ยกฟ้อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ – จำคุก 3 ปี ลดเหลือ 2 ปี คดี ม.112 ของ “ลูกเกด” ชลธิชา เหตุปราศรัยวิจารณ์การออกกฎหมายใน #คาร์ม็อบ11กันยา64 ก่อนให้ประกันตัว

วันที่ 27 พ.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดฟังคำพิพากษา ในคดี  “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว นักกิจกรรมทางการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกล จากกรณีปราศรัยและชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังคดีการเมือง หน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2564

คดีนี้มีจำเลยทั้งสิ้น 10 ราย นอกจากชลธิชา (จำเลยที่ 1) ยังมี พริม มณีโชติ (จำเลยที่ 2), ศรีไพร นนทรีย์ (จำเลยที่ 3), สุนี ไชยรส (จำเลยที่ 4), ธนพร วิจันทร์ (จำเลยที่ 5), วิปัศยา อยู่พูล (จำเลยที่ 6), สุธิลา ลืนคำ (จำเลยที่ 7), วิศรุต สมงาม (จำเลยที่ 8), ไพศาล จันปาน (จำเลยที่ 9) และ อาทร โพดภูธร (จำเลยที่ 10) ทั้ง 9 คนหลัง ถูกฟ้องเฉพาะข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, คำสั่งจังหวัดปทุมธานี เรื่องมาตรการป้องกันโควิด และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต 

มีเพียงชลธิชาเพียงคนเดียวที่ถูกฟ้องในข้อหาตามมาตรา 112 เพิ่มจากข้อหาข้างต้นด้วย จากการปราศรัยในประเด็นเกี่ยวกับการที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออก พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 และแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เมื่อปี 2561 

ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสิบเป็นผู้จัดการชุมนุม ดังนั้นจึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดมาตรการป้องกันโรคและขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง และไม่ปรากฏว่าหลังจากการชุมนุมมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยกฟ้องในสองข้อหานี้

ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เห็นว่า ข้อความของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงรัชกาลที่ 10 ฟังแล้วเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์เอาเงินภาษีประชาชนมาใช้ส่วนพระองค์ และทำให้ประชาชนคิดว่าพระมหากษัตริย์เอาทรัพย์สินส่วนรวมไปเป็นส่วนตัว แทรกแซงอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ จึงทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง 

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามมาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ก่อนศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวชลธิชาในระหว่างอุทธรณ์

.

อ่านบันทึกสืบพยานในคดีนี้ >>> เปิดบันทึกสืบพยาน คดี ม.112 ของ “ลูกเกด ชลธิชา” เหตุปราศรัยวิจารณ์การออกกฎหมายใน #คาร์ม็อบ11กันยา64 ก่อนศาลธัญบุรีมีคำพิพากษา 

.

วันนี้ (27 พ.ค. 2567) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 9 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล นำโดย ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค, ตัวแทนจากสถานทูตต่าง ๆ, เจ้าหน้าที่จากองค์กรสิทธิมนุษยชน และประชาชนทั่วไปเดินทางมาสังเกตการณ์ในคดีนี้ ทั้งนั่งและยืนจนทำให้ไม่สามารถปิดประตูห้องพิจารณาคดีได้

เวลา 9.25 น. ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดีและอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ สามารถสรุปได้ดังนี้

จำเลยทั้งสิบให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับข้อเท็จจริงว่าได้เข้าร่วมชุมนุมในคดีนี้

จากทางการนำสืบของโจทก์ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2564 ผู้ชุมนุมรวมตัวกันหน้าฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตและเคลื่อนพลมาที่ศาลจังหวัดธัญบุรี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มีคำสั่งจังหวัดปทุมธานี เรื่องมาตรการป้องกันโควิด ห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้ว่าราชการจังหวัด 

