วันที่ 7 พ.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดสืบพยานคดีของ “สายน้ำ” นภสินธุ์ (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 20 ปี ในข้อหา “ทำให้เสียทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 กรณีการพ่นสีสเปรย์ตัวเลข 112 พร้อมขีดฆ่าทับ และเครื่องหมายอนาคิสต์ บริเวณแผ่นป้ายจุดจอดรอรถโดยสารประจำทาง บนเสาและด้านหลังของป้ายจราจร และบนตู้ควบคุมไฟฟ้า เขตพระนคร เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2566 โดยในวันนี้สายน้ำตัดสินใจให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำพิพากษาทันที
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา
.
ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2566 สายน้ำได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีนี้ตามหมายเรียกที่ สน.พระราชวัง โดย พ.ต.ท.จำรัส ดอกไม้เทศน์ พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อหา “ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 และ “กระทำด้วยประการใด ๆ ที่ป้าย หรือสิ่งอื่นใด ที่ราชการส่วนท้องถิ่น ราชการส่วนอื่นหรือรัฐวิสาหกิจได้จัดทำไว้เพื่อสาธารณชน เกิดความเสียหายหรือใช้ประโยชน์ไม่ได้” ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 35
ในชั้นสอบสวน สายน้ำให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่มีการควบคุมตัวไว้ หลังจากนั้นตำรวจได้ส่งสำนวนให้อัยการ และอัยการได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลอาญาในวันที่ 29 ก.ย. 2566
นัดสืบพยานโจทก์วันนี้ (7 พ.ย. 2567) ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้สายน้ำฟังอีกครั้ง สายน้ำแถลงขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ และขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง จากนั้นศาลได้สั่งให้สายน้ำรอฟังคำพิพากษา ก่อนอ่านคำพิพากษาในวันนี้ทันที
เห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 35 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว จำเลยใช้สีสเปรย์พ่นทำให้เสียหาย พฤติการณ์ไม่ร้ายแรง และไม่เคยปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี ให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ในกำหนด 1 ปี และให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นนั้น เนื่องจากศาลรอการลงโทษจึงไม่สามารถนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอ
หลังจากฟังคำพิพากษา สายน้ำได้ยื่นคำร้องขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ ต่อมาศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ ให้ทำงานทั้งสิ้น 40 วัน รวม 80 ชั่วโมง แทนค่าปรับ โดยในระหว่างรอฟังคำสั่ง สายน้ำต้องลงไปอยู่ที่ห้องขังใต้ถุนศาลประมาณ 1 ชั่วโมง
.
ทั้งนี้ สายน้ำยังมีคดีจากการแสดงออกทางการเมืองโดยการพ่นสีสเปรย์ในลักษณะเดียวกันกับคดีนี้อีก 6 คดี ร่วมกับ “ออย” สิทธิชัย (สงวนนามสกุล) จากการพ่นสีในเขตพญาไท เขตดินแดง และเขตดุสิต เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2566 โดยอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง 1 คดี และยื่นฟ้องต่อศาล 5 คดี อย่างไรก็ตาม ใน 2 คดี ที่อัยการยื่นฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือนั้น ศาลได้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียว
ในชั้นศาลสายน้ำและออยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี 1 คดี ที่เหลืออีก 3 คดีให้การรับสารภาพ และศาลได้ทยอยมีคำพิพากษาทั้งหมดแล้ว โดยศาลพิพากษาปรับและรอการลงโทษ มีเพียงคดีจากการพ่นสีสเปรย์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและเสาชิงช้าคดีเดียว ซึ่งทั้งสองถูกฟ้องในข้อหา “ทำลายโบราณสถานฯ” ที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่ให้ประกันในระหว่างอุทธรณ์