วันที่ 6 มิ.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดสมุทรปราการนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีของ “พชร” (สงวนนามสกุล) ฟรีแลนซ์วัย 35 ปี สืบเนื่องมาจากกรณีที่ถูกฟ้องว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” จำนวน 2 ข้อความ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘การทำคุณไสย’ และ ‘พฤติการณ์ทางเพศ’ พาดพิงรัชกาลที่ 10 และพระราชินีสุทิดา ตั้งแต่ปี 2563
คดีนี้มีผู้กล่าวหาเป็นประชาชนทั่วไป คือ อุราพร สุนทรพจน์ ซึ่งไปแจ้งความไว้ที่ สภ.บางแก้ว โดยพบว่า อุราพร ยังเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 กับ “พิพัทธ์” หนุ่มอายุ 20 ปี จากจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งภายหลังศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว และภัทร (นามสมมติ) เยาวชนอายุ 16 ปี จากกรณีคอมเมนต์ลงในโพสต์ข้อความ ภายในกลุ่มเฟซบุ๊ก “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2563 เช่นเดียวกับพชร
ในคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาลงวันที่ 16 ส.ค. 2566 โดยพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สามารถรับฟังได้ และจำเลยไม่ได้ให้การรับรองคำให้การในชั้นสอบสวน พยานหลักฐานจึงไม่น่าเชื่อถือหรือพิสูจน์ความจริงได้
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษ จำคุก 3 ปี ก่อนลดโทษเหลือ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ก่อนศาลจังหวัดสมุทรปราการให้ประกันระหว่างฎีกา
.
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ชี้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์
ภาพรวมการสืบพยานในคดีนี้ โจทก์กล่าวหาจำเลยว่าเป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้อง และโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์และพระราชินี ในทำนองว่า มีการทำคุณไสย และมีพฤติการณ์ทางเพศที่เสียหาย ทำให้กษัตริย์และราชินีเสื่อมเสียพระเกียรติ ส่วนจำเลยต่อสู้ยืนยันว่า บัญชีเฟซบุ๊กตามฟ้องไม่ใช่ของจำเลย มีการตัดต่อข้อความกล่าวหาจำเลย และพยานหลักฐานของโจทก์มีการตัดแต่งข้อความ ไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็นจริงได้
ในวันที่ 16 ส.ค. 2566 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 5 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษา โดยมีใจความสำคัญระบุว่า พิเคราะห์แล้ว แม้อุราพร พยานโจทก์ผู้กล่าวหา จะยืนยันว่า ได้บันทึกภาพหลักฐานจากเฟซบุ๊กของจำเลยที่ได้โพสต์ข้อความลงในกลุ่มตลาดหลวง พร้อมทั้งนำหลักฐานทั้งหมดส่งให้พนักงานสอบสวน และแม้ว่าพนักงานสอบสวนจะเบิกความสอดคล้องกับผู้กล่าวหาว่าได้รับพยานหลักฐานเป็นจำนวนทั้งหมด 4 แผ่นจริง
อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้เข้าไปดูบัญชีเฟซบุ๊กที่ถูกกล่าวหา และทำการตรวจสอบหาตัวผู้กระทำผิดในทันทีที่อุราพรมาแจ้งความกล่าวโทษ เพื่อจะได้รู้ตัวผู้กระทำผิดว่าคือใคร
และที่พนักงานสอบสวนเบิกความว่า มีรายงานยืนยันตัวตนผู้ใช้งานบัญชีดังกล่าว พยานได้ทำการตรวจสอบพบว่ามีเฟซบุ๊กดังกล่าวอยู่จริง แต่ไม่ปรากฏว่าพยานได้ทำการตรวจสอบเฟซบุ๊กดังกล่าวเมื่อใด หรือมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างไร หรือมีการตรวจสอบได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่
และตามรายงานการสืบสวน ก็ปรากฏว่าพนักงานสืบสวนตรวจสอบไม่พบเฟซบุ๊กผู้ใช้งานดังกล่าว คำเบิกความของพยานจึงไม่มีน้ำหนักให้พอฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด
ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่า ศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อคำให้การโดยลำพัง เว้นแต่มีเหตุผลหนักแน่น หรือมีหลักฐานประกอบอื่นๆ มาสนับสนุนตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 227
เมื่อพยานโจทก์ไม่มีหลักฐานอื่นที่รับฟังได้ และจำเลยไม่ได้ให้การรับรองคำให้การในชั้นสอบสวน พยานหลักฐานจึงไม่น่าเชื่อถือหรือพิสูจน์ความจริงได้ และพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้มีการตรวจสอบ URL หรือ IP Address ของพยานหลักฐานดังกล่าว ประกอบกับจำเลยได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาตั้งแต่ในชั้นสอบสวน
พยานหลักฐานของโจทก์มีความน่าสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องอย่างไร จึงยกประโยชน์ของความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง
.