กลุ่มผู้ชุมนุมมีรถยนต์ประมาณ 10 คัน, รถจักรยานยนต์ประมาณ 25 คัน และมีรถยนต์บรรทุกเครื่องขยายเสียง 1 คัน จำเลยที่ 1 ถึง 9 ขึ้นปราศรัยบนรถเครื่องขยายเสียง ส่วนจำเลยที่ 10 เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกเครื่องขยายเสียง

คณะกรรมการพิจารณาคดีเกี่ยวกับความมั่นคงเห็นว่า คำปราศรัยของจำเลยที่ 1 บางส่วนเป็นความผิดตามมาตรา 112 จึงแจ้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กับจำเลยทั้งสิบ ส่วนจำเลยที่ 1 แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 เพิ่มเติม 

จากทางการนำสืบของจำเลย จำเลยที่ 1, 2, 4 และ 6 เบิกความว่า ไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุม และได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโดยสวมหน้ากากอนามัยและพกเจลแอลกอฮอล์ 

จำเลยที่ 1 เบิกความว่า การปราศรัยเป็นการกระทำด้วยความปรารถนาดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อปกป้องสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 ประกอบความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ ได้แก่ รณกร บุญมี, เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง, สฤนี อาชวานันทกุล, ธนพล อิ๋วสกุล 

จำเลยที่ 10 เบิกความว่า ได้รับการว่าจ้างจำนวน 1,000 บาท ให้นำรถยนต์บรรทุกเครื่องขยายเสียงมาในที่ชุมนุม ตนสวมหน้ากากอนามัยและพกเจลแอลกอฮอล์ 

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสิบกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

  • ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 

เห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสิบเป็นผู้จัดการชุมนุม จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสิบเป็นผู้จัดการชุมนุม 

ในประเด็นว่าจำเลยทั้งสิบร่วมชุมนุมเสี่ยงต่อการแพร่โรคหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสิบเข้าร่วมการชุมนุม แต่พื้นที่หน้าศาลกว้างโล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่แออัด ผู้ชุมนุมสามารถเดินไปมาได้สะดวก จำเลยทั้งสิบสวมหน้ากากอนามัย ยกเว้นในขณะที่ขึ้นปราศรัยซึ่งมีระยะห่างจากผู้ชุมนุม 1 – 2 เมตร บุคคลที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยในพยานเอกสารของโจทก์ไม่ใช่จำเลยทั้งสิบ และไม่ปรากฏว่าหลังการชุมนุมมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

ในประเด็นว่าจำเลยทั้งสิบไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันโรค เห็นว่า เป็นหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุม เมื่อจำเลยทั้งสิบไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุมจึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดมาตรการป้องกันโรค 

ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสิบกระทำความผิดฐานนี้

  • ในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต

เห็นว่า ผู้ที่มีหน้าที่ขออนุญาต คือ ผู้จัดการชุมนุม แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสิบเป็นผู้จัดการชุมนุม จึงไม่มีหน้าที่ต้องขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง

  • ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

เห็นว่า คำปราศรัยของจำเลยที่ 1 เป็นการกล่าวถึงรัชกาลที่ 10 โดยตรง

คำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ว่า  “ส่วนราชการในพระองค์นะคะ ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นะคะ ออกกฎหมาย พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการในพระองค์ 2560 ให้เป็นของขวัญแก่สถาบันพระมหากษัตริย์นะคะ เพื่อให้สถาบันกษัตริย์เนี่ยมีอํานาจนะคะ ใช้ตามพระราชอัธยาศัย หรือถ้าแปลเป็นภาษาชาวบ้านก็คือว่า ใช้ตามอําเภอใจของเจ้านะคะ ปัญหาก็คือว่า ไอ้การใช้ตามอําเภอใจของเจ้าเนี่ย มันไม่ต่างอะไรเลยกับการที่เราทําให้สถาบันกษัตริย์มีกองกําลังของตัวเอง แต่ใช้งบประมาณกับภาษีของพวกเรา”

