณะจำเลยกระทำผิดมีอายุเพียง 19 ปีเศษ จึงลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ก่อนใจจะได้รับการประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์โดยใช้หลักทรัพย์ 100,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ เพิ่มจากที่เดิมวางไว้ในชั้นพิจารณาอีก 10,000 บาท
ต่อมา ใจได้ยื่นอุทธรณ์ยืนยันว่า ข้อความที่ตนโพสต์ไม่มีข้อความใดที่สามารถเชื่อมโยงถึงรัชกาลที่ 10 ได้ ทั้งการกระทำของจำเลยไม่ได้เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 และยืนยันว่า การตีความกฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัดตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งคุ้มครอง พระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่ขณะเกิดเหตุเท่านั้น
.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แม้จำเลยอุทธรณ์สู้ว่าการตีความกฎหมายควรเป็นไปโดยเคร่งครัด ม. 112 คุ้มครองเฉพาะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
วันนี้ (21 ม.ค. 2568) เวลา 08.50 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 609 ใจเดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมครอบครัวและกลุ่มเพื่อนจำนวนหนึ่ง โดยเธอได้เดินเข้าห้องพิจารณาคดีกับมารดา ส่วนกลุ่มเพื่อนและญาติที่เดินทางมาร่วมให้กำลังใจวันนี้รออยู่ด้านนอก
เวลา 11.20 น. ก่อนที่ศาลจะเริ่มอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ได้มีการขอตรวจบัตรประชาชนของประชาชนที่มานั่งสังเกตการณ์ไปบันทึกไว้ แต่ด้วยจำนวนคนที่เต็มห้องพิจารณาคดี ศาลจึงเปลี่ยนเป็นขอเพียงบัตรประชาชนของเสมียนทนายความและตัวแทนประชาชนไปเพียง 1 คน
ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษา ศาลให้จำเลยลุกขึ้นแสดงตัว โดยถามจำเลยว่าในชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยไว้อย่างไร ใจตอบว่า จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา จากนั้นศาลได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์โดยสรุปว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุเพียง 19 ปีเศษ เห็นควรลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องหรือลงโทษสถานเบา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
หลังศาลอ่านคำพิพากษาจบ ใจได้สวมกอดกับมารดาที่นั่งอยู่ข้างกัน ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะมาใส่กุญแจมือ โดยเธอขอให้ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งออกไปบอกเพื่อน ๆ และครอบครัวที่รออยู่หน้าห้องพิจารณาคดีถึงผลคำพิพากษาดังกล่าว
ก่อนที่จำเลยจะเดินลงไปใต้ถุนศาลเพื่อรอฟังคำสั่งประกันตัวในระหว่างฎีกา เธอได้กล่าวกับมารดาว่าขอให้วันนี้รอดูผลประกันตัวก่อน อย่าเพิ่งเสียใจ “วันนี้เราจะกลับบ้านด้วยกันนะ”
ต่อมา ประมาณ 16.00 น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันใจระหว่างฎีกา โดยมีประกันวงเงิน 100,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม โดยได้รับความช่วยเหลือเงินประกันจากกองทุนราษฎรประสงค์
ทำให้วันนี้ใจได้กลับบ้านพร้อมกับแม่ตามที่ได้กล่าวกับแม่ไว้
.
อ่านอุทธรณ์ของจำเลย : จับตา! ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี ม.112 “ใจ” ทวีตรูปรัชกาลที่ 9 ยื่นโต้แย้งการตีความกฎหมายแบบขยายความ หลังถูกศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 2 ปี
ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ “ถ้ามันต้องสู้อีก ก็คงต้องสู้กันต่อไป หวังมากที่สุดในทุกครั้งที่สู้ ขอให้เราได้กลับบ้าน” คุยกับ “ใจ” จำเลยคดี 112 ผู้ถูกกล่าวหาหมิ่นอดีตกษัตริย์