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ชี้ว่าคำให้การของตำรวจเรื่องการตรวจสอบเฟซบุ๊กพบว่า โปรไฟล์ – รูปพรรณตรงกับจำเลย เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์
วันนี้ (6 มิ.ย. 2567) เวลา 08.50 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 1 พชรและครอบครัวเดินทางมาถึงห้องพิจารณาคดี โดยมีประชาชนเข้าร่วมสังเกตการณ์คดีด้วยจำนวนหนึ่ง
ต่อมา 09.00 น. ศาลออกพิจารณาคดี โดยเรียกให้พชรลุกขึ้นแสดงตัว ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีใจความสำคัญโดยสรุปว่า คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจริงหรือไม่
โจทก์อุทธรณ์โดยอ้างคำให้การของพนักงานสอบสวน ซึ่งได้เบิกความว่า เมื่ออุราพร ผู้กล่าวหา นำหลักฐานการโพสต์ข้อความเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำชื่อบัญชีเฟซบุ๊คที่ถูกกล่าวหาไปตรวจสอบในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร พบว่ามีบุคคลที่ชื่อดังกล่าวอยู่จริง จึงได้นำรูปภาพไปเปรียบเทียบกับภาพโปรไฟล์ของเฟซบุ๊กที่ถูกกล่าวหา ปรากฏว่ามีรูปพรรณคล้ายกัน เชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกัน คือ จำเลยในคดีนี้
ประกอบกับเมื่อตำรวจฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กที่ใกล้เคียงกัน พบบัญชีเฟซบุ๊กที่มีโปรไฟล์คล้ายกับบัญชีที่กระทำผิด
แม้จำเลยจะเบิกความว่าบัญชีที่กระทำผิดไม่ใช่ของตัวเอง และภาพข้อความเป็นภาพที่สามารถตัดต่อมาได้ โดยจำเลยได้ใช้เฟซบุ๊กอีกบัญชีหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่บัญชีดังกล่าวที่จำเลยอ้างถึงและรับว่าเป็นของตัวเองนั้น ได้ถูกปิดไปก่อนหน้าที่จะมีเหตุในคดีนี้เกิดขึ้น และเมื่อจำเลยไม่ได้ให้การถึงเรื่องดังกล่าวว่า มีบุคคลแอบเอาภาพถ่ายของจำเลยไปทำโปรไฟล์ ทั้ง ๆ ที่จำเลยสามารถอ้างในตอนแรกที่เข้าให้การเป็นพยานในชั้นสอบสวนได้ เมื่อพิจารณาประกอบกัน จึงเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความตามฟ้องจริง
พยานหลักฐานของจำเลยไม่เพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษายกฟ้องของศาลชั้นต้น
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
เวลา 10.30 น. หลังศาลอ่านคำพิพากษาจบ พชรถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลงไปที่ห้องควบคุมตัวชั้นล่างในทันที ขณะที่ทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวในระหว่างฎีกา
ต่อมาเวลา 12.00 น. ศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยระหว่างฎีกา โดยให้วางหลักทรัพย์เป็นจำนวนเงิน 150,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์
.
คดีนี้มีข้อน่าสังเกตว่า ฝ่ายโจทก์ไม่ได้มีพยานหลักฐานเรื่องการตรวจสอบเฟซบุ๊กที่กระทำผิดตามฟ้อง หรือมีหลักฐานในการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าจำเลยในคดีนี้กระทำผิดตามฟ้องอย่างไร
แม้พชรจะยอมรับในขณะถูกสอบปากคำในฐานะพยานว่าเป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าว แต่ในชั้นสอบสวนหลังถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 พชรได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยปฏิเสธว่า ไม่ได้ใช้เฟซบุ๊กบัญชีที่ถูกกล่าวหามาตั้งแต่ปี 2563 และไม่ได้เป็นผู้โพสต์ข้อความที่เป็นความผิด
อีกทั้งตามรายงานการสืบสวนก็ปรากฏว่า ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบไม่พบเฟซบุ๊กบัญชีที่กระทำผิดดังกล่าว พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้พอฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้พชรมีความผิดนั้น จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ศาลได้รับฟังและวินิจฉัยพยานหลักฐานที่ยังมีข้อน่าสงสัย ด้วยความระมัดระวัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 แล้วหรือไม่