ฟังแล้วเข้าใจว่า พระมหากษัตริย์เอาเงินภาษีของประชาชนมาใช้ส่วนพระองค์ เป็นการทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง

ส่วนคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ว่า “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์นะคะ ยังปล่อยให้มีการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปี 2561 สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่ามันเป็นการกำหนดให้การจัดการ การจัดหาผลประโยชน์นะคะ ของสถาบันพระมหากษัตริย์เนี่ย ถูกย่อนะคะ เข้าไปเป็นของส่วนตัวตามพระราชอัธยาศัยตามเดิมนะคะ สิ่งที่เคยเป็นส่วนตัวหรือที่เคยเป็นส่วนรวมก็ไปเป็นของสถาบัน ก็กลายเป็นของเจ้า คือของ กษัตริย์วชิราลงกรณ์ นะคะ ซึ่งการแก้กฎหมายดังกล่าวเนี่ย ยังเป็นการเปิดทางให้มีการโอนที่ดินและหุ้นบริษัทจำนวนมาก ที่แต่เดิมสถาบันพระมหากษัตริย์เคยถือหุ้นไว้ ให้กลายเป็น กษัตริย์วชิราลงกรณ์เป็นผู้ถือหุ้นนะคะ สิ่งที่มันเกิดขึ้นควรจะถูกตั้งคำถามก็คือว่า กษัตริย์วชิราลงกรณ์ ควรจะอยู่ในฐานะของกษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของประเทศ แต่ ณ ตอนนี้มันไม่ใช่ มันถูกพ่วงท้ายด้วยคำว่า กษัตริย์นักลงทุน หรือ นักค้ากำไร ตามมาด้วยนะคะ”

เห็นว่า กล่าวถึงรัชกาลที่ 10 โดยมีความหมายว่า พลเอกประยุทธ์แก้กฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนรวมไปเป็นส่วนตัวพระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนคิดว่าพระมหากษัตริย์เอาทรัพย์สินส่วนรวมมาเป็นส่วนตัว แทรกแซงอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ เป็นการทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชังตามที่โจทก์ฟ้อง

ที่จำเลยนำพยานปากผู้เชี่ยวชาญ 4 ปาก เข้าสืบ ศาลยังไม่เห็นพ้องด้วย พยานจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึง 10

ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ได้แก่ อดุลย์ศักดิ์ โชติชูช่วง

หลังจากฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้น ชลธิชาถูกนำตัวลงไปที่ห้องขังใต้ถุนศาลระหว่างรอประกันตัว 

ต่อมาเวลา 11.00 น. ศาลอนุญาตให้ประกันตัวชลธิชาในระหว่างอุทธรณ์ โดยให้ต่อสัญญาประกันเดิม คือ วางหลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 150,000 บาท โดยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยมีเงื่อนไขการประกันตัว 4 ประการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวกับที่สั่งให้ประกันตัวหลังจำเลยถูกฟ้องคดี ดังนี้

  1. ห้ามทำกิจกรรมหรือกระทำการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือด้อยค่าต่อสถาบันกษัตริย์และสถาบันศาลในทุกด้าน
  2. ห้ามกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางต่อกระบวนการพิจารณาของศาล
  3. ห้ามโพสต์ข้อความที่เป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น หรือชักชวนให้มวลชนร่วมกิจกรรมชุมนุมในสื่อ Social Media หรือเข้าร่วมชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
  4. ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

ทั้งนี้ คดีนี้เป็นการถูกดำเนินคดีมาตรา 112 คดีที่ 2 ของชลธิชา แต่เป็นคดีแรกที่มีคำพิพากษา โดยคดีแรกชลธิชาถูกกล่าวหาจากกรณีโพสต์จดหมายถึงกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘ราษฎรสาส์น’ ซึ่งยังอยู่ระหว่างสืบพยาน โดยศาลอาญานัดสืบพยานอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2568 

X